![]() |
เหรียญรุ่นแรก ปี 2517 ออกวัดบางเดื่อ กะไหล่เงิน |
สำหรับ หลวงพ่อชม นั้น “ ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ” เมื่อครั้งทรงพระอิสริยยศที่ “ พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ” ทรงเสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์มาพบหลวงพ่อถึงที่วัด
หากจะกล่าวว่า “ หลวงพ่อชม ” เป็นพระอาจารย์ของ “ พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๑๐ ” ก็กล่าวได้เต็มปากเต็มคำ พูดได้อย่างเต็มภาคภูมิ เพราะเป็นเรื่องจริง หลวงพ่อชม ท่านจึงมีศักดิ์ศรีสูงส่งไม่อาจนำชีวประวัติของท่านมาลงประกอบเรื่องของพระเกจิอาจารย์ท่านอื่นได้ และก็เป็นเช่นเดียวกันกับ “ หลวงพ่อฟอง แห่งวัดเขาดิน ” ที่ไม่อาจนำเรื่องของท่านมาประกอบเรื่องของ “ หลวงพ่อชม ” ได้อีกเช่นกัน ( หลวงพ่อฟองกับ หลวงพ่อชม เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดเดียวกัน คือ วัดวรนายกรังสรรค์เจติยบรรพตาราม หรือ วัดเขาดิน โดยหลวงพ่อฟองท่านเป็นก่อน ครั้นหลวงพ่อฟองมรณภาพ หลวงพ่อชม จึงย้ายจาก วัดบางเดื่อ มาเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาดินรูปต่อมา )
อนึ่ง ผู้เขียนเคยนำเรื่องของหลวงพ่อฟองและวัดเขาดินมาเผยแพร่ แต่มิได้นำเรื่องของ หลวงพ่อชม มาลงด้วย เพราะผู้เขียนต้องการแยกประวัติของพระอาจารย์ทั้งสองออกจากกันอย่างเด็ดขาด เรื่องจึงเป็นเช่นนี้แล...
![]() |
“ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐” เมื่อครั้งทรงพระอิสริยยศที่
“พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ
สยามมกุฎราชกุมาร” ทรงเสด็จพระราชดำเนิน
เป็นการส่วนพระองค์มาพบหลวงพ่อถึงที่วัด
|
วัดบางเดื่อ อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
![]() |
รูปถ่ายเพชรกลับอัดกระจก สองหน้า ยุคแรก วัดบางเดื่อ |
วัดบางเดื่อ ตั้งอยู่ใน อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดิมชื่อ “ วัดดอกมะเดื่อ ” หน้าวัดตั้งอยู่ทางทิศใต้ของคลอง บางเดื่อ ( คลองเกาะเลิ่งในปัจจุบัน ) ที่เชื่อมระหว่าง “ แม่น้ำป่าสัก ” กับ “ แม่น้ำลพบุรี ” ซึ่งเป็นทางสัญจรทางน้ำที่สำคัญของกรุงศรี อยุธยา ตอนเหนือ
“ วัดบางเดื่อ ” สร้างขึ้นในปลายรัชกาลของ “ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ” ประมาณพุทธศักราช ๒๓๐๐ ซึ่งในปีนั้น “ เจ้าฟ้าอุทุมพร ” หรือ “ เจ้าฟ้าดอกเดื่อ ” ( อุทุมพร ความหมายว่า มะเดื่อ ) ได้รับการสถาปนาขึ้นดำรงตำแหน่ง “ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ” ( วังหน้า ) วัดบางเดื่อ จะเป็นวัดที่ “ เจ้าฟ้าอุทุมพร ” ทรงสร้างขึ้นเนื่องในโอกาสที่ทรงได้รับการสถาปนาหรือไม่นั้น ยังไม่ปรากฏหลักฐานที่ชัดเจน คงมีแต่ชื่อวัดที่เป็นชื่อเดียวกันกับพระนามเดิมของพระองค์ท่าน
ในช่วงก่อนเสียกรุงศรี อยุธยา ครั้งที่ ๒ เมื่อพุทธศักราช ๒๓๐๗ “ พระเจ้ามังระ ” โปรดให้จัดกำลังออกเป็น ๒ ทัพ เพื่อเข้าตีกรุงศรี อยุธยา ทั้งทางตอนเหนือและทางตอนใต้ โดยให้ “ เนเมียวสีหบดี ” เป็นแม่ทัพคุมกำลังทางด้านทิศเหนือ มีกำลังพล ๒๐,๐๐๐ นาย รุกเข้าทางเชียงใหม่แล้วไล่ลงมาเรื่อย กระทั่งมาตั้งค่ายปิดล้อมกรุงศรี อยุธยา ทางตอนเหนือที่ปากน้ำประสบ เมื่อต้นพุทธศักราช ๒๓๐๙
![]() |
พระสมเด็จยุคแรก วัดบางเดื่อ |
เมื่อกรุงศรี อยุธยา แตกไม่นาน พม่าจึงเร่งถอนทัพกลับไป เพื่อทำศึกกับจีนทางตอนเหนือของประเทศ คงเหลือกำลังไว้เพียงบางส่วนที่ “ ค่ายโพธิ์สามต้น ” โดยมอบหมายให้ “ สุกี้พระนายกอง ” เป็นแม่ทัพ มีกำลังทหารราว ๓,๐๐๐ นาย เพื่อทำการรวบรวมเชลยและทรัพย์สมบัติกลับไปยังกรุงอังวะ วัดบางเดื่อ จึงถูกทิ้งให้ร้าง
![]() |
พระสมเด็จเนื้อดิน ชาวบ้านร่วมกันทำ วัดบางเดื่อ |
แม้ว่า “ วัดบางเดื่อ ” จะมีความสำคัญต่อความสำเร็จในการกอบกู้ชาติบ้านเมือง แต่ด้วยการมีข้อจำกัดหลายอย่างทั้งด้านการศึก, การป้องกันประเทศ และการขยายพระราชอาณาจักร ตลอดจนความเร่งด่วนในการก่อร่างสร้างเมืองเพื่อเตรียมรับศึกในอนาคต และสภาพความบอบช้ำทางเศรษฐกิจ จึงเป็นการยากลำบากที่จะมีการพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ในรัชกาล “ พระเจ้ากรุงธนบุรี ”
![]() |
พระหลวงพ่อขาว เนื้อผง วัดบางเดื่อ |
ปูชนียวัตถุและสถานที่สำคัญภายใน วัดบางเดื่อ
๑. หลวงปู่ขาว เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ศิลปะ อยุธยา หล่อด้วยโลหะทองสัมฤทธิ์ ประดิษฐานอยู่ในวิหาร
๒. พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงประทับนั่งบนพระราชบัลลังก์ ขนาดเท่าพระองค์จริง ประดิษฐานในพระตำหนัก จัดสร้างถวายเมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๕
๓. พระเจดีย์อัฐิทหารหาญ ๕๐๐ นาย ที่ร่วมถวายชีวิตเป็นราชพลี เป็นเจดีย์รูปทรงเหลี่ยมย่อมุม แต่ละด้านประดิษฐานพระพุทธรูป เป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญ เพื่อระลึกถึงวีรกรรมของเหล่าทหารกล้า ที่เสียสละชีวิตในการกอบกู้เอกราช ณ สมรภูมิค่ายโพธิ์สามต้น
๔. ศาลาปฏิบัติธรรมและลานปฏิบัติธรรม เป็นศาลาทรงไทย เพื่อให้พุทธศาสนิกชนใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมอุทิศถวายแด่ “ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ”
๕. เรือพระที่นั่งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นเรือขุดเก่าแก่ที่มีสภาพสมบูรณ์ โดยเจ้าของโรงสีท่านหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี เป็นผู้กู้ขึ้นมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาตามนิมิต แล้วนำมาถวาย “ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ” ณ วัดบางเดื่อ
![]() |
เรือยนต์แบบเดียวกับที่อาจารย์เฮงเคยใช้ |
วัดบางเดื่อ ตั้งอยู่ในเขตปกครองขององค์การบริหารส่วน ตำบลบางเดื่อ อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มี “ พระชลชา ชยันโต ” เป็นเจ้าอาวาส ปัจจุบันทุกภาคส่วนกำลังวางแผนเพื่อพัฒนาให้วัดบางเดื่อกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศาสนาและเชิงประวัติศาสตร์ต่อไป
พระครูอุทุมพราศัย ( หลวงพ่อชม กสฺสโป )
![]() |
บริเวณหน้าวัดสะแก ที่อาจารย์เฮงใช้เป็นที่จอดเรือ |
และที่ วัดสะแก แห่งนี้ในขณะนั้นขึ้นชื่อลือชาว่า “ เป็นศูนย์รวมปรมาจารย์ด้านพุทธเวทแห่งยุคอีกแหล่งหนึ่ง ” และปรมาจารย์ที่ว่าก็มี อาจารย์เฮง ไพรยวัล, พระอาจารย์สี พินทสุวัณโณ และ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ โดยอาจารย์เฮงท่านจะเป็นโต้โผใหญ่ และทุกๆ ท่านที่ว่ามาต่างก็เป็นลูกศิษย์เรียนวิชากับ “ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม ” กันทั้งสิ้น...
![]() |
เหรียญหลวงพ่อขาว วัดบางเดื่อ อยุธยา พ.ศ. 2510 |
![]() |
รูปถ่ายหลังเทียนชัย ออกวัดบางเดื่อ |
สามเณรชม เห็นปาฏิหาริย์ของท่าน อาจารย์เฮง แบบจะจะคาตาทุกวี่วัน ทำให้ท่านอยากจะเรียนวิชาอาคมกับเขาบ้าง แต่ท่านอาจารย์เฮงเป็นผู้มีตบะแก่กล้า เวลาท่านตวาดลูกศิษย์ทีก็ถึงกับขวัญหนีดีฝ่อต้องเรียกขวัญกลับมาใหม่ ตอนที่ท่านอาจารย์เฮงดุ ท่านจะดุมากอย่างกับ “ เสือ ” กันเลยทีเดียว จึงทำให้ สามเณรชม ไม่กล้าไปขอเรียน ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เณรไม่กล้า ก็เพราะว่าท่านยังเด็กเกิน หากทะเล่อทะล่าไปขอเรียนก็จะโดนท่านอาจารย์เฮง “ ดุ ” เอาเสียเปล่าๆ
อนึ่ง ภายหลังท่าน “ พระอาจารย์เฮง ” ก็ลาสิกขาออกมามีภรรยา แล้วลอยเรืออยู่ที่หน้าวัดสะแก อันเรือประทุนลำนี้ ท่านอาจารย์เฮงห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดลงไปได้ทั้งสิ้น นั่นก็เพราะท่านอาจารย์มีภรรยาที่สาวและสวยมากๆ จึงไม่ต้องการให้ใครมาพบเห็น แต่ก็มียกเว้นอยู่ผู้หนึ่งที่ลงเรือได้ ท่านผู้นั้นก็คือ “ อาจารย์ก้าน บำรุงกิจ ” น้องชายแท้ๆ ของ “ พระอาจารย์สี พินทสุวัณโณ ” ซึ่งอาจารย์ก้านท่านนี้เมื่อสมัยบวชเป็นพระภิกษุ ก็มีพระอุปัชฌาย์รูปเดียวกันกับท่านอาจารย์เฮง พระอุปัชฌาย์ท่านนั่นคือ “ หลวงพ่อกลั่น แห่งวัดพระญาติ ” ต่อมาอาจารย์ก้านก็ได้เป็นศิษย์เรียนวิชากับท่านอาจารย์เฮงอีกด้วย
![]() |
พระอาจารย์สี พินทสุวัณโณ วัดสะแก |
![]() |
หลวงปู่ดู่ วัดสะแก |
เมื่อ “ สามเณรชม ” มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ในปี พ.ศ.๒๔๘๐ ก็ได้อุปสมบท ณ วัดสะแก โดยมี พระครูอุทัยคณารักษ์ ( แด่ ) วัดสะแก เป็นพระอุปัชฌาย์, พระโบราณคณิสสร ( ใหญ่ ติณณสุวัณโณ ) วัดสะแก เป็นพระกรรมวาจาจารย์, พระอาจารย์วัดไผ่ฯ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า “ กสฺสโป ” และเมื่อ สามเณรชม บวชเป็นพระภิกษุแล้วผู้เขียนก็จะขอเรียกนามท่านใหม่ว่า “ หลวงพ่อชม ” เมื่อ หลวงพ่อชม บวชแล้วท่านก็จำพรรษาอยู่ที่วัดสะแกเรื่อยมา
พระอาจารย์สี พินทสุวัณโณ
ก็อย่างที่กล่าวมาตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า หลวงพ่อชม ท่านอยากเรียนอาคมเป็นอย่างมาก แต่ท่านอาจารย์เฮงเล่าก็ดุเสียเหลือเกิน ท่านจึงได้มาขอเรียนวิชากับ พระอาจารย์สี พินทสุวัณโณ ซึ่งท่านก็เป็นลูกศิษย์และเป็น “ สัทธิวิหาริก ” ใน หลวงพ่อกลั่น แห่งวัดพระญาติ ( สัทธิวิหาริก แปลว่า ผู้ที่ได้รับการบวชจากอุปัชฌาย์ หรือหลวงพ่อกลั่นเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ ) อีกทั้งพระอาจารย์สียังเป็นศิษย์รุ่นน้องของท่านอาจารย์เฮงตอนไปเรียนอาคมกับ หลวงพ่อกลั่น ที่วัดพระญาติ
พระอาจารย์สี ท่านจึงเก่งไม่แพ้ อาจารย์เฮง แถมตอนที่พระอาจารย์สีเรียนจบ หลวงพ่อกลั่น ยังได้มอบตำราโบราณของสำนักวัดประดู่ทรงธรรมให้อีกด้วย และนี่คือหนึ่งในตำราที่ หลวงพ่อชม ได้แอบศึกษา
ตอนที่ยังเป็นสามเณร
![]() |
อาจารย์เฮงถ่ายกับครอบครัว |
![]() |
อาจารย์เฮง ไพรยวัล |
สีผึ้งมหาเสน่ห์
หนึ่งในวิชามหาเสน่ห์ที่ท่าน พระอาจารย์สี ได้ถ่ายทอดให้กับ หลวงพ่อชม ก็คือ “ วิชาเสกสีผึ้ง ” ตำรับท่าน อาจารย์เฮง ไพรยวัล
![]() |
เหรียญรุ่นแรกปืนไขว้ ปี 2517 วัดเขาดิน เนื้อเงิน ตอกโค้ด พุทโธ |
อันวิชาเสกสีผึ้งนี้หากจะให้ขลังสามารถใช้ได้ผลจริง เวลาเสกจะต้องได้ยินเสียงสีผึ้งระเบิดดัง “ เปรี๊ยะ ” เสียก่อนจึงจะถือว่าสำเร็จ หลวงพ่อชม ท่านเสกคาถาอยู่ ๑๐๘ คาบก็ยังไม่เกิดผล ท่านนึกในใจว่า “ คงจะไม่สำเร็จแล้วกระมัง น่าจะเสียเวลาเปล่าๆ ” แต่ท่านก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า “ ตลอดเวลาที่ท่านเสก ท่านมั่วแต่พะวงคิดว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้ยินเสียงสีผึ้งระเบิดสักที ” และเหตุดังกล่าวเหล่านี้ทำให้จิตใจของท่านไม่สงบ จึงไม่เกิดผลใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อหลวงพ่อนึกได้อย่างนั้นแล้ว ท่านจึงตั้งจิตเป็นธงชัยตั้งใจเป็นพระคาถาแล้วทดลองเสกอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้ หลวงพ่อชม ท่านไม่สนใจเสียงใดๆ ทั้งสิ้น
โดยครั้งที่สองนี้ หลวงพ่อท่านเสกยังไม่ทันถึง ๑๐๘ คาบตามกำหนด ก็ปรากฏเสียงสีผึ้งระเบิดติดต่อกันถึง ๓ ครั้งซ้อน วิชาสีผึ้งมหาเสน่ห์ของหลวงพ่อชมนี้จึงสำเร็จครบถ้วนกระบวนการ
เสน่ห์เหนือเสน่ห์
![]() |
พระโมคคัลลาน์ รุ่นจตุพร เนื้อทองแดง ปี 2527 วัดเขาดิน |
อัน ปู่สอน นี้ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังทางด้านมหาเสน่ห์ที่ว่ากันว่า “ เป็นเสน่ห์ที่แรงที่สุด เท่าที่เคยมีมา ” ส่วนผลที่เกิดจากวิชานี้ก็เห็นเป็นที่ประจักษ์แจ้งต่อผู้คนประชาชนทั่วไป นั่นก็คือ “ ตัวปู่เอง ท่านมีสาวงามรุ่นลูกเป็นภรรยาถึง ๗ คน โดยอาศัยหลับนอนอยู่บนเรือนเดียวกัน อีกทั้งยังไม่เคยเกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเลย ”
หลวงพ่อชม จึงได้เดินทางไปขอเรียนวิชากับ ปู่สอน ที่อำเภออุทัย และเมื่อปู่เห็นหน้า หลวงพ่อชม ท่านก็ถูกชะตาเป็นอย่างมาก ยิ่งได้สนทนาปราศรัยก็ยิ่งถูกใจเป็นอย่างยิ่ง ปู่จึงครอบครูแล้วถ่ายทอดสุดยอดวิชาให้ และวิชานี้ก็คือ “ วิชาเสกแป้งแปลงหน้า ” นั่นเอง
อัน “ วิชาเสกแป้งแปลงหน้า ” นี้ หากนำมาผัดหน้าทาตัว เวลาเดินทางไปไหนมาไหน “ คนที่เห็นจะรู้สึกว่าเรามีรูปร่างงามสง่าน่าชม หน้าตาหล่อเหลาชวนมอง เป็นที่ต้องตาต้องใจแก่ผู้ที่พบเห็น แม้นตนจะเป็นคนรูปชั่วตัวดำก็ตามที ” เมื่อ หลวงพ่อชม มสำเร็จวิชานี้ ท่านได้ลองเสกให้ลูกศิษย์นำไปใช้ดู ก็ปรากฏผลเป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง...
( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1205 พระครูอุทุมพราศัย ( หลวงพ่อชม กสฺสโป ) วัดบางเดื่อ อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปักษ์หลัง เดือนมกราคม พ.ศ. 2560 ราคาปก 60 บาท )
วันนี้! อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้