หลวงพ่อบุญนาค สีลสํวโร วัดประดู่ทรงธรรม อยุธยา

ภาพและเรื่องโดย ลายทอง คงคาพยนต์

วัดประดู่ทรงธรรม อยุธยา นับเป็นสำนักเรียนทางวิทยาคมอันโด่งดังมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรี อยุธยา เกจิอาจารย์ผู้แก่กล้าพุทธาคมล้วนเคยผ่านสำนักนี้มาทั้งสิ้น หรือไม่ก็ได้รับอิทธิพลทางตำรับวิทยาคมมาจากสำนักแห่งนี้ “ หลวงพ่อบุญนาค ” อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ 9 เป็นผู้สืบทอดพุทธาคมที่มีเรื่องราวน่าสนใจอย่างยิ่ง

วัดประดู่ทรงธรรม เป็นวัดที่มีความสำคัญทั้งในด้าน ประวัติศาสตร์ โบราณสถาน วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และการศึกษาวิชาว่าด้วยศิลป์ 20 ประการ รวมทั้งถาวรวัตถุต่างๆ ด้านประวัติศาสตร์ ปรากฏหลักฐานว่าอดีตเจ้าอาวาส วัดประดู่ทรงธรรม เป็นผู้มีคุณธรรมพิเศษในการทำพิธีลงเครื่องตามตำราพิชัยสงครามทูลเกล้าถวายพระมหากษัตริย์ ประกอบพิธีที่วัดตูมอันเป็นวัดสำหรับลงเครื่องพิชัยสงครามสืบมาแต่ครั้งกรุงศรี อยุธยา ในส่วนพระบรมวงศานุวงศ์ยังได้ทำนุบำรุงและบูรณปฏิสังขรณ์ วัดประดู่ทรงธรรม ด้วย เช่น

รูปหล่อลอยองค์ หลวงพ่อรอด (เสือ) รุ่น 1
โลหะรมดำ พ.ศ.2515
ปี พ.ศ.2451 หลวงพ่อเลื่อง ( เจ้าอาวาสองค์ที่ 4 ) ได้ลงเครื่องทูลเกล้าฯถวาย ซึ่งปรากฏในหนังสือพระราชหัตถเลขา เรื่องเสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า ตอนหนึ่งว่า

วันที่ 27 ตุลาคม 2451 วันนี้ได้นิมนต์พระเลื่องมาลงเครื่องตามแบบพระอาจารย์สี ลงพระแสงถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทำพิธีชุบที่วัดตูม

ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้อาราธนาหลวงพ่อเลื่อง ลงเลขยันต์และอักขระ ธงกระบี่ธุช พระครุฑพ่าห์ ตามแบบของเดิมทำพิธีชุบที่วัดตูม ต่อเนื่องลงตะกรุดพิสมร เป็นประจำทุกปี

วัดประดู่ทรงธรรม นี้เดิมชื่อ “ วัดประดู่ ” หรือ “ วัดประดู่โรงธรรม ” เป็นวัดโบราณ ในสมัยกรุงศรี อยุธยา ในหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ กล่าวว่าเป็นพระอารามหลวงชื่อ “ วัดอัศนาวาศน์วิหาร ” แต่จะสร้างเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้าง ไม่ปรากฏหลักฐาน

ในพระราชพงศาวดารกรุงศรี อยุธยา กล่าวออกชื่อ วัดประดู่ หรือ วัดประดู่โรงธรรม เป็นครั้งแรก ในสมัย สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เมื่อปี พ.ศ.2163 มีความว่า


รูปหล่อหลวงพ่อรอด (หรือ หลวงพ่อเสือ)
อดีตเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดประดู่ฯ ในสมัยกรุง
รัตนโกสินทร์ ซึ่งตั้งอยู่หน้าเจดีย์บรรจุอัฐิของท่าน
เมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถนั้น พระศรีศิลป์ บวชอยู่ที่วัดระฆัง ( คือวัดวรโพธิ์ในปัจจุบัน ) ได้เป็นพระราชาคณะที่ พระพิมลธรรม มีวิชาความรู้ผู้คนนับถือมาก ทั้งจมื่นศรีสรรักษ์ก็ถวายตัวเป็นบุตรเลี้ยง ครั้นถึงแผ่นดินสมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ พระพิมลธรรมคิดขบถซ่องสุมกำลังได้มากแล้วก็ลอบสึกออกมาคุมสมัครพรรคพวกเข้าปล้นพระราชวัง จับสมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ได้ ให้ปลงพระชนม์เสีย แล้วพระพิมลธรรมได้ครองราชสมบัติ ปรากฏพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม

ในหนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวความต่อไปอีกว่า
เวลานั้น พวกญี่ปุ่นเข้ามาค้าขายอยู่ที่กรุงศรี อยุธยา มีความโกรธแค้นว่าพระพิมลธรรมเป็นขบถ ข้าราชการยังพากันถวายราชสมบัติไม่จำกัดเสีย พวกญี่ปุ่นประมาณ 500 คน จึงพากันเข้าไปในพระราชวัง หมายจะทำร้ายสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เมื่อเสด็จออกบอกพระปริยัติธรรมพระภิกษุ สามเณร ณ พระที่นั่งจอมทอง แต่พระสงฆ์วัดประดู่โรงธรรม 8 รูป พาพระองค์หนีรอดไปได้ พอพระมหาอำมาตย์คุมพวกเจ้าหน้าที่เข้าไปถึง จึงไล่ฆ่าฟันพวกญี่ปุ่นล้มตายแตกหนีลงเรือแล่นออกทะเลไป แต่นั่นพวกญี่ปุ่นก็มิได้มาค้าขายที่อยุธยาอีก และว่าครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงตั้งพระมหาอำมาตย์ผู้มีความชอบให้เป็น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ในที่นี้ ต่อมาได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่า พระเจ้าปราสาททอง ในรัชกาลหลัง


พระกริ่งวัดประดู่ฯ สร้างโดยหลวงพ่อเลื่อง
(พระวิสุทธาจารย์เถร) ซึ่งนัยว่าเป็นการล้อ
หรือเลียนแบบพระกริ่งคลองตะเคียน
พระราชพงศาวดารกรุงศรี อยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ ( เจิม ) กล่าวตอนนี้ไว้ว่า
“ ...แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการ ให้วิเสทแต่งกัปบียะจังหันถวายพระสงฆ์ วัดประดู่ทรงธรรม เป็นนิจอัตรา ”

จากหลักฐานดังกล่าวมา ถ้าหากจะนับอายุของ วัดประดู่ทรงธรรม ตั้งแต่ พ.ศ.2163 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน ( พ.ศ.2559 ) ก็เป็นเวลานานถึง 396 ปีเศษ แสดงให้เห็นถึงอายุขัยอันยาวนาน และความเก่าแก่ของวัดเป็นอย่างดี

อนึ่ง เหตุที่ได้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า วัดประดู่ทรงธรรม นั้น ” ก็เนื่องจากเดิมทีเดียวเป็นสองวัดมีอาณาเขตติดต่อกันคือ วัดประดู่ วัดหนึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือ วัดโรงธรรมวัดหนึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้และในสมัยกรุงศรี อยุธยา นั้นเอง ได้รวมวัดทั้งสองนี้เข้าเป็นวัดเดียวกัน เรียกว่า “ วัดประดู่โรงธรรม ” ซึ่งชื่อของวัดนี้พระยาโบราณราชธานินทร์ ( พร เตชะคุปต์ ) ได้ให้ความเห็นว่า

ความจริง วัดประดู่ เป็นวัด 1 วัดโรงธรรมอีกวัด 1 แต่ วัดประดู่ ในกรุงเก่ามีหลายวัดด้วยกัน ครั้นจะเรียกแต่ วัดประดู่ เฉยๆ ก็เกรงว่าจะไม่ตรงกับ วัดประดู่ ที่อยู่ข้างวัดโรงธรรมจึงเรียกควบกันไปว่า “ วัดประดู่โรงธรรม ”

ตามคำบอกเล่าของ พระอธิการบุญนาค สีลสํวโร อดีตเจ้าอาวาส วัดประดู่ทรงธรรม และท่านผู้รู้อีกหลายท่าน มีข้อความตรงกันว่า


เหรียญเสมา หลวงพ่อเลื่อง กะไหล่ทอง
พ.ศ.2507 (สร้างโดย หลวงพ่อบุญนาค) 
วัดประดู่ทรงธรรม ในปัจจุบันนี้ เป็นวัดที่ตั้งขึ้นใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยใช้ชื่อเดิมว่า “ วัดประดู่โรงธรรม ” ต่อมาในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “ วัดประดู่ทรงธรรม ” คำว่า ทรงธรรม แปลงมาจาก “ โรงธรรม ” เข้าใจว่าคงจะอาศัยเหตุที่ครั้งหนึ่งในสมัยกรุงศรี อยุธยา พระสงฆ์สำนักนี้เคยได้รับพระบรมราชูปถัมภ์จากสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมาตลอดรัชกาล และชื่อ วัดประดู่ทรงธรรม ยังเป็นชื่อที่เรียกขานกันอยู่จนทุกวันนี้ ส่วน วัดประดู่ เก่านั้นตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของ วัดประดู่ ใหม่ ( วัดประดู่ทรงธรรม ปัจจุบัน ) นับจากอุโบสถออกไปประมาณ 3 เส้นเศษ ยังมีเนินดินที่ตั้งอุโบสถของ วัดประดู่ เก่าปรากฏอยู่ เล่ากันว่าเมื่อในรัชกาลที่ 5 ยังมีอุโบสถที่เหลืออยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ พร้อมทั้งพระพุทธรูปศิลาทรายอีกเป็นจำนวนมาก
เหรียญอาจารย์อู๋ ธมฺมวิโรจโน
ครบรอบ 82 ปี 2515

ครั้นเมื่อทางราชการตัดทางรถไฟสายเหนือและสายตะวันออกเฉียงเหนือผ่านใกล้ๆ กับบริเวณวัดนี้และปรากฏว่า ณ บริเวณที่ตั้งแต่สถานีรถไฟ อยุธยา ขึ้นไปจนถึงลำคลองบ้านม้า เป็นที่ราบลุ่มเป็นส่วนมาก การก่อสร้างทางรถไฟบริวณพื้นที่ดังกล่าวนี้ จำเป็นต้องใช้ดินเป็นจำนวนมาก นายช่างชาวฝรั่งเศสผู้รับเหมา ได้ใช้ดินพื้นที่บริเวณใกล้เคียง รวมทั้งดินของ วัดประดู่ เก่า พร้อมด้วยอิฐหักกากปูนมาถมทำทางรถไฟ และต่อมาภายหลังก็ถูกพวกราษฎรบุกเบิกที่ดินปลูกบ้านเรือนและทำพืชไร่อีก วัดประดู่ เก่า และวัดโรงธรรม จึงสิ้นซากไป ทุกวันนี้จึงเหลืออยู่แต่เพียง วัดประดู่ เก่าวัดเดียวเท่านั้น ส่วนวัดโรงธรรมนั้นในคำให้การชาวกรุงเก่าเรียกเพี้ยนไปเป็น “ วัดโรงทาน ” ว่าเป็นวัดหลวง ( พระอารามหลวง ) วัดหนึ่งในสมัยกรุงศรี อยุธยา และว่า สมเด็จเจ้าอุทุมพร ( กรมขุนพรพินิต หรือ ขุนหลวงหาวัด ) ทรงสร้าง ปัจจุบันไม่มีซากเหลืออยู่ และไม่ปรากฏภูมิสถานที่ตั้งของวัด หรืออาจเรียกชื่อปัจจุบันเป็นอย่างอื่นอีกไม่ทราบ ซึ่งควรจะได้สืบสาวเรื่องราวกันต่อไป วัดประดู่ เก่าก็ดี วัดโรงธรรมก็ดี เป็นวัดที่ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่วัดเมืองเก่าคือเมืองอโยธยา สันนิษฐานว่า คงจะเป็นวัดขนาดย่อม สร้างในที่อันมีกำหนดว่าเป็นอรัญญิก ( คือห่างไกลจากเมืองพอพระสงฆ์เข้ามาบิณฑบาตถึง ) เป็นที่อยู่ของพระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี และในบริเวณใกล้เคียง ก็มีวัดอรัญวาสีอีกหลายวัด เช่น วัดเดิม หรือ วัดอโยธยา เป็นต้น


 พระประธานในอุโบสถ
วัดประดู่ทรงธรรม
ภาพอุโบสถวัดประดู่ทรงธรรม ซึ่งได้รับการ
ปฏิสังขรณ์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์หลายครั้ง
สำหรับพระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี มีปรากฏอยู่ในทำเนียบสมณศักดิ์ครั้งกรุงศรี อยุธยา ว่า มี พระพุทธาจารย์ อยู่วัดโบสถ์ราชเดชะ ( วัดโบสถ์-วัดราชเดชะ ) เป็นเจ้าคณะกลางฝ่ายอรัญวาสี บังคับบัญชาพระสงฆ์ฝ่ายสมถวิปัสสนา และมีพระราชาคณะขึ้นอยู่กับฝ่ายนี้คือ

พระญาณไตรโลก อยู่วัดโรงธรรม เป็นคณะรอง อรัญวาสี 1
พระอุบาลี อยู่วัดกุฏ อรัญวาสี 1
พระญาณโพธิ อยู่วัดเจ้ามอญ อรัญวาสี 1
พระธรรมโกษา อยู่ วัดประดู่ อรัญวาสี 1
พระเทพมุณี อยู่วัดกุฎีดาว อรัญวาสี 1
พระเทพโมลี อยู่วัดสมณโกฏ อรัญวาสี 1
พระธรรมกิต อยู่วัดมเหยงค์ อรัญวาสี 1

ในสมัยกรุงศรี อยุธยา วัดประดู่โรงธรรม ได้เป็นที่ประทับของ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ( กรมขุนพรพินิต หรือขุนหลวงหาวัด หรือขุนหลวง วัดประดู่ทรงธรรม  ) เมื่อทรงผนวชถึงสองครั้งด้วย คือ

เมื่อปีขาล พ.ศ.2301 สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรทรงสละราชสมบัติแล้วเสด็จออกไปทรงผนวชที่วัดอโยธยา (วัดเดิม) แล้วเสด็จมาประทับ ณ วัดประดู่โรงธรรม จนกระทั่งลาผนวชเมื่อ พ.ศ.2302 การที่ทรงผนวชครั้งนี้ปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ตอนหนึ่งว่า


เหรียญรูปไข่ อดีตเจ้าอาวาส 6 องค์
ทองแดงกะไหล่ทอง พ.ศ.2507
เหรียญรูปไข่ อดีตเจ้าอาวาส 6 องค์
อัลปาก้า พ.ศ.2515
“ ถึง ณ วันเดือน 8 ข้างขึ้น (กรมขุนพรพินิต) เสด็จทรงเรือพระที่นั่งศรีสมรรถชัย เป็นกระบวนพยุหยาตราแห่ออกไปทรงผนวช ณ วัดเดิม แล้วเสด็จมาอยู่ ณ วัดประดู่

ต่อมาเมื่อปีวอก พ.ศ.2307 สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรทรงสละราชสมบัติอีกเป็นครั้งที่สอง ไปผนวช ณ วัดโพธิ์ทอง ตำบลคำหยาด แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ ( ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ) แล้วเสด็จกลับมาอยู่ วัดประดู่โรงธรรม อีก จนถึงปี พ.ศ.2310 จึงเสด็จเข้าไปประทับ ณ วัดราชประดิษฐานจนกระทั่งเสียกรุงฯ แล้วถูกพม่าทูลเชิญเสด็จไปยังเมืองอังวะด้วย

สำหรับ วัดประดู่โรงธรรม ก็คงจะตกเป็นวัดร้างไปชั่วขณะ ในปี พ.ศ.2310 หรือก่อนหน้านั้น เพราะข้าศึกยกกองทัพเข้าล้อมกรุงฯ ประชาชนต้องพากันอพยพหนีภัยสงคราม แม้แต่พระสงฆ์ก็คงจะอยู่ไม่ได้ แต่สันนิษฐานว่าคงจะเป็นวัดร้างอยู่ไม่สู้นานนัก เพราะปรากฏต่อมาว่า ในสมัยกรุงธนบุรีเมื่อ สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยได้แล้ว มีพระบรมราชโองการให้สืบเสาะหาพระสงฆ์มาจัดการพระศาสนา พระศรีภูมริปรีชา ได้อาราธนา พระอาจารย์ดี จาก วัดประดู่โรงธรรม ลงมายังกรุงธนบุรี เมื่อปีชวด สัมฤทธิศก พ.ศ.2312 แล้วโปรดฯให้สถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราช ( นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์แรกในสมัยกรุงธนบุรี ) จากหลักฐานดังกล่าวมา พอจะสันนิษฐานได้ว่า ในสมัยกรุงธนบุรี วัดประดู่โรงธรรม ยังมีพระสงฆ์จำพรรษาต่อมาอีก


รูปหล่อจำลองอดีตเจ้าอาวาส
วัดประดู่ทรงธรรม 8 องค์
อนุสาวรีย์หลวงพ่อรอด (เสือ)
ครั้นถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ไม่ปรากฏปี พ.ศ. ได้มีพระเถระรูปหนึ่ง เรียกกันว่า หลวงพ่อรอด หรือ หลวงพ่อรอดเสือ เป็นผู้ดำเนินการสร้าง วัดประดู่โรงธรรม ขึ้นมาใหม่ ให้เป็นที่มีหลักฐานมั่นคง สำหรับพระสงฆ์อยู่จำพรรษาสืบต่อมาจนบัดนี้ และก็เป็นธรรมดาอยู่เอง เมื่อมี วัดประดู่โรงธรรม เกิดใหม่ขึ้น วัดประดู่ฯ เก่า ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่เหมาะสมจึงหมดสภาพเป็นวัดโดยปริยาย ในที่สุดก็เหลือเพียงแต่ชื่อและซากโบราณสถาน ดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ ส่วนวัดที่ตั้งขึ้นใหม่นั้น ก็ให้ชื่อว่า “ วัดประดู่โรงธรรม ” ทั้งนี้โดยอาศัยชื่อเดิมของวัดประดู่โรงธรรม ( วัดประดู่ เก่า ) นั่นเอง และท่านได้เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดเป็นองค์แรก


เหรียญข้าวหลามตัด
หลวงพ่อบุญนาคครึ่งองค์ พ.ศ.2520
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง วัดประดู่ทรงธรรม ได้มีเจ้าอาวาสปกครองติดต่อกันมาโดยไม่ขาดสาย ทั้งปรากฏว่าเจ้าอาวาสแต่ละองค์ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ทรงคุณธรรมพิเศษ เป็นที่เคารพนับถือของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดทั้งประชาชนเป็นจำนวนมาก ในด้านการก่อสร้างปฏิสังขรณ์ก็ปรากฏว่า ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์กันตลอดมาทุกยุคทุกสมัย จนกระทั่งถึงยุคปัจจุบัน กล่าวคือ

ในยุคของ หลวงพ่อรอด ซึ่งตามประวัติว่า ท่านได้เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดเป็นองค์แรก ได้ก่อสร้างเสนาสนะกุฏิสงฆ์ เป็นที่พักอาศัยของพระสงฆ์ พร้อมทั้งสร้างอุโบสถขึ้นก่อน

ต่อมาในยุค พระอุปัชฌาย์ม่วง ( หลวงพ่อม่วง ) ได้สร้างศาลาการเปรียญ ( เดิมเรียกว่า ศาลาดิน ) และกุฏิสงฆ์เพิ่มขึ้นมาอีก พร้อมทั้งขุดสระน้ำสำหรับพระสงฆ์ใช้สอย บริโภคข้างอุโบสถ 1 ลูก ก่อเจดีย์ 1 องค์ และปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ ส่วนวิหารนั้นสร้างใหม่เมื่อ พ.ศ.2405 ในรัชกาลที่ 4 โดยมีท่าน พระพุทธสร ( เข้าใจว่าจะเป็นนามฉายาของพระอุปัชฌาย์ม่วง เจ้าอาวาสในยุคนั้น ) และ กรมพิทักษ์เทเวศร์ ( พระนามเดิมพระองค์เจ้าชายกุญชร ต้นสกุล กุญชร ) พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 พร้อมด้วยประชาชนร่วมกันบริจาคทรัพย์สร้าง

ในยุค พระอุปัชฌาย์ศรี ( หลวงพ่อศรี ) สุวณฺณโชติ ได้จัดการสร้างถาวรวัตถุ เพิ่มเติมขึ้นอีกหลายอย่าง เช่น กุฏิสงฆ์ เป็นต้น

ยุค พระวิสุทธาจารย์เถระ ( เลื่อง สีลวฑฺฒโน ) ได้จัดการสร้างศาลาหน้าศาลาการเปรียญทางด้านทิศตะวันออก 1 หลัง ก่อเจดีย์บรรจุอัฐิเจ้าอาวาสในบริเวณอุโบสถ 1 องค์ สร้างสะพานไม้สักยาวตั้งแต่ท่าน้ำหน้าวัดด้านทิศตะวันตกจนถึงบริเวณวัด ยาวประมาณ 14 เส้น และสร้างกุฏิสงฆ์เพิ่มขึ้นอีกหลายหลัง นอกจากนี้ยังได้จัดการขุดลอกสระซ่อมศาลาการเปรียญ ซ่อมสะพาน เปลี่ยนช่อฟ้าใบระกาอุโบสถใหม่ ตลอดทั้งจัดระเบียบกุฏิสงฆ์ให้เป็นหมวดหมู่


พระอุปัชฌาย์ศรี สุวณฺณโชติ
ฉายร่วมกับท่านเจ้าคุณเลื่อง
ในยุค อุปัชฌาย์เหม็ง ( หลวงพ่อเหม็ง ) ติสฺสปญฺโญ ได้สร้างหอปริยัติธรรม 1 หลัง และซ่อมศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ เปลี่ยนช่อฟ้าใบระกาอุโบสถอีกครั้งหนึ่ง ในยุคนี้ได้ดำเนินการจัดตั้งโรงเรียนชั้นประถมศึกษา ( โรงเรียนวัดประดู่ทรงธรรม ) ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2482 โดยความร่วมมือของ พระอาจารย์บัว สีลโสภโณ ( พระครูไพจิตรวิหารกาล อดีตเจ้าอาวาสวัดกษัตราธิราช ) ได้บริจาคเงินสร้างโรงเรียนเป็นเงิน 452 บาท ทางราชการได้ขนานนามโรงเรียนนี้ว่า โรงเรียน วัดประดู่ทรงธรรม “ จียะพันธ์บำรุง ”
ถึงยุค พระครูสาธุกิจจการี ( ชม อโสโก ) ได้จัดการสร้างและปฏิสังขรณ์ปูชนียวัตถุและถาวรวัตถุหลายอย่าง เช่น สร้างสะพานยาวสายบ้านกระมัง และซ่อมกุฏิด้านหลังหอไตร เป็นต้น


หลวงพ่อเลื่อง วัดประดู่ทรงธรรม
ถ่ายสมัยเป็นพระครูสุทธธรรมสมาจาร
อนึ่ง ในยุคนี้ปรากฏว่า วัดนางคำ วัดนี้ ในคำให้การชาวกรุงเก่าเรียกว่า “ วัดนาง ” และว่าเป็นวัด ( พระอารามหลวง ) วัดหนึ่งในสมัยกรุงศรี อยุธยา สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ทรงปฏิสังขรณ์ ซึ่งอยู่ริมคลองทรายในท้องที่ตำบลหัวรอ อำเภอ พระนครศรีอยุธยา และอยู่ทางทิศตะวันตกของ วัดประดู่ทรงธรรม ประมาณ 1 กม. ทรุดโทรมร่วงโรยลง ไม่มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษา ทางราชการกระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประกาศให้ยุบรวมเข้ากับ วัดประดู่ทรงธรรม ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2486 เป็นต้นไป

ในยุคของ พระอธิการทอง อุตฺตโม เป็นเจ้าอาวาส ไม่ปรากฏว่ามีการก่อสร้างหรือปฏิสังขรณ์แต่อย่างใด แต่ได้เป็นผู้จัดการสร้างรูปปั้นของอดีตเจ้าอาวาส องค์ที่ 1 ถึงองค์ที่ 6 ขนาดหน้าตัก 8 นิ้ว เท่ากันทุกองค์ขึ้น โดย นายวิบูลย์ ( ทองดี ) มีชูทรัพย์ เป็นผู้ออกแบบ ครูเพี้ยน โรงเรียนการช่าง พระนครศรีอยุธยา เป็นช่างปั้น เสร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ.2489 ต่อมาพระอธิการทองก็ลาสิกขาไป

ในยุค พระอธิการอู๋ ( หลวงพ่ออู๋ ) ธมฺมวิโรจโน เป็นเจ้าอาวาส ได้บูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุภายในวัดหลายอย่าง เช่น บูรณะพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ และมีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์ สร้างกุฏิขึ้นอีก 2 หลัง ในยุคนี้มี พระบุญนาค สีลสํวโร ได้เป็นหัวหน้าชักชวนท่านผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์สร้างถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ 1 ถัง สิ้นเงิน 30,000 บาท สร้างถนนคอนกรีตภายในบริเวณกุฏิ  4 สาย สร้างสะพานคอนกรีตข้ามคลอง 1 สะพาน สร้างสะพานคอนกรีตแทนสะพานไม้สักของเก่าที่ชำรุด 2 ตอน คือ สะพานท่าน้ำถึงทางรถไฟสายเหนือ และสายตะวันออกเฉียงเหนือ 1 ตอน จากศาลาพักร้อนหลังที่ 3 ถึงเชิงสะพานคอนกรีต 1 ตอน และบูรณะกุฏิหลังใหญ่ ซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของอดีตเจ้าอาวาส 1 หลัง นอกจากนี้ยังได้ทำการติดตั้งเสาไฟฟ้าและเดินสายไฟฟ้าเข้าวัดด้วย

สำหรับยุคของ “ หลวงพ่อบุญนาค สีลสํวโร ” ได้จัดการถมถนนดินลูกรังจากถนนเข้าสู่วัดอโยธยา ( วัดเดิม ) ทางหน้าวัดด้านตะวันออกผ่านบริเวณหลังกุฏิด้านทิศใต้ ยาวประมาณ 1 กม. 1 สาย และดำเนินการก่อสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ ในวงเงิน 500,000 บาท


สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงฉายร่วมกับพระสังฆาธิการ
เมื่อคราวเสด็จตรวจการณ์คณะสงฆ์มณฑลกรุงเก่า พ.ศ.2456
ในยุคก่อนๆ มา เข้าใจว่าพระสงฆ์ก็คงจะได้ศึกษาพระธรรมวินัยตามประเพณี แต่ส่วนใหญ่มุ่งไปในทางศึกษาวิปัสสนาธุระเป็นสำคัญ จนถึงยุค พระวิสุทธาจารย์เถระ ( เลื่อง สีลวฑฺโน ) เป็นเจ้าอาวาส ปรากฏว่าทางการคณะสงฆ์เพิ่งริเริ่มวางรากฐานการศึกษาพระปริยัติธรรม เฉพาะในหัวเมืองขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2457 การศึกษาเล่าเรียนขณะนั้นยังไม่สู้แพร่หลาย แต่ทาง วัดประดู่ทรงธรรม ก็ได้พยายามตั้งสำนักเรียนขึ้นจนเป็นที่ปรากฏว่า มีพระภิกษุ-สามเณรเข้าสอบนักธรรมในสนามหลวง ใน พ.ศ. ต่อๆ มาได้หลายรูป และการศึกษาพระปริยัติธรรมได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ มีพระภิกษุ-สามเณรสนใจศึกษาเล่าเรียนกันตลอดมาจนทุกวันนี้ สำหรับวัดนี้มีการห่มผ้าแบบเก่าคือแบบมหานิกายเดิม ถ้าอยู่ภายในวัดห่มจีวรเปิดไหล่ขวา พาดสังฆาฏิคาดประคดอก ถ้ามีกิจนอกวัดห่มคลุมปิดไหล่ซ้าย หรือที่เรียกกันว่า “ ม้วนซ้ายชายแหวก ” สามเณรห่มจีบเปิดไหล่ขวาปิดไหล่ซ้ายคาดประคดอก ระเบียบนี้ถือปฏิบัติมาเป็นเวลาช้านาน แม้ทางการจะมีการปฏิวัติห่มผ้าครั้งใหญ่อยู่คราวหนึ่ง แต่คณะสงฆ์ วัดประดู่ทรงธรรม ก็มิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ยังคงรักษาจารีตเดิมอยู่ตลอดมา และถือเป็นระเบียบปฏิบัติโดยเคร่งครัดอีกด้วย ส่วนขนบธรรมเนียม การประพฤติปฏิบัติแลการทำศาสนกิจมีอุโบสถสังฆกรรม เป็นต้น ก็ได้ดำเนินไปตามวินัยบัญญัติและระเบียบของคณะสงฆ์ทุกประการ

เนื่องจาก วัดประดู่ทรงธรรม เป็นวัดที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีวัดหนึ่ง ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ปรากฏมีพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เสด็จพระราชดำเนินมายังวัดนี้หลายพระองค์ อาทิเช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ( ครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมสมมตอมรพันธ์ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กรมพระพิทักษ์เทเวศร์ เป็นต้น และปรากฏว่า เมื่อปีมะเมีย พ.ศ.2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จพระราชดำเนินมาถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดนี้ครั้งหนึ่ง การเสด็จมาครั้งนี้มีปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุโหร ของ จมื่นเก่งศิลป ( หรุ่น ) จากประชุมพงศาวดารภาคที่ 8 ว่า

“ วันพฤหัสบดี ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 12 กฐิน วัดประดู่... ”

สำหรับกรมพระพิทักษ์เทเวศร์นั้น ว่าได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล บริจาคเงินสร้างวิหารร่วมกับท่านพระพุทธศร ( เข้าใจว่าจะเป็นนามฉายาของเจ้าอาวาส ) และประชาชนเมื่อ พ.ศ.2405


หอไตรวัดประดู่ทรงธรรม
ครั้นต่อมาในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 วัดนี้เป็นที่สถิตของพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ และเจ้าคณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คือ พระวิสุทธาจารย์เถระ สังฆปาโมกข์ ( เลื่อง สีลวฑฺโน ) วัดประดู่ทรงธรรม จึงมีความสำคัญในวงการคณะสงฆ์ยิ่งขึ้น แม้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อครั้งเสด็จตรวจการณ์คณะสงฆ์ในมณฑลฝ่ายเหนือ เมื่อ พ.ศ.2456 ก็เสด็จมาทอดพระเนตรวัดนี้ ดังปรากฏอยู่ในระยะทางเสด็จตอนหนึ่งว่า

“ วันที่ 25 ธันวาคม ฯลฯ เวลา 2 โมงเช้า 40 นาที เสด็จโดยเรือยนต์ของท่านสมุหเทศาภิบาล ( พระยาโบราณราชธานินทร์ ) มีเรือไฟทหารตามเสด็จ 1 ลำ ล่องลงมาราว 7 นาทีถึงท่า วัดประดู่ทรงธรรม เสด็จขึ้นทรงพระดำเนินไปตามสะพาน เมื่อเสด็จถึงพระสงฆ์ออกมารับเสด็จที่ประตูวัด มี พระครูสุทธธรรมสมาจาร พระวิสุทธาจารยเถระ ( เลื่อง สีลวฑฺโน ) เจ้าอาวาสเป็นหัวหน้า แล้วทอดพระเนตรสถานที่ในวัดนั้น นมัสการพระในโบสถ์และในวิหาร แล้วเสด็จทอดพระเนตรกุฏิประทานของแจกแก่ชาวบ้าน ประทานสายสิญจน์ผูกข้อมือเด็กแล้วเสด็จกลับ... ”

อนึ่ง ภูมิสถานที่ตั้ง วัดประดู่ทรงธรรม นี้ มีลำคลองผ่านบริเวณกุฏิด้านทิศตะวันตกและศาลาการเปรียญอยู่คลองหนึ่ง เรียกกันว่า “ คลอง วัดประดู่ ” ปัจจุบันตื้นเขินเสียมากแล้ว สมัยก่อนคลองนี้ใช้เป็นที่สัญจรไปมาในฤดูน้ำได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จประพาส พระนครศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ.2414 ทางชลมารค เพื่อทอดพระเนตรวัดต่างๆ เช่น วัดกุฎีดาว วัดมเหยงค์ เข้ายังลำคลอง วัดประดู่ทรงธรรม นี้

( ที่มา : ลานโพธิ์  ฉบับที่  1200 หลวงพ่อบุญนาค สีลสํวโร วัดประดู่ทรงธรรม อยุธยา ปักษ์แรก เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ราคาปก 60 บาท )







วันนี้อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้ 

สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า.. 
Available Now!  You can read whenever, wherever with any device.

 BangkokSarn App on Google Play store    Lanpo App on Google play Store    Ookbee Book Shop   Meb Market Book Shop    AIS Book Store   
 Lanpo App on Google Play Lanpo App on iTunes

#ลานโพธิ์ #หลวงพ่อบุญนาค #วัดประดู่ทรงธรรม #อยุธยา