หลวงพ่ออ่ำ อินฺทปญฺโญ ( พระพุทธวิหารโสภณ ) วัดวงษ์ฆ้อง พระนครศรีอยุธยา พระเกจิผู้เก่งกล้าทั้งเรื่องไสยศาสตร์และแพทยศาสตร์
ภาพและเรื่องโดย..เมธี ไทยนิกร
คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า “ พระนครศรีอยุธยา ” เป็นจังหวัดหนึ่งซึ่งอุดมไปด้วยพระสงฆ์เรืองวิชามาแต่โบราณกาล เท่าที่พอจะนึกออกบอกได้ในตอนนี้ก็มี อาทิ “ สมเด็จพระวันรัตน์ ” วัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของ “ พระนเรศวรฯ ” อย่างมาก หลังจากยุคนั้นก็มี “ พระอาจารย์พรหม ” ( หรือ “ พระพรหมมุนี ” ) วัดปากน้ำประสบ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของ “ พระนารายณ์ฯ ” ( และเชื้อพระวงศ์ ) ส่วนอีกองค์ที่ร่วมสมัยได้แก่ “ พระพิมลธรรม ” วัดระฆัง ซึ่งเก่งในทาง “ ยามสามตา ” อย่างน่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะในคราวที่ “ พระยาสีหราชเดโช ” ข้าศึกจับแต่สามารถแก้รอดมาได้ ท่านทำนายเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ด้วยกระนั้น
นอกจากประเภทสามัญชนคนธรรมดา ยังมีพระระดับ “ เจ้าฟ้า ” อยู่อีกบางองค์ที่ทรงคุณวิเศษ จนได้รับการบันทึกไว้ในหน้าประวัตศาสตร์ไทย อย่างเช่น “ เจ้าฟ้าพระกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ ” ( โอรส “พระเจ้าท้ายสระ” ) ที่ถูก “ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ” ( โอรส “ พระเจ้าบรมโกศ ” ) ดักฟันในพระราชวังอย่างอุกอาจ แต่กลับเพียงแค่จีวรขาดหาเข้าไม่ ยิ่ง “ เจ้าพระวัดพุทไธฯ ” ซึ่งมีพระนามเดิมว่า “ เจ้าฟ้าตรัสน้อย ” ( โอรส “ พระเพทราชา ” กับ “ เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ ” ) ด้วยแล้ว ยิ่งเรืองวิชาถึงขนาดกล้ารุดไปปราบโจรจีนที่บุกปล้นพระราชวัง ทั้งที่ทรงอยู่ในเพศบรรพชิตเพียง “ หนึ่งเดียว ” แท้ๆ แต่พวกโจร “ ห้าร้อย ” กลับเป็นฝ่ายต้องเผ่นหนี
แม้ในสมัยรัตนโกสินทร์นี้ก็กล่าวได้ว่า มี “ พระดีศรีอยุธยา ” อยู่อึดตะปือนัง อย่างเช่น “ สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ” วัดพลับ นั่น ก็ต้องถือว่าท่านเป็น “ พระดีศรีอยุธยา ” เพราะเคยจำพรรษาอยู่ วัดท่าหอย ซึ่งเป็นวัดบริวารของ วัดพุทไธศวรรย์ ( นอกจากท่านจะเป็นอาจารย์ของ “ พระพุทธยอดฟ้าฯ ” ยังว่ากันว่า “ พระอินทรรักษา ( เสม ) ” พี่เขย ก็เคยบวชที่วัดนี้ )
โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 และที่ 6 นั้นแน่นอนว่า มีพระที่เรืองวิชาจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ และหนึ่งในจำนวนนั้นได้แก่ “ หลวงพ่ออ่ำ ” หรือ “ พระพุทธวิหารโสภณ ” แห่งวัดวงษ์ฆ้อง เนื่องจากท่านเป็นพระที่เก่งกล้าเชี่ยวชาญ ทั้งในด้านไสยศาสตร์และแพทยศาสตร์ ขนาดแพทย์แผนปัจจุบันยังศรัทธาเลื่อมใส เพราะทำนายทายทักอาการป่วยต่างๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ โดยไม่ต้องนำตัวคนไข้มาหา แต่สามารถให้ญาติจดชื่อยาไปเจียดจากร้านซินแสได้เลย
สำหรับประวัติสังเขปมีอยู่ว่า ท่านเกิดในตระกูลชาวนา เมื่อปีกุน พ.ศ.2406 ณ บ้านสวนพริก แขวงรอบกรุง เมืองกรุงเก่า ( ปัจจุบันคือ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ) โยมบิดาชื่อ นายหอม ภักดีวงศ์ โยมมารดาชื่อ นางห่อ ภักดีวงศ์ มีพี่น้องรวมทั้งสิ้น 7 คน ประกอบด้วย
1. นายนิ่ม ภักดีวงศ์
2. นางเชื่อม สุคันธกุล
3. หลวงพ่ออ่ำ ภักดีวงศ์
4. นางปี ( ไม่ทราบนามสกุลใหม่ )
5. นางขำ ธารีศรี
6. นายไว ภักดีวงศ์
7. นายวอน ภักดีวงศ์
ส่วนเรื่องราวในช่วงเยาว์วัยไม่ปรากฏชัด เพราะเป็นที่รู้ในหมู่ญาติรุ่นหลังๆ เพียงว่า ท่านเข้ามาศึกษาเล่าเรียนอยู่กับ “ หลวงพ่อฟัก ” ( หรือ “ พระครูธรรมิกาจารคุณ ” ) วัดธรรมิกราช ( หน้าพระราชวังโบราณ ) ตั้งแต่อายุประมาณ 10 ปีเศษ และต่อมาได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดนี้กระทั่งบวชพระ ไม่เคยสึกหาลาเพศไปเป็นฆราวาส แต่ไม่อาจยืนยันเกี่ยวเรื่องพระอุปัชฌาย์และคู่สวดตอนที่อุปสมบทได้ เพราะบางกระแสก็ว่า “ หลวงพ่อฟัก ” เป็นอุปัชฌาย์ แต่บางกระแสก็ว่าเป็น “ หลวงพ่อศรี ” วัดประดู่ทรงธรรม จึงทำให้ยังเคลือบแคลงสับสนมาจนบัดนี้ คงมีที่จำได้แม่นยำก็คือฉายาของท่าน ที่ได้รับการขนานเป็นภาษามคธว่า “ อินฺทปญฺโญ ”
อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะกล่าวประวัติของท่านเป็นลำดับไป ใคร่ขอแทรก ประวัติวัดธรรมิกราช เอาไว้เสียเลยตรงนี้ เนื่องจากเป็นวัดที่เก่าแก่และมีความสำคัญมาแต่ไหนแต่ไร โดยในตำนานได้กล่าวไว้แค่เพียงว่า “ พระยาธรรมิกราช ” โอรสของ “ พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ” ได้ทรงสร้างขึ้นใน “ สมัยอโยธยา ” ( ก่อนที่จะมีการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ) เดิมเรียกกันว่า “ วัดมุขราช ” ส่วนจะสร้างในปี พ.ศ. ใดไม่ปรากฏหลักฐาน ได้แต่อนุมานหรือคาดเดากันว่า น่าจะเป็นสมัยเดียวกับ “ วัดพนัญเชิง ” ซึ่งสร้างโดยพระบิดา เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ “ พระนางสร้อยดอกหมาก ” ที่สิ้นพระชนม์บนเรือสำเภา ซึ่งจอดทอดสมออยู่ในแม่น้ำบริเวณนั้น )
ต่อมาวัดนี้มีชื่อปรากฏในพงศาวดารว่า “ พระมหาจักรพรรดิ์ ” ( พระสวามี “ พระสุริโยทัย ” ) ได้โปรดฯให้นำ “ พระศรีศิลป์ ” ( โอรส “ พระชัยราชา ” ซึ่งทรงผนวชเป็นสามเณรอยู่วัดราชประดิษฐาน ) มาควบคุมไว้ที่นี่เพื่อให้ใกล้พระเนตรพระกรรณ เนื่องจาก “ เจ้าเณร ” องค์นั้นซ่องสุมผู้คนเพื่อก่อการกบฏ ครั้นมีอายุครบกำหนดทรงผนวชพระ “ พระเจ้าอา ” ดำริจะทรงรับเป็นเจ้าภาพให้ แต่พระนัดดากลับหลบหนีไปโดยไม่บอกกล่าวร่ำลา และต่อมาได้ยกไพร่พลเข้าปล้นพระราชวังเพื่อหวังยึดอำนาจ แต่พระชะตาขาดถูกยิงด้วยปืนสิ้นพระชนม์คาที่
วัดนี้มีปูชนียสถานและวัตถุสำคัญคือ พระวิหารหลวง ซึ่ง “ พระเจ้าทรงธรรม ” โปรดฯให้สร้างขึ้น สำหรับสดับพระธรรมเทศนาในวันพระ ทั้งยังสันนิษฐานกันว่าน่าจะเป็นที่ประดิษฐานเศียรพระพุทธรูปหล่อสำริด ( สมัยอู่ทอง ) ขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันได้เชิญไปตั้งแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเจ้าสามพระยา ส่วนวิหารพระพุทธไสยาสน์นั้นนัยว่า พระมเหสีของพระองค์ทรงสร้างถวาย หลังจากพระธิดาทรงหายจากอาการประชวรตามที่ทรงบนบาน
โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 เล่ากันว่า “ พระพุทธเจ้าหลวง ” มักเสด็จฯมาที่วัดนี้อยู่เนืองๆ เนื่องจากทรงศรัทธาเลื่อมใสในวิชาอาคมของ “ หลวงพ่อฟัก ” ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสอยู่ในขณะนั้น และมีเกร็ดที่เล่าขานกันสืบมาในหมู่ลูกศิษย์ว่า ในโอกาสที่เสด็จฯมาวัดธรรมิกราชคราวหนึ่ง ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จฯขึ้นไปทอดพระเนตรภายพระวิหารหลวง ซึ่งตั้งอยู่บนโคกสูงกว่าเสนาสนะทั่วไป ขณะที่ทรงพระดำเนินขึ้นบันไดได้ทรงจูงมือ “หลวงพ่อฟัก” ซึ่งชะรอยจะทรงเห็นว่าค่อนข้างชราและเดินเหินไม่สันทัด แต่หลังเสด็จฯออกจากวัดไปได้ครู่เดียวเท่านั้น “ พระญาณไตรโลก ( อาจ ) ” วัดศาลาปูน ซึ่งเป็นเจ้าคณะเมืองกรุงเก่า ได้เรียกให้เข้าไปหาและต่อว่าต่อขานทำนองว่า ท่านละลาบละล้วงจ้วงจาบจับพระกรพระเจ้าแผ่นดิน และได้สั่งลงทัณฑกรรมให้ตักน้ำจากตีนท่ามารดโคนโพธิ์ในวัดจำนวน 100 บาตร โดยเริ่มเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ยังไม่ทันที่ท่านจะปฏิบัติตาม ความได้ทราบถึงพระกรรณ “ พระพุทธเจ้าหลวง ” เสียก่อน จึงได้โปรดฯให้สังฆการีมาแจ้งแก่ “ เจ้าคุณญาณฯ ” ว่า “หลวงพ่อฟัก” หาได้ทำผิดตามที่สั่งลงทัณฑ์ไม่ แต่เป็นพระองค์เป็นฝ่ายจูงมือท่านเอง
ถามว่า “ หลวงพ่อฟัก ” องค์นี้มีดีอะไร จึงได้เป็นที่โปรดปรานถึงเพียงนั้น ก็ต้องตอบว่าท่านเก่งทางด้านเมตตามหานิยม โดยเฉพาะ “ นะหน้าทอง ” ที่เพียงเขียน “ ยันต์เฑาะว์ ” ลงบนฝ่ามือแล้วลูบหน้า แม้ตัวท่านเจ้าของตำราเองก็ทำแบบเดียวกัน โดยบุคคลที่รู้ไม่ทันมักเข้าใจว่า ท่านคงจะลูบหน้าเพื่อให้หูตาสว่างเหมือนผู้สูงอายุทั่วๆ ไป ( เนื่องจากอายุเกินวัยที่จะใช้ตำรานี้ จึงจำคาถาที่เคยท่องขึ้นใจไม่ได้ตลอดบท และที่จดเอาไว้ในสมุดก็ยังหาไม่พบ ทั้งๆ ที่ใจจริงอยากบอกให้เป็นวิทยาทาน เพราะอาจจะมีบางท่านที่ยึดภาษิต “ ไม่ลองไม่รู้ ” )
สำหรับประวัติของท่านนั้น แม้จะค่อนข้างมืดมนคลุมเครืออยู่มาก หากแต่ก็ยังพอมีเค้ามีเงาให้คลำได้บ้าง กล่าวคือว่ากันว่าบ้านโยมบิดา-มารดาอยู่บริเวณปากคลองตะเคียน ( หรือที่เดิมเรียกคลองขุนนครชัย ) และเคยเป็นครองวัดพุทไธศวรรย์อยู่ก่อนหน้า ที่จะได้รับนิมนต์มาครองวัดธรรมิกราช สาเหตุที่ยอมย้ายวัดก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากคุณหญิงท่านหนึ่งซึ่งอุปถัมภ์บำรุงวัดนี้อยู่ กำลังดำเนินเรื่องขอยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงเหมือนเดิม ( โดยเฉพาะในสมัยกรุงศรีอยุธยาวัดนี้มีพระราชาคณะที่ “ พระธรรมโคดม ” เป็นเจ้าอาวาส )
อนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง “ พระพุทธเจ้าหลวง ” กับ “ หลวงพ่อฟัก ” นอกจากคำบอกเล่าแบบ “ มุขปาฐะ ” ที่สืบทอดต่อกันมาแล้ว ยังพบใน “ จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ” (ลงวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2431) ว่า “ เวลาค่ำแล้วพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯออกท้องพระโรง (ในพระราชวังบางปะอิน) เจ้าอธิการฟัก วัดธรรมิกราช เฝ้าถวายป้าน พระราชทานเงิน 1 ชั่ง...” และหลังจากวันนั้นหลักฐานเล่มเดียวกันยังบันทึกไว้ทำนองว่า โปรดฯให้ “เจ้าอธิการฟัก” เป็นผู้ถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์หลวงที่พระที่นั่งวโรภาศพิมาน ( วันเดียวกับที่ “ พระมหาหนู ” วัดศาลาปูน ( ซึ่งต่อมาเป็น “ พระสุวรรณวิมลศีล ” ) เป็นผู้ถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์ของพระนางเจ้าฯ พระบรมราชเทวี )
และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ในคราวที่พระองค์ทรงตั้ง “หลวงพ่อฟัก” เป็นพระครูสัญญาบัตร ถือเป็นเกียรติประวัติที่ทรงตั้งแบบองค์เดียวโดดๆ โดยไม่มีองค์ใดวัดไหนเข้าไปสมทบด้วย ดังปรากฏอยู่ใน “ ราชกิจจานุเบกษา ” เล่ม 6 แผ่นที่ 43 ( วันที่ 26 มกราคม รัตนโกสินทร์ศก 108 หรือ พ.ศ.2432 ) ความว่า “ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกปฏิบัติพระสงฆ์ ที่พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ ในการเฉลิมพระราชมณเฑียร ครั้นพระสงฆ์ฉันแล้ว พระราชทานสัญญาบัตรให้เจ้าอธิการฟัก วัดธรรมิกราช แขวงกรุงเก่า เป็นพระครูธรรมิกาจารคุณ ขึ้นคณะกรุงเก่า พระราชทานตาลิปัตพุดตานทองแผ่ลวดเป็นเครื่องยศ กับของนอกจากนี้อีกคือ ผ้าไตร 1 พัดรองโหมด 1 บาตรย่ามสักระหลาด 1 กาน้ำแลกระโถนลายครามสำรับ 1 ร่ม 1 รองเท้า 1 ผ้าขาวพับ 1 เทียนมัด 1 ”
ก็แหละเข้าใจว่าน่าจะเป็นช่วงหลังจากที่ “หลวงพ่อฟัก” เป็นพระครูสัญญาบัตรแล้วนี่เอง ที่ท่านได้แต่งตั้งฐานานุกรมขึ้น 2 องค์ คือ “ พระสมุห์อ่ำ ” และ “ พระใบฎีกามี ” ( สำหรับองค์หลังนี้ไม่ทราบประวัติแน่ชัด ) ครั้นเจ้าอาวาสวัดวงษ์ฆ้องซึ่งอยู่ในปกครองว่างลง ท่านได้ส่ง “พระสมุห์อ่ำ” ไปครองวัดดังกล่าวสืบมาจนกระทั่ง “ หลวงพ่อฟัก ” ถึงมรณภาพ จึงได้กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดธรรมิกราชสืบต่อตามคำสั่งของคณะสงฆ์ และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ “ พระครูธรรมิกาจารคุณ ” เช่นเดียวกับบูรพาจารย์ ( แต่ไม่พบหลักฐานเหมือนคราวทรงตั้ง “ หลวงพ่อฟัก ” เพียงเป็นคำบอกเล่าของ “ พระครูพิทักษ์พรหมธรรม ” หรือ “ หลวงพ่อหลี ” อดีตเจ้าอาวาสเมื่อ 20 ปีที่แล้ว )
ย้อนกลับไปที่ “ วัดวงษ์ฆ้อง ” อีกครั้ง ว่ากันว่า “ หลวงพ่ออ่ำ ” หรือ “ พระสมุห์อ่ำ ” ท่านเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่มาครองวัดนี้ โดย “ พระอธิการประสิทธิ์ ธารีศรี ” อายุ 92 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดป้อมรามัญ ( ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว ) ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ได้เข้ามาเป็นลูกศิษย์ “ หลวงลุงอ่ำ ” ( ซึ่งเป็นพี่ชายของมารดา ) ที่ วัดวงษ์ฆ้อง ตั้งแต่อายุประมาณ 10 ปี โดยมีเด็กวัดอายุรุ่นราวคราวเดียวกันและรับใช้ใกล้ชิดท่านอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือ “ เด็กชายแช่ม ” ( หรือที่ต่อมามีบรรดาศักดิ์และยศทหารเป็น “ นายพันตรี หลวงจบกระบวนยุทธ ” บิดาของ “ ท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร ” ) ซึ่งทั้งคู่นี้มักต้องติดสอยห้อยตามไป “ งานหลวง ” ทุกนัด โดยผลัดกันถือพัดถือย่ามตามอัธยาศัย โดยเฉพาะพิธีบวงสรวงสังเวยอดีตกษัตริย์ฯ ที่พระราชวังโบราณทั้งในรัชกาลที่ 5 และที่ 6 นั้น พระซึ่งเป็นหลานท่านองค์นี้เล่าว่า น่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก เนื่องจากดาษดื่นไปด้วยเจ้านายขุนนางและราษฎรทั่วไป ทั้งยังมีพลุตะไลไฟพะเนียงและการแสดงต่างๆ ให้ชมในตอนกลางคืนอีกต่างหาก
ส่วนเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ของท่านนั้น “ พระอธิการประสิทธิ์ ” กล่าวว่า หากใครไม่เห็นกับตาก็ต้องว่าโกหกพกลม อย่างเช่น กรณีที่ท่านสั่งให้เด็กไปตักน้ำมากรอกใส่ขวดโหล 2 ใบ ซึ่งตั้งอยู่ติดกัน จากนั้นท่านได้ใช้มีดโกนตัดใบจากเป็นรูปปลา แล้วทิ้งลงไปในขวดโหลนั้นที่ละใบ พลันก็กลายเป็นปลากัดสีฉูดฉาดว่ายเข้าหากัน ราวกับจะกัดอีกตัวให้ตายไปข้าง แต่ท่านได้สั่งกำชับว่า “ ขอให้ดูแต่ตาอย่าเอานิ้วไปแหย่มันเป็นอันขาด มีเด็กบางคนที่ค่อนข้างทะเล้นบอกกับท่านว่า ปลาดุๆ แบบนี้อยากขอเอาไปกัดที่บ่อน แต่ท่านกลับสั่งสอนว่าเป็นการทรมานสัตว์ และอาจนำไปสู่การพนันขันต่อ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องบาปกรรมและอบายมุขไม่ควรประพฤติ เพราะที่อุตส่าห์ทำให้ดูนี้ก็เพื่อแก้เหงาเท่านั้น ไม่ได้ต้องการยั่วยุให้ผิดศีลผิดธรรมอะไรเลย ”
![]() |
“หลวงพ่ออ่ำ” ที่มีพัดยศ ถ่ายขณะเป็น พระราชาคณะที่ “พระพุทธวิหารโสภณ” เจ้าอาวาสวัดหน้าพระเมรุ (พระอารามหลวง) |
นอกจากประเภทสามัญชนคนธรรมดา ยังมีพระระดับ “ เจ้าฟ้า ” อยู่อีกบางองค์ที่ทรงคุณวิเศษ จนได้รับการบันทึกไว้ในหน้าประวัตศาสตร์ไทย อย่างเช่น “ เจ้าฟ้าพระกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ ” ( โอรส “พระเจ้าท้ายสระ” ) ที่ถูก “ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ” ( โอรส “ พระเจ้าบรมโกศ ” ) ดักฟันในพระราชวังอย่างอุกอาจ แต่กลับเพียงแค่จีวรขาดหาเข้าไม่ ยิ่ง “ เจ้าพระวัดพุทไธฯ ” ซึ่งมีพระนามเดิมว่า “ เจ้าฟ้าตรัสน้อย ” ( โอรส “ พระเพทราชา ” กับ “ เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ ” ) ด้วยแล้ว ยิ่งเรืองวิชาถึงขนาดกล้ารุดไปปราบโจรจีนที่บุกปล้นพระราชวัง ทั้งที่ทรงอยู่ในเพศบรรพชิตเพียง “ หนึ่งเดียว ” แท้ๆ แต่พวกโจร “ ห้าร้อย ” กลับเป็นฝ่ายต้องเผ่นหนี
![]() |
“หลวงพ่ออ่ำ” กับ “หลวงพ่อขัน” ถ่ายในงานบำเพ็ญ กุศลศพโยมบิดา “หลวงพ่อขัน” ที่วัดนกกระจาบ |
โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 และที่ 6 นั้นแน่นอนว่า มีพระที่เรืองวิชาจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ และหนึ่งในจำนวนนั้นได้แก่ “ หลวงพ่ออ่ำ ” หรือ “ พระพุทธวิหารโสภณ ” แห่งวัดวงษ์ฆ้อง เนื่องจากท่านเป็นพระที่เก่งกล้าเชี่ยวชาญ ทั้งในด้านไสยศาสตร์และแพทยศาสตร์ ขนาดแพทย์แผนปัจจุบันยังศรัทธาเลื่อมใส เพราะทำนายทายทักอาการป่วยต่างๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ โดยไม่ต้องนำตัวคนไข้มาหา แต่สามารถให้ญาติจดชื่อยาไปเจียดจากร้านซินแสได้เลย
![]() |
พระอุโบสถวัดหน้าพระเมรุ ซึ่ง “หลวงพ่ออ่ำ” เคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ระยะหนึ่ง (พ.ศ.2456-พ.ศ.2474) |
1. นายนิ่ม ภักดีวงศ์
2. นางเชื่อม สุคันธกุล
3. หลวงพ่ออ่ำ ภักดีวงศ์
4. นางปี ( ไม่ทราบนามสกุลใหม่ )
5. นางขำ ธารีศรี
6. นายไว ภักดีวงศ์
7. นายวอน ภักดีวงศ์
![]() |
รูปหล่อ “หลวงพ่ออ่ำ” ซึ่งตั้งอยู่ภายใน มณฑปวัดวงษ์ฆ้อง (ภาพรูปหล่อสีทอง) |
![]() |
มณฑปรูปหล่อ “หลวงพ่ออ่ำ” ภายในวัดวงษ์ฆ้อง |
อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะกล่าวประวัติของท่านเป็นลำดับไป ใคร่ขอแทรก ประวัติวัดธรรมิกราช เอาไว้เสียเลยตรงนี้ เนื่องจากเป็นวัดที่เก่าแก่และมีความสำคัญมาแต่ไหนแต่ไร โดยในตำนานได้กล่าวไว้แค่เพียงว่า “ พระยาธรรมิกราช ” โอรสของ “ พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ” ได้ทรงสร้างขึ้นใน “ สมัยอโยธยา ” ( ก่อนที่จะมีการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ) เดิมเรียกกันว่า “ วัดมุขราช ” ส่วนจะสร้างในปี พ.ศ. ใดไม่ปรากฏหลักฐาน ได้แต่อนุมานหรือคาดเดากันว่า น่าจะเป็นสมัยเดียวกับ “ วัดพนัญเชิง ” ซึ่งสร้างโดยพระบิดา เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ “ พระนางสร้อยดอกหมาก ” ที่สิ้นพระชนม์บนเรือสำเภา ซึ่งจอดทอดสมออยู่ในแม่น้ำบริเวณนั้น )
ต่อมาวัดนี้มีชื่อปรากฏในพงศาวดารว่า “ พระมหาจักรพรรดิ์ ” ( พระสวามี “ พระสุริโยทัย ” ) ได้โปรดฯให้นำ “ พระศรีศิลป์ ” ( โอรส “ พระชัยราชา ” ซึ่งทรงผนวชเป็นสามเณรอยู่วัดราชประดิษฐาน ) มาควบคุมไว้ที่นี่เพื่อให้ใกล้พระเนตรพระกรรณ เนื่องจาก “ เจ้าเณร ” องค์นั้นซ่องสุมผู้คนเพื่อก่อการกบฏ ครั้นมีอายุครบกำหนดทรงผนวชพระ “ พระเจ้าอา ” ดำริจะทรงรับเป็นเจ้าภาพให้ แต่พระนัดดากลับหลบหนีไปโดยไม่บอกกล่าวร่ำลา และต่อมาได้ยกไพร่พลเข้าปล้นพระราชวังเพื่อหวังยึดอำนาจ แต่พระชะตาขาดถูกยิงด้วยปืนสิ้นพระชนม์คาที่
วัดนี้มีปูชนียสถานและวัตถุสำคัญคือ พระวิหารหลวง ซึ่ง “ พระเจ้าทรงธรรม ” โปรดฯให้สร้างขึ้น สำหรับสดับพระธรรมเทศนาในวันพระ ทั้งยังสันนิษฐานกันว่าน่าจะเป็นที่ประดิษฐานเศียรพระพุทธรูปหล่อสำริด ( สมัยอู่ทอง ) ขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันได้เชิญไปตั้งแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเจ้าสามพระยา ส่วนวิหารพระพุทธไสยาสน์นั้นนัยว่า พระมเหสีของพระองค์ทรงสร้างถวาย หลังจากพระธิดาทรงหายจากอาการประชวรตามที่ทรงบนบาน
![]() |
“หลวงพ่ออ่ำ” ที่ไม่มีพัดยศ ถ่ายในช่วงที่ กลับมาจำพรรษาบั้นปลายชีวิตที่วัดวงษ์ฆ้อง (ซึ่งท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสมาก่อน) |
ถามว่า “ หลวงพ่อฟัก ” องค์นี้มีดีอะไร จึงได้เป็นที่โปรดปรานถึงเพียงนั้น ก็ต้องตอบว่าท่านเก่งทางด้านเมตตามหานิยม โดยเฉพาะ “ นะหน้าทอง ” ที่เพียงเขียน “ ยันต์เฑาะว์ ” ลงบนฝ่ามือแล้วลูบหน้า แม้ตัวท่านเจ้าของตำราเองก็ทำแบบเดียวกัน โดยบุคคลที่รู้ไม่ทันมักเข้าใจว่า ท่านคงจะลูบหน้าเพื่อให้หูตาสว่างเหมือนผู้สูงอายุทั่วๆ ไป ( เนื่องจากอายุเกินวัยที่จะใช้ตำรานี้ จึงจำคาถาที่เคยท่องขึ้นใจไม่ได้ตลอดบท และที่จดเอาไว้ในสมุดก็ยังหาไม่พบ ทั้งๆ ที่ใจจริงอยากบอกให้เป็นวิทยาทาน เพราะอาจจะมีบางท่านที่ยึดภาษิต “ ไม่ลองไม่รู้ ” )
![]() |
ป้ายวัดธรรมิกราช ซึ่ง “หลวงพ่ออ่ำ” เคยพำนักอยู่ ตั้งแต่สมัยเป็นสามเณรกระทั่งอุปสมบทเป็นพระ |
อนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง “ พระพุทธเจ้าหลวง ” กับ “ หลวงพ่อฟัก ” นอกจากคำบอกเล่าแบบ “ มุขปาฐะ ” ที่สืบทอดต่อกันมาแล้ว ยังพบใน “ จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ” (ลงวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2431) ว่า “ เวลาค่ำแล้วพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯออกท้องพระโรง (ในพระราชวังบางปะอิน) เจ้าอธิการฟัก วัดธรรมิกราช เฝ้าถวายป้าน พระราชทานเงิน 1 ชั่ง...” และหลังจากวันนั้นหลักฐานเล่มเดียวกันยังบันทึกไว้ทำนองว่า โปรดฯให้ “เจ้าอธิการฟัก” เป็นผู้ถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์หลวงที่พระที่นั่งวโรภาศพิมาน ( วันเดียวกับที่ “ พระมหาหนู ” วัดศาลาปูน ( ซึ่งต่อมาเป็น “ พระสุวรรณวิมลศีล ” ) เป็นผู้ถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์ของพระนางเจ้าฯ พระบรมราชเทวี )
และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ในคราวที่พระองค์ทรงตั้ง “หลวงพ่อฟัก” เป็นพระครูสัญญาบัตร ถือเป็นเกียรติประวัติที่ทรงตั้งแบบองค์เดียวโดดๆ โดยไม่มีองค์ใดวัดไหนเข้าไปสมทบด้วย ดังปรากฏอยู่ใน “ ราชกิจจานุเบกษา ” เล่ม 6 แผ่นที่ 43 ( วันที่ 26 มกราคม รัตนโกสินทร์ศก 108 หรือ พ.ศ.2432 ) ความว่า “ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกปฏิบัติพระสงฆ์ ที่พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ ในการเฉลิมพระราชมณเฑียร ครั้นพระสงฆ์ฉันแล้ว พระราชทานสัญญาบัตรให้เจ้าอธิการฟัก วัดธรรมิกราช แขวงกรุงเก่า เป็นพระครูธรรมิกาจารคุณ ขึ้นคณะกรุงเก่า พระราชทานตาลิปัตพุดตานทองแผ่ลวดเป็นเครื่องยศ กับของนอกจากนี้อีกคือ ผ้าไตร 1 พัดรองโหมด 1 บาตรย่ามสักระหลาด 1 กาน้ำแลกระโถนลายครามสำรับ 1 ร่ม 1 รองเท้า 1 ผ้าขาวพับ 1 เทียนมัด 1 ”
![]() |
ป้ายวัดวงษ์ฆ้อง ต.ท่าวาสุกรี อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่ง “หลวงพ่ออ่ำ” เคยเป็นเจ้าอาวาส (ก่อนที่จะย้ายไปเป็น ครองวัดธรรมิกราช และวัดหน้าพระเมรุตามลำดับ) |
ย้อนกลับไปที่ “ วัดวงษ์ฆ้อง ” อีกครั้ง ว่ากันว่า “ หลวงพ่ออ่ำ ” หรือ “ พระสมุห์อ่ำ ” ท่านเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่มาครองวัดนี้ โดย “ พระอธิการประสิทธิ์ ธารีศรี ” อายุ 92 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดป้อมรามัญ ( ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว ) ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ได้เข้ามาเป็นลูกศิษย์ “ หลวงลุงอ่ำ ” ( ซึ่งเป็นพี่ชายของมารดา ) ที่ วัดวงษ์ฆ้อง ตั้งแต่อายุประมาณ 10 ปี โดยมีเด็กวัดอายุรุ่นราวคราวเดียวกันและรับใช้ใกล้ชิดท่านอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือ “ เด็กชายแช่ม ” ( หรือที่ต่อมามีบรรดาศักดิ์และยศทหารเป็น “ นายพันตรี หลวงจบกระบวนยุทธ ” บิดาของ “ ท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร ” ) ซึ่งทั้งคู่นี้มักต้องติดสอยห้อยตามไป “ งานหลวง ” ทุกนัด โดยผลัดกันถือพัดถือย่ามตามอัธยาศัย โดยเฉพาะพิธีบวงสรวงสังเวยอดีตกษัตริย์ฯ ที่พระราชวังโบราณทั้งในรัชกาลที่ 5 และที่ 6 นั้น พระซึ่งเป็นหลานท่านองค์นี้เล่าว่า น่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก เนื่องจากดาษดื่นไปด้วยเจ้านายขุนนางและราษฎรทั่วไป ทั้งยังมีพลุตะไลไฟพะเนียงและการแสดงต่างๆ ให้ชมในตอนกลางคืนอีกต่างหาก
ส่วนเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ของท่านนั้น “ พระอธิการประสิทธิ์ ” กล่าวว่า หากใครไม่เห็นกับตาก็ต้องว่าโกหกพกลม อย่างเช่น กรณีที่ท่านสั่งให้เด็กไปตักน้ำมากรอกใส่ขวดโหล 2 ใบ ซึ่งตั้งอยู่ติดกัน จากนั้นท่านได้ใช้มีดโกนตัดใบจากเป็นรูปปลา แล้วทิ้งลงไปในขวดโหลนั้นที่ละใบ พลันก็กลายเป็นปลากัดสีฉูดฉาดว่ายเข้าหากัน ราวกับจะกัดอีกตัวให้ตายไปข้าง แต่ท่านได้สั่งกำชับว่า “ ขอให้ดูแต่ตาอย่าเอานิ้วไปแหย่มันเป็นอันขาด มีเด็กบางคนที่ค่อนข้างทะเล้นบอกกับท่านว่า ปลาดุๆ แบบนี้อยากขอเอาไปกัดที่บ่อน แต่ท่านกลับสั่งสอนว่าเป็นการทรมานสัตว์ และอาจนำไปสู่การพนันขันต่อ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องบาปกรรมและอบายมุขไม่ควรประพฤติ เพราะที่อุตส่าห์ทำให้ดูนี้ก็เพื่อแก้เหงาเท่านั้น ไม่ได้ต้องการยั่วยุให้ผิดศีลผิดธรรมอะไรเลย ”
( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1032 ปักษ์แรก เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2552 : หลวงพ่ออ่ำ อินฺทปญฺโญ ( พระพุทธวิหารโสภณ ) วัดวงษ์ฆ้อง พระนครศรีอยุธยา พระเกจิผู้เก่งกล้าทั้งเรื่องไสยศาสตร์และแพทยศาสตร์ ตอน 1 ภาพและเรื่องโดย เมธี ไทยนิกร ราคาปก 50 บาท )
วันนี้! อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้
สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า..