ภาพและเรื่องโดย...คณะศิษย์หลวงปู่ขาว
ท่านมีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน 7 คน ตามลำดับดังนี้
1. นางวัน โคระถา 2. นายบุญจันทร์ โคระถา 3. นางหนูแดง โคระถา 4. หลวงปู่ขาว โคระถา 5. นายกาเหว่า โคระถา 5. นางหลอด โคระถา 7. นางใหล โคระถา พี่และน้องได้ถึงแก่อนิจกรรมไปหมดแล้ว
การอาชีพเมื่อเป็นฆราวาสของหลวงปู่ท่านทำนาค้าขาย เป็นคนขยันหมั่นเพียรมาก มีนิสัยซื่อสัตย์ สุจริต โอบอ้อมอารีกับญาติมิตรเพื่อนฝูงและผู้เกี่ยวข้องดีมาก ใครๆ ก็รักและชอบคบค้าสมาคม มีเพื่อนฝูงมาก แต่เป็นเพื่อนที่ดี มิใช่แบบมีเพื่อนฝูงมาก เหล้ายาปลาปิ้งมาก ลากกันลงนรกทั้งเป็นและล่มจมไปเป็นแถวๆ ดังที่รู้ๆ เห็นๆ กันอยู่ในสมัยจรวดรวดเร็วทันใจ คนสมัยนั้นมักมีแต่คนดี การคบกันจึงเป็นสง่าราศีแก่วงศ์สกุลมากกว่าจะพาให้เสียหายล่มจม
เมื่ออายุ 20 ปี บิดา-มารดาก็จัดให้มีครอบครัว ภรรยาชื่อ นางมี มีบุตรธิดาด้วยกัน 7 คน คนหัวปีเป็นชายชื่อ คำมี ได้ออกบวชตามพ่อคือ หลวงปู่ขาว เวลาท่านออกบวชแล้ว จนสิ้นอายุในเพศนักบวชเมื่อ พ.ศ.2525 นี่เองที่ วัดถ้ำกลองเพล เมื่อบวชแล้วก็ติดสอยห้อยตามหลวงปู่ และมาอยู่ที่ วัดถ้ำกลองเพล ด้วยจนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต คนที่สองชื่อ นายลี โคระถา เป็นผู้มีศรัทธา อุตส่าห์ติดตามมาปฏิบัติและถวายอาหารบิณฑบาตหลวงปู่เป็นประจำ ลูกที่มีนิสัยทางศาสนาอย่างเด่นชัดมีอยู่ 2 คน นอกนั้นก็ธรรมดาเหมือนโลกทั่วๆ ไป แต่จะไม่ขอออกนามลูกๆ ท่าน
ท่านอยู่ครองฆราวาสตามประเพณีของโลกหลายปี แต่รู้สึกไม่ค่อยราบรื่นชื่นใจนักในระหว่างคู่ครองทั้งสองที่อยู่ร่วมกันมา เนื่องจากภรรยาไม่ตั้งอยู่ในความสันโดษ คือ ความยินดีในสมบัติที่มีอยู่ของตนได้แก่คู่ครอง แต่ชอบหาเศษหาเลย ซึ่งเป็นยาพิษทำลายจิตใจของอีกฝ่ายหนึ่ง ตลอดสมบัติและความมั่นคงของครอบครัว คือเมียคบชู้สู่ชายอื่น ซึ่งเป็นประเภทกาฝากอันเป็นตัวทำลายถ่ายเดียว จนถึงกับอยู่ด้วยกันไม่ได้จิรังยั่งยืน หากจะคิดว่าถึงวาระกรรมหรือธรรมบันดาลก็สุดจะคาดคิดค้นเอาได้ถูก เพราะถ้าไม่มีเหตุสะเทือนใจอย่างหนักเช่นนี้เกิดขึ้น ท่านอาจจะยังไม่คิดในแง่อรรถธรรมถึงกับต้องสละตนออกบวชในระยะนั้นก็ได้ เพราะเท่าที่ทราบในประวัติความเป็นมาของการครองเรือนที่เป็นต้นเหตุให้ท่านคิดมาก ถึงกับคิดถึงการออกบวชก็มาจากสาเหตุที่เมียมีชู้ไม่อาจสงสัยไปอย่างอื่นอยู่แล้ว
ดังนั้นการที่เมียมีชู้ หรือผัวมีชู้ เมียมีหลายผัว หรือผัวมีหลายเมียเหล่านี้ จึงควรยกให้กิเลสราคะตัณหาตัวไม่รู้จักอิ่มพอกวาดต้อนเข้าสู่คลัง มหิจฺฉตา ของมันไปเสีย เพื่อไม่ให้มีความกระทบกระเทือนถึงอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่มีส่วนรู้เห็นและผิดด้วย เพราะเรื่องทำนองนี้มีอยู่ทั่วไป และยิ่งจะนับวันมากขึ้น ถ้าโลกต่างพอใจส่งเสริมโดยไม่สนใจเห็นโทษของมันด้วยอรรถธรรม คือ สนฺตุฏฺฐี ปรมํ ธนํ ความยินดีเฉพาะผัว-เมียของตนเป็นทรัพย์ เครื่องปลื้มใจอย่างประเสริฐอยู่แล้ว เพราะความสงบสุขของครอบครัวผัว-เมียอยู่ที่ความยินดีต่อกัน และอยู่ที่โอวาทแห่งธรรมบทนี้ มิได้อยู่ที่ มหิจฺฉตา หลายผัวหลายเมียดังที่คิดและสนใจใฝ่ฝันกันเลย ดังนั้นโลกครอบครัวผัวเมียถ้าอยากมีความสงบสุขร่มเย็นจิรังยั่งยืน จึงไม่ควรฝักใฝ่ใส่ใจเสาะแสวงหาหญิงชายเศษเดนประเภทยาพิษมาเคลือบแฝงครอบครัวผัวเมีย ควรรักสงวนและบำรุงรักษาสมบัติคือคู่ครองที่มีอยู่ของตน ให้มีความอบอุ่นตายใจและเห็นอกเห็นใจกันตลอดไปจนวันอวสาน จะเป็นผู้ครองความสุขได้สมใจที่ใฝ่ฝัน
คำว่า ราคะตัณหา นั้น ย่อมเหมือนไฟในครัวเรือน โลกปราศจากไม่ได้ทั้งสองอย่าง คือต้องเสาะแสวงกันทั้งหญิงทั้งชายในเรื่องครอบครัวผัวเมีย เพราะราคะตัณหาเป็นนายบังคับให้จำต้องแสวง ไฟสำหรับหุงต้มแกง ตลอดแสงสว่างต่างๆ อันหาประมาณไม่ได้ จำต้องมีสำหรับมนุษย์และครอบครัว ทั้งสองอย่างนี้หากนำมาทำประโยชน์ตามความจำเป็นก็ย่อมสนองความต้องการได้เท่าที่ควร แต่ถ้าประมาทลืมตัว ขาดความระมัดระวัง ทั้งสองอย่างนี้ย่อมเผาผลาญมนุษย์ให้ฉิบหายวายป่วงไปได้ไม่อาจสงสัย ดังนั้นปราชญ์ท่านจึงสอนมนุษย์ผู้อยู่ใต้อำนาจแห่ง ราคคฺคิ โทสคฺคิ โมหคฺคิ เหล่านี้ด้วยธรรมอันเป็นน้ำดับไฟ ไม่ปล่อยให้ลุกลามใหญ่โตจะกลายเป็นโลกวินาศ เช่นเดียวกับการรักษาไฟในบ้านไม่ให้เป็นอันตรายแก่ตนและสมบัติทั้งหลายฉะนั้น
การเริ่มออกบวชของท่านได้ปรากฏขึ้นในวาระต่อมาที่ได้พบเห็นสิ่งที่รักและปักลึกสุดขั้วหัวใจ กลับกลายเป็นมหาภัยสังหารทำลายหัวใจอย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ท่านเองเกิดความทุเรศและความเคียดแค้นแสนจะอดกลั้นทนทานได้ในเหตุการณ์นั้น แต่ก็คงมีบารมีธรรมที่เคยบำเพ็ญมา มาช่วยสะกิดใจไว้ได้ทันท่วงทีในขณะนั้นว่า แม้แต่มดตัวเล็กๆ กัดเรายังรู้จักเจ็บและปัดออกในทันทีทันใด การฆ่าคนให้ล้มตายนั้น ความทุกข์ของผู้จะถูกฆ่าแม้เป็นฝ่ายผิดและรู้ตัวว่าผิดจะมีทุกข์มากขนาดไหน จงยับยั้งใจไว้พิจารณาให้ดีและละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะสายเกินแก้ว่า ทำไมเราจึงเป็นผู้ยินดีและพอใจทำในสิ่งเลวร้ายที่โลกทั้งหลายไม่พึงปรารถนา และปราชญ์ติเตียนอย่างยิ่งเช่นนี้ เราฆ่าเขาให้ตายสมใจแล้ว เราจะได้อะไรที่พึงใจเป็นเครื่องตอบแทนบ้าง นอกจากมหันตโทษ มหันตทุกข์ล้วนๆ ไม่มีประมาณเท่านั้น จะสะท้อนย้อนกลับมาเผาผลาญเรา คำว่า เมียมีชู้ ผัวมีชู้ เมียมีหลายผัว ผัวมีหลายเมียนี้ เพิ่งมาเกิดแก่เราคนเดียวเท่านั้นหรือ
ในโลกทั้งหลายตลอดวงนักปราชญ์ที่ท่านมาเป็นศาสดา มาเป็นพระสาวก มาเป็นครูอาจารย์สอนเรา ท่านไม่เคยมีเคยเจอสิ่งสกปรกอันเป็นสมบัติของสัตว์นรกเหล่านี้มาละหรือ ในโลกมีเฉพาะเราคนเดียว เจอเฉพาะเราคนเดียวเท่านี้หรือ รีบคิดและตัดสินใจให้ถูก ถ้าจะไม่ตั้งหน้าทำลายตัวเองให้ฉิบหายจนไม่มีเชื้อแห่งความดีเป็นเครื่องสืบต่อภพต่อชาติในภพต่อไป คนเราจะรู้ว่าตนโง่หรือตนฉลาด จะล่มจมหรือจะเอาตัวรอดปลอดภัยถึงแดนแห่งชัยชนะได้ ย่อมถือเหตุการณ์เป็นเครื่องวัดตวงในการปฏิบัติตัวต่อเหตุการณ์นั้นๆ ปราชญ์ทั้งหลายแต่ดึกดำบรรพ์มา ท่านไม่เคยเสียท่าเสียทีเพราะการทุ่มตัวให้กับสิ่งเลวทรามทั้งหลาย นอกจากท่านคิดอุบายพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงสิ่งเลวร้าย ให้กลายมาเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงธรรมให้เจริญภายในใจถ่ายเดียว แต่ตัวเจ้าเองทำไมจะทำตัวเป็นมนุษย์เหลวแหลกแตกกระจายไม่เป็นท่าด้วยการทำชั่วตามเหตุการณ์ของโลกที่ไม่มีประมาณแห่งความพอดีที่ผู้อื่นก่อขึ้นเช่นนี้เล่า? เพียงเท่านี้ไม่อาจยับยั้งได้ เจ้าจะพยุงตัวเพื่อความดีงามไปได้อย่างไร เมียของเจ้าเขาลุอำนาจแห่งราคะตัณหาไปตามประสาของหญิงที่ไม่มีเขตแดน แต่ตัวเจ้าเองที่เข้าใจว่าตัวเป็นฝ่ายถูกฝ่ายดีกว่าเขา แต่แล้วเจ้าก็จะลุอำนาจไปตามโทสะ ความอาฆาตมาดร้ายและทำลายเขาให้ตายสมใจนั้น ในคนทั้งสอง คือเมียผู้นอกใจกับตัวเจ้าเองผู้ฆ่าเมียและชายชู้ให้ตายพร้อมกันในขณะเดียวสองคนนั้น จะจัดว่าใครเลวร้ายกว่าใคร
ตามสายธรรมของจอมปราชญ์มีพระศาสดาเป็นพยานแล้ว ตัวเจ้าเองต้องจัดว่าเป็นผู้ทำกรรมชั่วอย่างหนักมาก จนไม่มีมหาเมตตาในธรรมบทใดบาทใดให้อภัยเจ้าได้ เจ้าต้องลงนรกหลุมมหันตทุกข์โดยถ่ายเดียวไม่เป็นอย่างอื่นเลย เจ้าจะเชื่อโทสะกิเลสที่กำลังรุมล้อมพัดผันหัวใจของเจ้าเพื่อให้เป็นไปตามอำนาจของมัน หรือจะเชื่อธรรมของจอมปราชญ์ที่เคยพยุงสัตว์โลกผู้ได้ทุกข์ให้เบาบางสร่างซามานานแสนนาน รีบคิดและตัดสินใจโดยถูกทางเดี๋ยวนี้อย่าชักช้าล้าหลัง กิเลสตัวโหดร้ายจะแซงธรรมและขยำตัวเจ้าให้แหลกทั้งเป็น ถ้าไม่รีบจัดการกับมันแต่ขณะนี้
ท่านว่าเป็นที่แปลกประหลาดและอัศจรรย์อย่างไม่เคยคาดฝันมาก่อน พอความอัศจรรย์ผุดขึ้นจากภายในอันเป็นเชิงบอกเตือนด้วยอุบายต่างๆ ราวกับครูอาจารย์ที่เคารพนับถือมานั่งสั่งสอนเราอยู่เฉพาะหน้าให้สงบลงไป ใจที่เป็นเหมือนกองเพลิงใหญ่ซึ่งกำลังส่งเปลวเต็มที่ พร้อมจะเผาไหม้สิ่งที่กีดขวางอยู่เวลานั้นให้เป็นผุยผงชั่วประเดี๋ยวใจนั้น ได้สงบตัวลงอย่างเงียบผิดธรรมดา และเกิดความสลดสังเวชในเหตุการณ์เกี่ยวกับเมียนอกใจ พร้อมด้วยความอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยความสงสารและความให้อภัยเต็มดวงใจ พร้อมกับความเห็นโทษแห่งความโหดร้ายหมายชีวิตอย่างถึงใจในขณะเดียวกัน ยกมือขึ้นประนม สาธุๆๆ
พระธรรมท่านโปรดปรานว่าที่สัตว์นรกไว้ได้ทันท่วงที หลังจากมรสุมในหัวใจสงบลงโดยสิ้นเชิงแล้ว ใจกลับว่างเปล่าโล่งสบายหายทุกข์เข็ญเวรภัยทั้งปวงในขณะนั้น ราวกับเกิดชาติใหม่ขึ้นมาในร่างกายและใจดวงเดียวกัน ทำให้คิดทบทวนหวนกลับไปกลับมา ย้อนหน้าย้อนหลัง ทั้งอดีตที่เคยตีบตันอั้นตู้จนจะหาทางออกไม่ได้ ถึงกับจะคิดเผาไหม้ตัวเองสดๆ ร้อนๆ โดยเห็นว่าเป็นทางออกที่ดี ทั้งอนาคตเกี่ยวกับความเป็นไปในวันข้างหน้าว่าจะควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะสมมักสมหมาย ไม่คลุกเคล้าด้วยมูตรด้วยคูถด้วยฟืนด้วยไฟดังที่เป็นมาแล้ว ที่น่าสลดสังเวช น่าขยะแขยง และไม่พึงปรารถนาตลอดอนันตกาล
แต่ก่อนท่านไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการหวังความเจริญในทางโลก เมื่อมาประสบเหตุการณ์ธรรมทูตนี้ ความรู้สึกสำนึกทั้งหลายจึงหนักไปในอรรถในธรรมมากกว่าจะคิดไปในแง่อื่นๆ จนถึงขั้นปลงใจบวชด้วยความเห็นโทษเห็นคุณจริงๆ เนื่องจากอะไรก็เคยคิดเคยผ่านมามากต่อมากแล้ว สิ่งที่จะให้สมหวังไม่ค่อยปรากฏ มักมีแต่สิ่งไม่พึงหวังมาปรากฏซ้ำๆ ซากๆ จนถึงขั้นชอกช้ำเต็มที่ แทบจะหาที่ปลงที่วางไม่ได้ คิดเห็นแต่ธรรมอย่างเดียวจะพึ่งเป็นพึ่งตายได้ ด้วยการออกบวชปฏิบัติธรรมให้เต็มกำลังความสามารถ อย่างอื่นๆ ไม่ค่อยมีในห้วงแห่งความคิดนึก จึงได้ตัดสินใจออกบวช โดยบอกความประสงค์ให้ญาติมิตรเพื่อนฝูงทราบแล้วก็ออกถวายตัวเป็นนาคในวัดเพื่อบวชโดยไม่ชักช้า
สำหรับท่านเองไม่ยอมฟังเสียงใคร แต่ไม่คัดค้านให้เป็นความกระเทือนใจกันเปล่า ไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสองฝ่าย ในความรู้สึกที่ฝังลึกอยู่ภายในใจท่านว่า คนเหล่านี้และพระอาจารย์เหล่านี้มิได้เป็นเจ้าของศาสนา มิได้เป็นเจ้าของมรรคผลนิพพาน และมิได้เป็นผู้มีอำนาจทำให้ผู้อื่นเป็นบ้าเป็นบอได้ พอจะเชื่อถือได้ เราเชื่อพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวกับพระธรรมและพระสงฆ์สาวกอรหันต์เท่านั้น ว่าเป็นผู้ประเสริฐในโลกทั้งสาม ท่านที่พูดหว่านล้อมกีดกันไม่ให้เราออกกรรมฐานด้วยอุบายต่างๆ นี้มิใช่ผู้วิเศษวิโสอะไรเลย เพียงมองดูกิริยาท่าทางที่แสดงออกก็ทราบได้ว่า เป็นนักปราชญ์หรือเป็นคนพาลมีสันดานเป็นอย่างไรบ้าง ฉะนั้น คำกีดกันหวงห้ามใดๆ ที่แสดงออก จึงไม่เป็นสิ่งที่เราจะนำมาวินิจฉัยให้เสียเวลา เราจะต้องออกปฏิบัติกรรมฐานโดยถ่ายเดียวในไม่ช้านี้ และจะค้นหาของจริงตามหลักธรรมที่ประทานไว้จนสุดกำลังความสามารถขาดดิ้นสิ้นซาก พระกรรมฐานคือตัวเราเอง ตายก็ยอมถวายชีวิตไว้กับพระธรรมดวงเลิศ เมื่อพร้อมแล้วท่านก็ออกเดินธุดงค์ในท่ามกลางประชาชนและครูอาจารย์ทั้งหลายที่กำลังชุมนุมกันอยู่ในวัดเวลานั้น เวลาจะไปท่านพูดสั่งเสียด้วยความจริงใจเพื่อเป็นการแก้ปัญหาต่างๆ ที่คัดค้านโดยปริยายว่า เมื่อกระผมและอาตมาไปแล้ว ถ้าสอนตัวเองไม่ได้เต็มภูมิจิตภูมิธรรมตราบใด จะไม่มาให้ท่านทั้งหลายเห็นหน้าตราบนั้น จะหวังตายเพื่อความรู้ความเห็นแจ้งในธรรมเท่านั้นไม่เป็นอย่างอื่นแน่นอน กรุณาช่วยจำคำนี้ไว้ด้วย หากยังมีวาสนาได้กลับมาพบหน้ากันอีกจะลืมไปเสีย การที่เราจะมีโอกาสได้พบเห็นกันในอนาคตจึงมีอยู่เพียงอย่างเดียวดังที่เรียนแล้ว คือการรู้เห็นธรรมประจักษ์ใจหายสงสัยโดยสิ้นเชิงแล้ว ถึงจะกลับมาให้ท่านทั้งหลายเห็นหน้า
ท่านว่าขณะที่ผู้คนส่วนมาก ทั้งพระอาจารย์ใหญ่ๆ ทั้งฆราวาสที่ชาวบ้านเคารพนับถือกันว่าเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต พูดคัดค้านกีดกันอยู่นั้น ใจเราเหมือนจะกัดเพชรทั้งก้อนให้แหลกเป็นผุยผงไปในนาทีเดียว และเหมือนจะเหาะเหินเดินไปทางอากาศให้เขาดูในเวลานั้น รู้สึกมันมานะมันกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ภายในใจ ราวกับจะออกแสงแจ่มจ้าพุ่งออกมาให้คนทั้งหลายเหล่านั้นเห็นเสียที ซึ่งเป็นลักษณะประกาศตนว่า
“นี่ไงล่ะแสงเพชรอยู่ในใจข้านี้ไงล่ะ พากันเห็นหรือยัง จะพากันมัวประมาท ข้าว่าจะไปเป็นบ้าเป็นบอลูบคลำอะไรต่างๆ อยู่นั้นหรือ ใจข้ากับใจท่านทั้งหลายมันมิได้เป็นดวงเดียวกัน พอจะกวาดต้อนเข้ามามั่วสุมชุมนุมกันตายแบบไม่มีคุณค่า ราวกับหมาตายอย่างไรกัน ข้ายังไม่พอใจจะตายตามแบบที่ท่านทั้งหลายจะพาตายอยู่เวลานี้ ข้าประสงค์จะตายแบบพระพุทธเจ้าพาตาย ซึ่งไม่มีเชื้อแห่งภพเหลือหลออยู่เลย ตายแบบนี้ข้าเคยตายมามากต่อมากแล้ว จนไม่สามารถจะพรรณนาป่าช้าของตนได้ แม้ไม่รู้ด้วยญาณ ข้าก็เชื่อพระพุทธเจ้าผู้ทรงญาณอันเอกไม่มีใครเสมอเหมือน”
เสร็จแล้วก็ลาพระอาจารย์นักปราชญ์ทั้งหลายออกเดินทางท่ามกลางประชาชนจำนวนมาก มุ่งหน้าไปทางพระธาตุพนม เดินบุกป่าฝ่าดงไปด้วยเท้าตามทางล้อทางเกวียน เพราะสมัยนั้นถนนไม่มีแม้แต่รูปร่าง นอกจากทางคนเดินเท้าและทางเกวียนเท่านั้น ในดงใหญ่นั้นช้างก็ชุม เสือก็มาก สัตว์ป่าชนิดต่างๆ มีเต็มไปทุกหนทุกแห่ง เพราะไม่มีบ้านผู้คนมากเหมือนสมัยทุกวันนี้ ซึ่งไปที่ไหนมีเต็มไปด้วยผู้คนบ้านเรือน ป่าก็ป่าจริงๆ ถ้าเดินผิดทางก็มีหวังอดข้าวหรืออาจตายได้ เนื่องจากไม่พบบ้านพบเรือนคนที่ไหนเลย แม้เดินทางทั้งวันก็แทบจะไม่เจอบ้านคน อุตส่าห์เดินบุกป่าฝ่าดงมาจนถึงพระธาตุพนม ลุถึงอุดรฯ หนองคาย เพื่อตามหา ท่านอาจารย์มั่น ซึ่งทราบว่าท่านจำพรรษาอยู่ที่อำเภอท่าบ่อ เมื่อไปถึงและอาศัยอยู่กับท่าน ได้พักอบรมกับท่านชั่วระยะเท่านั้นยังไม่จุใจที่อยากอยู่เลย ท่านก็หนีจากเราไปทางเชียงใหม่หายเงียบไปเลย คราวนั้นก็นับว่าเป็นคนสิ้นท่าไปพักหนึ่ง เพราะไม่มีครูอาจารย์ให้โอวาทสั่งสอน พอทราบข่าวว่าท่านอาจารย์มั่นไปพักบำเพ็ญเพียรอยู่ที่เชียงใหม่ จึงพยายามตามหลังท่านไปโดยการเที่ยวธุดงคกรรมฐานไปเรื่อยๆ ตามลำแม่น้ำโขง จนลุถึงเชียงใหม่และเที่ยวบำเพ็ญอยู่ตามอำเภอต่างๆ ด้วยความสงบสุข
ที่ที่ท่านพักบำเพ็ญแต่ละแห่งนั้นล้วนเป็นป่าเป็นเขาและห่างไกลจากหมู่บ้านมาก ท่านอาจารย์มั่นเองก็เที่ยวอยู่ตามแถบนั้นเช่นกัน แต่ตามท่านไม่พบอย่างง่ายๆ เพราะท่านชอบปลีกตัวจากหมู่คณะเสมอ ไม่ยอมให้ใครพบอย่างง่ายดาย ท่านก็พยายามตามท่านอย่างไม่ลดละ จนได้พบและได้ฟังการอบรมจากท่านจริงๆ แต่ท่านไม่ค่อยให้ใครอยู่ด้วย ท่านชอบอยู่เฉพาะองค์เดียว ท่านว่าท่านก็พยายามไปอยู่ในแถวใกล้เคียงท่าน พอไปมาหาสู่เพื่อรับโอวาทได้ในคราวจำเป็น เมื่อเข้าไปเรียนศึกษาข้ออรรถข้อธรรม ท่านก็เมตตาสั่งสอนอย่างเต็มภูมิไม่ปิดบังลี้ลับ แต่ไม่ค่อยให้ใครอยู่ด้วย ท่านว่าท่านก็พอใจที่ท่านเมตตาสั่งสอนในเวลาจำเป็นเข้าไปเรียนถาม เมื่อหมดข้อข้องใจแล้วก็กราบลาท่านไปบำเพ็ญตามลำพัง มีการเข้าๆ ออกๆ อยู่เสมอ เมื่ออยู่นานไปบางปีท่านก็เมตตาให้เข้าไปจำพรรษาด้วย รู้สึกดีใจเหมือนตัวจะลอยที่พยายามมาหลายปีเพิ่งสำเร็จ
จากนั้นก็ได้จำพรรษากับท่านเรื่อยมา การบำเพ็ญทางจิตภาวนารู้สึกได้กำลังขึ้นเป็นลำดับตอนไปอยู่ที่เชียงใหม่แล้ว พร้อมกับได้ครูอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำสั่งสอน ใจจึงเหมือนจะเหาะจะบินด้วยอำนาจแห่งความอิ่มเอิบในธรรมที่ปรากฏอยู่กับใจ ไม่มีความอับเฉาเศร้าใจเพราะความเป็นลุ่มๆ ดอนๆ ของใจเหมือนพักอยู่ที่อื่นๆ ใจนับวันเจริญขึ้นโดยลำดับ ทั้งด้านสมาธิและปัญญา มีความเพลิดเพลินในความเพียงทั้งกลางวันและกลางคืนไม่มีเวลาอิ่มพอ
![]() |
เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล พ.ศ.2509 |
ชีวประวัติของ หลวงปู่ขาว
พระหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู ( ปัจจุบันเป็น จังหวัดหนองบัวลำภู ) จ.อุดรธานี นามเดิมท่านชื่อ ขาว โคระถา เกิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2431 ตรงกับวันอาทิตย์ ปีชวด ณ บ้านบ่อชะเนง ต.หนองแก้ว อ.อำนาจเจริญ ( ปัจจุบันเป็น จังหวัดอำนาจเจริญ ) จ.อุบลราชธานี บิดาชื่อ พั่ว มารดาชื่อ รอด โคระถาท่านมีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน 7 คน ตามลำดับดังนี้
1. นางวัน โคระถา 2. นายบุญจันทร์ โคระถา 3. นางหนูแดง โคระถา 4. หลวงปู่ขาว โคระถา 5. นายกาเหว่า โคระถา 5. นางหลอด โคระถา 7. นางใหล โคระถา พี่และน้องได้ถึงแก่อนิจกรรมไปหมดแล้ว
![]() |
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จไปทรงเยี่ยมหลวงปู่ขาว อนาลโย ณ วัดถ้ำกลองเพล ซึ่งในตอนนั้น หลวงปู่ยังมีสุขภาพแข็งแรงดีอยู่ |
เมื่ออายุ 20 ปี บิดา-มารดาก็จัดให้มีครอบครัว ภรรยาชื่อ นางมี มีบุตรธิดาด้วยกัน 7 คน คนหัวปีเป็นชายชื่อ คำมี ได้ออกบวชตามพ่อคือ หลวงปู่ขาว เวลาท่านออกบวชแล้ว จนสิ้นอายุในเพศนักบวชเมื่อ พ.ศ.2525 นี่เองที่ วัดถ้ำกลองเพล เมื่อบวชแล้วก็ติดสอยห้อยตามหลวงปู่ และมาอยู่ที่ วัดถ้ำกลองเพล ด้วยจนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต คนที่สองชื่อ นายลี โคระถา เป็นผู้มีศรัทธา อุตส่าห์ติดตามมาปฏิบัติและถวายอาหารบิณฑบาตหลวงปู่เป็นประจำ ลูกที่มีนิสัยทางศาสนาอย่างเด่นชัดมีอยู่ 2 คน นอกนั้นก็ธรรมดาเหมือนโลกทั่วๆ ไป แต่จะไม่ขอออกนามลูกๆ ท่าน
![]() |
เหรียญรุ่นสอง หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล พ.ศ.2511 หลังเจดีย์ |
![]() |
เหรียญรุ่นสอง หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล พ.ศ.2511 (กลมไม่มีห่วง) |
![]() |
เหรียญรุ่นสอง หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล พ.ศ.2511 |
คำว่า ราคะตัณหา นั้น ย่อมเหมือนไฟในครัวเรือน โลกปราศจากไม่ได้ทั้งสองอย่าง คือต้องเสาะแสวงกันทั้งหญิงทั้งชายในเรื่องครอบครัวผัวเมีย เพราะราคะตัณหาเป็นนายบังคับให้จำต้องแสวง ไฟสำหรับหุงต้มแกง ตลอดแสงสว่างต่างๆ อันหาประมาณไม่ได้ จำต้องมีสำหรับมนุษย์และครอบครัว ทั้งสองอย่างนี้หากนำมาทำประโยชน์ตามความจำเป็นก็ย่อมสนองความต้องการได้เท่าที่ควร แต่ถ้าประมาทลืมตัว ขาดความระมัดระวัง ทั้งสองอย่างนี้ย่อมเผาผลาญมนุษย์ให้ฉิบหายวายป่วงไปได้ไม่อาจสงสัย ดังนั้นปราชญ์ท่านจึงสอนมนุษย์ผู้อยู่ใต้อำนาจแห่ง ราคคฺคิ โทสคฺคิ โมหคฺคิ เหล่านี้ด้วยธรรมอันเป็นน้ำดับไฟ ไม่ปล่อยให้ลุกลามใหญ่โตจะกลายเป็นโลกวินาศ เช่นเดียวกับการรักษาไฟในบ้านไม่ให้เป็นอันตรายแก่ตนและสมบัติทั้งหลายฉะนั้น
สาเหตุให้ท่านออกบวช
![]() |
เจดีย์หลวงปู่ขาว เป็นที่เก็บอัฐิธาตุของ หลวงปู่ขาว สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2509 |
![]() |
พระพุทธรูปในอุโบสถ |
![]() |
พิพิธภัณฑ์อัฐบริขารของหลวงปู่ขาว |
ตามสายธรรมของจอมปราชญ์มีพระศาสดาเป็นพยานแล้ว ตัวเจ้าเองต้องจัดว่าเป็นผู้ทำกรรมชั่วอย่างหนักมาก จนไม่มีมหาเมตตาในธรรมบทใดบาทใดให้อภัยเจ้าได้ เจ้าต้องลงนรกหลุมมหันตทุกข์โดยถ่ายเดียวไม่เป็นอย่างอื่นเลย เจ้าจะเชื่อโทสะกิเลสที่กำลังรุมล้อมพัดผันหัวใจของเจ้าเพื่อให้เป็นไปตามอำนาจของมัน หรือจะเชื่อธรรมของจอมปราชญ์ที่เคยพยุงสัตว์โลกผู้ได้ทุกข์ให้เบาบางสร่างซามานานแสนนาน รีบคิดและตัดสินใจโดยถูกทางเดี๋ยวนี้อย่าชักช้าล้าหลัง กิเลสตัวโหดร้ายจะแซงธรรมและขยำตัวเจ้าให้แหลกทั้งเป็น ถ้าไม่รีบจัดการกับมันแต่ขณะนี้
ท่านว่าเป็นที่แปลกประหลาดและอัศจรรย์อย่างไม่เคยคาดฝันมาก่อน พอความอัศจรรย์ผุดขึ้นจากภายในอันเป็นเชิงบอกเตือนด้วยอุบายต่างๆ ราวกับครูอาจารย์ที่เคารพนับถือมานั่งสั่งสอนเราอยู่เฉพาะหน้าให้สงบลงไป ใจที่เป็นเหมือนกองเพลิงใหญ่ซึ่งกำลังส่งเปลวเต็มที่ พร้อมจะเผาไหม้สิ่งที่กีดขวางอยู่เวลานั้นให้เป็นผุยผงชั่วประเดี๋ยวใจนั้น ได้สงบตัวลงอย่างเงียบผิดธรรมดา และเกิดความสลดสังเวชในเหตุการณ์เกี่ยวกับเมียนอกใจ พร้อมด้วยความอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยความสงสารและความให้อภัยเต็มดวงใจ พร้อมกับความเห็นโทษแห่งความโหดร้ายหมายชีวิตอย่างถึงใจในขณะเดียวกัน ยกมือขึ้นประนม สาธุๆๆ
![]() |
เหรียญรุ่นสาม ส.น. หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล พ.ศ.2514 |
![]() |
เหรียญรุ่นสี่ หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล พ.ศ.2515 |
แต่ก่อนท่านไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการหวังความเจริญในทางโลก เมื่อมาประสบเหตุการณ์ธรรมทูตนี้ ความรู้สึกสำนึกทั้งหลายจึงหนักไปในอรรถในธรรมมากกว่าจะคิดไปในแง่อื่นๆ จนถึงขั้นปลงใจบวชด้วยความเห็นโทษเห็นคุณจริงๆ เนื่องจากอะไรก็เคยคิดเคยผ่านมามากต่อมากแล้ว สิ่งที่จะให้สมหวังไม่ค่อยปรากฏ มักมีแต่สิ่งไม่พึงหวังมาปรากฏซ้ำๆ ซากๆ จนถึงขั้นชอกช้ำเต็มที่ แทบจะหาที่ปลงที่วางไม่ได้ คิดเห็นแต่ธรรมอย่างเดียวจะพึ่งเป็นพึ่งตายได้ ด้วยการออกบวชปฏิบัติธรรมให้เต็มกำลังความสามารถ อย่างอื่นๆ ไม่ค่อยมีในห้วงแห่งความคิดนึก จึงได้ตัดสินใจออกบวช โดยบอกความประสงค์ให้ญาติมิตรเพื่อนฝูงทราบแล้วก็ออกถวายตัวเป็นนาคในวัดเพื่อบวชโดยไม่ชักช้า
การบวชของหลวงปู่ขาว
ท่านออกบวชคราวแรก บวชที่วัดโพธิ์ศรี บ้านบ่อชะเนง ต.หนองแก้ว อ.อำนาจเจริญ (ปัจจุบันเป็น จังหวัดอำนาจเจริญ) จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2462 โดย พระครูพุฒิศักดิ์ เจ้าคณะอำเภออำนาจเจริญ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์บุญจันทร์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และอยู่จำพรรษาเพื่อศึกษาหลักพระธรรมวินัยในวัดโพธิ์ศรีถึง 6 ปี ในเวลาที่อยู่ในวัดนั้น สังเกตดูครูอาจารย์และเพื่อนภิกษุ-สามเณรด้วยกันประพฤติปฏิบัติพระธรรมวินัยก็เป็นลุ่มๆ ดอนๆ ผิดๆ พลาดๆ ไม่เป็นที่จับใจเชื่อถือได้ ไม่สมเจตนาที่ออกบวชเพื่อมรรคเพื่อผลด้วยความบริสุทธิ์ใจดังที่ตั้งไว้ เมื่อคิดอ่านทบทวนเกี่ยวกับการอยู่และการออกปฏิบัติธรรมจนเป็นที่แน่ใจแล้ว จึงเข้ากราบลาอุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดญาติมิตรเพื่อนฝูงเพื่อทราบเจตนาและความประสงค์ในการออกปฏิบัติธรรมอุปสรรคในการออกเที่ยวธุดงคกรรมฐาน
ตอนก่อนปฏิบัติกรรมฐาน ท่านก็เคยได้รับอารมณ์เขย่าก่อกวนใจนานาประการที่จะให้เป็นอุปสรรคต่อการบำเพ็ญจากคนทั้งหลาย ทั้งเป็นพระทั้งเป็นฆราวาสว่า เวลานี้มรรคผลนิพพานหมดเขตหมดสมัยไปนานแล้ว ใครจะบำเพ็ญถูกต้องดีงามตามพระธรรมวินัยเพียงไร ก็ไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จตามใจหวังได้บ้าง ว่าการบำเพ็ญภาวนาทำให้คนเป็นบ้า ถ้าใครอยากเป็นบ้าก็ออกบำเพ็ญภาวนา ถ้าใครยังอยากเป็นคนดีเหมือนชาวบ้านเขา ก็ไม่ควรออกกรรมฐานเพื่อความเป็นบ้าบ้าง ว่าสมัยนี้เขาไม่มีพระธุดงคกรรมฐานกันหรอก นอกจากพระธุดงคกรรมฐานที่จำหน่ายตะกรุด คาถาวิชาอาคมของขลังต่างๆ เช่น พวกเสน่ห์ยาแฝด อยู่ยงคงกระพันชาตรี ดูฤกษ์งามยามดี ดูชะตาราศีเท่านั้น ส่วนพระธุดงคกรรมฐานที่ดำเนินตามทางพระธุดงค์นั้นไม่มีแล้วสำหรับทุกวันนี้ อย่าไปทำให้เสียเวลาและเหนื่อยเปล่าเลย สู้อยู่สบายอย่างนี้ไม่ได้ บรรดาอุปสรรคที่กีดขวางทางออกบำเพ็ญธุดงควัตรในเวลานั้นรู้สึกมีมากมาย![]() |
รูปปั้นหลวงปู่ขาว |
![]() |
มณฑปหลวงปู่ขาว หรือมณฑปอนาลโย สร้างขึ้น ตั้งแต่สมัยหลวงปู่ขาวยังมีชีวิตอยู่ ปี พ.ศ.2511 |
ท่านว่าขณะที่ผู้คนส่วนมาก ทั้งพระอาจารย์ใหญ่ๆ ทั้งฆราวาสที่ชาวบ้านเคารพนับถือกันว่าเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต พูดคัดค้านกีดกันอยู่นั้น ใจเราเหมือนจะกัดเพชรทั้งก้อนให้แหลกเป็นผุยผงไปในนาทีเดียว และเหมือนจะเหาะเหินเดินไปทางอากาศให้เขาดูในเวลานั้น รู้สึกมันมานะมันกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ภายในใจ ราวกับจะออกแสงแจ่มจ้าพุ่งออกมาให้คนทั้งหลายเหล่านั้นเห็นเสียที ซึ่งเป็นลักษณะประกาศตนว่า
“นี่ไงล่ะแสงเพชรอยู่ในใจข้านี้ไงล่ะ พากันเห็นหรือยัง จะพากันมัวประมาท ข้าว่าจะไปเป็นบ้าเป็นบอลูบคลำอะไรต่างๆ อยู่นั้นหรือ ใจข้ากับใจท่านทั้งหลายมันมิได้เป็นดวงเดียวกัน พอจะกวาดต้อนเข้ามามั่วสุมชุมนุมกันตายแบบไม่มีคุณค่า ราวกับหมาตายอย่างไรกัน ข้ายังไม่พอใจจะตายตามแบบที่ท่านทั้งหลายจะพาตายอยู่เวลานี้ ข้าประสงค์จะตายแบบพระพุทธเจ้าพาตาย ซึ่งไม่มีเชื้อแห่งภพเหลือหลออยู่เลย ตายแบบนี้ข้าเคยตายมามากต่อมากแล้ว จนไม่สามารถจะพรรณนาป่าช้าของตนได้ แม้ไม่รู้ด้วยญาณ ข้าก็เชื่อพระพุทธเจ้าผู้ทรงญาณอันเอกไม่มีใครเสมอเหมือน”
![]() |
ป้ายวัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู |
![]() |
กุฏิเก่าของหลวงปู่ขาวเป็นเรือนไม้หลังเล็กๆ ตั้งอยู่กลางดงไม้ |
จากนั้นก็ได้จำพรรษากับท่านเรื่อยมา การบำเพ็ญทางจิตภาวนารู้สึกได้กำลังขึ้นเป็นลำดับตอนไปอยู่ที่เชียงใหม่แล้ว พร้อมกับได้ครูอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำสั่งสอน ใจจึงเหมือนจะเหาะจะบินด้วยอำนาจแห่งความอิ่มเอิบในธรรมที่ปรากฏอยู่กับใจ ไม่มีความอับเฉาเศร้าใจเพราะความเป็นลุ่มๆ ดอนๆ ของใจเหมือนพักอยู่ที่อื่นๆ ใจนับวันเจริญขึ้นโดยลำดับ ทั้งด้านสมาธิและปัญญา มีความเพลิดเพลินในความเพียงทั้งกลางวันและกลางคืนไม่มีเวลาอิ่มพอ
( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1193 หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู ปักษ์หลัง เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2559 ราคาปก 60 บาท )