หลวงพ่อฮวด วัดหัวถนนใต้ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์

ภาพและเรื่องโดย ลายทอง คงคาพยนต์

“ หลวงพ่อฮวด วัดหัวถนนใต้ ” เกจิอาจารย์ขลังอีกองค์หนึ่งของเมือง นครสวรรค์ เป็นพระเถระผู้ทรงไว้ด้วยศีลาจารวัตรงดงาม เคร่งครัดในการปฏิบัติธรรม ฝึกฝนจิตจนมีพลังกล้าแข็ง เรียนรู้เจนจบทางด้านพุทธาคมอย่างเอกอุ เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันกับ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ขนาดหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นิมนต์ให้ไปร่วมงานด้วยบ่อยครั้ง นอกจากนั้นท่านเดินทางไปศึกษาพุทธาคมกับเกจิอาจารย์ที่เก่งกล้าในสมัยนั้นอีกมากมาย มงคลวัตถุของท่านจึงมีพุทธคุณ มีประสบการณ์ เป็นที่ศรัทธาของสานุศิษย์และชาวนครสวรรค์ทั่วไป

ประวัติของ หลวงพ่อฮวด กัณฑโว วัดหัวถนนใต้ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ จากหนังสือรำลึกในงานบรรจุสังขารของหลวงพ่อในจตุรมุขพิมานฯ ซึ่ง คุณชลการ รัตนธีรเดช ได้บันทึกไว้มีดังนี้

เหรียญรุ่น 1 สร้างปี 2507
ประวัติวัด วัดหัวถนนใต้ สร้างขึ้นเมื่อไร ใครเป็นคนสร้าง ไม่มีหลักฐานอันใดจารึกไว้ ตอนแรกเป็นเพียงสำนักสงฆ์ มีอาสนะสงฆ์ 3-4 หลังเท่านั้น สำหรับการใช้ชื่อวัดนั้น เดิมในบริเวณนั้นมีถนนโบราณใหญ่ตัดไปทางลำธารทางใต้ อันถนนนี้ใช้เป็นทางสำหรับไปตักน้ำที่ในลำธาร เมื่อในบริเวณนี้ได้สร้างเป็นสำนักสงฆ์และได้รับการบูรณะจนกระทั่งเป็นวัดแล้ว ก็เลยใช้ชื่อวัดว่า “ วัดหัวถนนใต้ ” วัดนี้มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 25 ไร่ ทิศเหนือจรดกับบริเวณที่นาของเอกชน ทิศตะวันออกจรดหมู่บ้าน ทิศตะวันตกจรดหมู่บ้าน ทิศใต้จรดหมู่บ้านและทางหลวง

สำหรับการเดินทางไปที่วัดนั้น เมื่อท่านเดินทางจากกรุงเทพฯไปถึงนครสวรรค์แล้ว ในบริเวณบริษัทขนส่งจะมีรถเพื่อเข้าไป อำเภอท่าตะโก ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมือง นครสวรรค์ ประมาณ 42 กม. ก่อนจะถึงอำเภอท่าตะโกประมาณ 3 กม. ทางด้านซ้ายมือจะมีทางสำหรับเข้า วัดหัวถนนใต้ วัดจะอยู่ลึกเข้าไป 200 ม. ก็จะถึง เมื่อท่านเดินทางไปถึงแล้วจะพบกับความร่มเย็นของป่าไม้ที่ล้อมรอบร่มรื่นสงบเงียบ เป็นสถานที่เหมาะที่จะหาความสงบทางใจ เหมาะแก่การพักผ่อนแบบธรรมชาติที่ปราศจากสิ่งวุ่นวายทั้งหลาย

ลำดับเจ้าอาวาส เป็นที่น่าเสียดายว่า ไม่มีใคร หรือหลักฐานอันใดบันทึกเอาไว้ว่า มีเจ้าอาวาสกี่องค์แล้วที่ได้ปกครอง วัดหัวถนนใต้ แต่จากการสอบถามหลวงพ่อองค์ปัจจุบัน ได้มีเจ้าอาวาสปกครองวัดนี้มีดังนี้
1. หลวงพ่อจ้อย
2. หลวงพ่อวงษ์
3. หลวงพ่อนัน
4. พระครูนิยุตธรรมประวิตร ( หลวงพ่อฮวด )
5. พระปลัดพริ้ง จักกะวโร ( เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน )


รูปหล่อโบราณรุ่นแรก สร้างปี 2514
การพัฒนาและบูรณปฏิสังขรณ์ เมื่อ หลวงพ่อฮวด มารับตำแหน่งเจ้าอาวาสปกครองวัดนี้ สภาพของวัดตกอยู่ในความชำรุดทรุดโทรม ท่านได้ทุ่มเทสติปัญญา กำลังกายกำลังใจในการก่อสร้าง วัดหัวถนนใต้ เจริญถาวร ท่านได้ก่อสร้างในวัดของท่านและแม้แต่ตำบลอื่นๆ ที่มาขอร้องให้ท่านช่วยเหลือท่านก็ไม่ปฏิเสธใครเลย ท่านได้แสดงความสามารถให้ปรากฏว่าท่านเป็นนักพัฒนาอย่างยอดเยี่ยม ทั้งในด้านก่อสร้าง การบริหารกิจของสงฆ์ ตลอดจนการส่งเสริมการศึกษาของกุลบุตร-กุลธิดา ท่านได้ก่อสร้างสิ่งแรกอันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งของพระภิกษุ-สามเณรนั้นก็คือ ท่านได้สร้างกุฏิจากของเก่ามี 2-3 หลังที่ชำรุดทรุดโทรมเสียใหม่ เพิ่มเติมขึ้นเป็น 7-8 หลัง และในปี 2509 ได้สร้างกุฏิ 2 ชั้น กว้าง 6 วา ยาว 10 วา เป็นราคาถึง 250,000 บาท ในปี พ.ศ.2511 สร้างศาลาการเปรียญด้วยไม้เนื้อแข็ง มุงกระเบื้องลูกฟูก กว้าง 6 วา ยาว 12 วา 2 ศอก นอกจากนั้นท่านได้สร้างหอฉัน หอระฆัง พระอุโบสถ จนถึงปี พ.ศ.2512 ได้ซ่อมแซมหอสวดมนต์ของเก่าที่ท่านได้สร้างขึ้นเมื่อ 30 ปีก่อน โดยเปลี่ยนพื้นใหม่ ตีฝา และติดบานประตู-หน้าต่างใหม่ ปี 2514 ก็เริ่มบูรณะเสียใหม่ให้สมบูรณ์ครบถ้วน แล้วหันมาสร้างถังน้ำฝนเพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ โดยเทคอนกรีตสูงด้านละ 2 เมตร พร้อมทั้งก่อฐานสูง 6 เมตร นอกจากนี้ท่านได้ขุดสระและบ่อน้ำขึ้น เพื่อได้เป็นประโยชน์แก่ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงได้ใช้น้ำ

เมื่อท่านบูรณปฏิสังขรณ์วัดของท่านให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ยังได้ช่วยเหลือวัดที่อยู่ในตำบลอื่นๆ อีก เช่นในปี พ.ศ.2509 เป็นประธานในการสร้างศาลาวัดหนองหลวง ต.ทำนบ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ในปีเดียวกันได้เป็นที่ปรึกษาสร้างศาลาวัดเขาค้างคาว ปี 2511-2512 เป็นประธานที่ปรึกษาวัดเขาวง อ.พยุหคีรี จ.นครสวรรค์ ปี 2513 เป็นที่ปรึกษาการสร้างสำนักสงฆ์บ้านเขาขาด อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ นอกจากท่านจะได้ทุ่มเททางด้านบูรณะวัดแล้ว ท่านยังได้มองเห็นความสำคัญของการศึกษาทั้งของภิกษุ-สามเณร และกุลบุตร-กุลธิดาในละแวกนั้น ได้เปิดโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรม และพระธรรมวินัย ท่านได้จัดหาครูที่มีความรู้ความสามารถในพระธรรมวินัยบาลีสันสกฤตมาเป็นครูสอนพระภิกษุ-สามเณรที่วัด ปี พ.ศ.2502 สร้าง “ โรงเรียนประชาบาลนิยุกต์ประชาสรรค์ ” แบบครึ่งตึกครึ่งไม้ มีมุขทั้งสองด้าน มีห้องเรียน 6 ห้อง กว้าง 8.50 ม. ยาว 30 ม. และ ปี 2504 ท่านก็ได้สร้างโรงเรียนเพิ่มเติมขึ้นอีกหนึ่งหลัง กว้าง 8.50 ม. ยาว 33 ม. มีห้องเรียน 8 ห้อง ปี 2510 สร้างถังน้ำให้โรงเรียน 2 ถัง เพื่อให้เด็กได้มีน้ำดื่มน้ำใช้


จตุรมุขทิพย์พิมาน แดนสถานสิงสถิต
ที่บรรจุสังขารพระเดชพระคุณ
หลวงพ่อฮวด กัณฑโว เพื่อให้ศิษยานุศิษย์
ได้กราบไหว้บูชาชั่วนิรันดร์
นอกจากนี้ท่านยังได้ให้ทุนแก่เด็กนักเรียนดีแต่ยากจน ให้ที่พักให้การเลี้ยงดู นอกจากนี้แล้วท่านยังได้บำเพ็ญประโยชน์เกี่ยวกับชาวบ้านอีก ใน ปี 2505 ได้นำประชาชนสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน ปี 2506 สร้างถนนเข้าวัดกว้าง 7 ม. ยาว 550 เมตร ปี 2507 สร้างเขื่อนกั้นน้ำเพื่อความสะดวกสบายในการทำการเกษตรกรรม กว้าง 9 เมตร ยาว 10 ม. สูง 2 ม. ปี 2513 สร้างศาลาพักผู้โดยสารรถประจำทางด้วยไม้เนื้อแข็งและเทคอนกรีต นอกจากนั้นท่านยังเป็นกำลังสำคัญในการจัดหากระแสไฟฟ้าเข้ามาให้ชาวบ้านในละแวกนั้นทั้ง 3 หมู่บ้าน คือ หมู่บ้านหัวถนนเหนือ หัวถนนใต้ และหมู่บ้านหัวถนนกลาง จัดวางท่อประปาทั่ววัด และโรงเรียน จัดให้ประชาชนทั่วไปลอกบ่อน้ำและสระน้ำที่ท่านได้สร้างไว้เพื่อจะใช้ในหน้าแล้ง ท่านได้บูรณะและพัฒนาในหมู่บ้านของท่านจนได้รับการยกย่องจากทางราชการให้เป็นหมู่บ้านตัวอย่างที่ 1 ในเขต 6 และที่ 2 ในภาคเหนือ นี่ก็เป็นเครื่องยันยันว่าท่านเป็นเจ้าพ่อพัฒนาแห่งเทือกเขากะลาได้เป็นอย่างดี

ในช่วงปัจฉิมวัยท่านได้จัดสร้างศาลาการเปรียญเป็นตึกขนาดใหญ่ที่สุดใน อำเภอท่าตะโก จัดสร้างกุฏิหลังใหม่อีก 2 หลัง เพื่อให้พระภิกษุ-สามเณรได้อาศัยจำพรรษา จัดสร้างหอระฆัง 2 หอขึ้นที่หน้าศาลาการเปรียญ แม้บั้นปลายชีวิตในขณะที่ท่านเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลหลายครั้ง ท่านก็ยังอุตส่าห์รับเป็นประธานในการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยขนาด 30 เตียง ให้กับโรงพยาบาลประจำ อำเภอท่าตะโก และสามารถก่อสร้างจนสำเร็จเรียบร้อยด้วยทุนทรัพย์ค่าก่อสร้างประมาณ 30 ล้านบาท


ประวัติพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระครูนิยุตธรรมประวิตร ( หลวงพ่อฮวด กัณฑโว )

ชาติกำเนิดพระเดชพระคุณ หลวงพ่อฮวด เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2447 ปีมะโรง เดิมมีชื่อว่า “ ฮวด ” โยมบิดาชื่อ “ สา ” โยมมารดาชื่อ “ มี ” มีพี่น้อง 4 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 1 คน หลวงพ่อเป็นคนโต นามสกุลเดิมว่า “ พงษ์ทอง ” เกิดที่หมู่ 4 ต.ดอนหวาย อ.ทับทัน จ.อุทัยธานี โยมบิดา-มารดามีอาชีพในทางกสิกรรม


รูปหล่อโบราณรุ่นแรก สร้างปี 2514
ในปี 2466 ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดพนมรอก อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ได้รับฉายาว่า “ กณฑโว ” โดยมี เจ้าคุณนิพัทธรรมจารย์ วัดพนมรอก เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่กับพระอุปัชฌาย์เป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อปรนนิบัติรับใช้พร้อมทั้งเล่าเรียนพระธรรมวินัยพระปริยัติธรรม และวิทยาคมจากพระอุปัชฌาย์จนหมดสิ้น จึงได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดหัวถนนใต้ ตลอดมา นอกจากนี้ท่านยังได้เดินทางไปขอศึกษาวิทยาคมจาก หลวงพ่อสุข วัดสระโบสถ์ ต.ดอนคำ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ และยังได้รับตำราใบลานของ “ หลวงพ่อเฒ่า แห่งวัดหนองโพ ” ซึ่งเป็นอาจารย์ของ หลวงพ่อเดิม โดยได้รับคำชี้แนะอย่างใกล้ชิดจากหลวงพ่อเดิม เล่ากันว่าในสมัยนั้น เมื่อหลวงพ่อเดิมได้รับกิจนิมนต์ไปยังที่ใดก็มักจะชวน หลวงพ่อฮวด ร่วมเดินทางไปด้วยเสมอ จึงนับได้ว่าพระเดชพระคุณ หลวงพ่อฮวด เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับหลวงพ่อเดิม และยังได้ขอศึกษาวิทยาคมเพิ่มเติมจากหลวงพ่อเดิมอีกด้วย เพียงแต่พรรษาอ่อนกว่ากันเท่านั้น ซึ่งพระเดชพระคุณ หลวงพ่อฮวด ก็มิได้หยุดการเสาะแสวงหาอาจารย์ที่เก่งๆ เพื่อขอถ่ายทอดคาถาอาคมแต่อย่างใด เมื่อมีโอกาสท่านจะหาเวลาไปศึกษาวิทยาคมจาก หลวงพ่อพุฒ จ.อ่างทอง หลวงพ่อนอ จ.อยุธยา ซึ่งหลวงพ่อแต่ละองค์ก็จะเก่งกันไปคนละด้าน

สมณศักดิ์ ปี พ.ศ.2471-2518 ร่วมเป็นกรรมการควบคุมการสอบนักธรรม พ.ศ.2472 ท่านสอบได้นักธรรมโทและได้รับแต่งตั้งเป็นฐานานุกรมที่ใบฎีกา พ.ศ.2474 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสและเจ้าคณะตำบลหัวถนน พ.ศ.2488 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์และเป็นฐานานุกรมที่ปลัด พ.ศ.2493 ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจสอบประโยคนักธรรม และเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี “ พระครูนิยุตธรรมประวิตร ” และเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2531 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูชั้นโท

ศีลาจารวัตร พระเดชพระคุณ หลวงพ่อฮวด ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง เปี่ยมด้วยเมตตา มีความสมถะมักน้อยและถ่อมตน มีความขยันหมั่นเพียรในวัตรปฏิบัติและภารกิจทางพระศาสนาเป็นยิ่งนัก หลวงพ่อมักจะสั่งสอนคนให้อยู่ในศีลธรรมอันดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน และให้พอใจในสิ่งที่ตนมีและดำรงอยู่ ละเว้นบาปและความชั่วทุกชนิด


เหรียญรุ่น 2 สร้างปี 2514
นอกจากนี้ท่านยังเป็นพระนักพัฒนาอีกด้วย โดยที่มองเห็นความสำคัญของการศึกษาทั้งของพระภิกษุ-สามเณร และกุลบุตร-กุลธิดา จึงได้เปิดโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรมและพระธรรมวินัยขึ้น พร้อมทั้งจัดหาครูที่มีความรู้ความสามารถในพระธรรมวินัยบาลีสันสกฤตมาอบรมสั่งสอน อีกทั้งยังจัดสร้าง โรงเรียนประชาบาลนิยุตประชาสรรค์ ในบริเวณวัดให้เด็กๆ ได้เล่าเรียน พร้อมทั้งให้ทุนแก่เด็กที่เรียนดีแต่ยากจน ตลอดจนการเลี้ยงดูและที่พักอาศัยไปจนกว่าจะเรียนจบ พระเดชพระคุณหลวงพ่อมักกล่าวเสมอว่า “ ควรจะสร้างคน ก่อนที่จะสร้างวัตถุ ” เป็นปริศนาธรรมให้ขบคิดมาจนทุกวันนี้ เพราะในขณะที่ท่านสร้างโรงเรียนนั้นสภาพกุฏิที่ท่านใช้จำพรรษา โบสถ์ ศาลา หอฉัน ล้วนอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมต้องบูรณะซ่อมแซมเป็นการด่วน แต่ท่านก็ยังมีความประสงค์จะให้สร้างโรงเรียนก่อน ไม่เพียงแค่นั้น ท่านยังได้ชักชวนชาวบ้านจัดสร้างถนน สร้างเขื่อนกั้นน้ำ เพื่อความสะดวกในการเดินทางและการเกษตร จัดหาไฟฟ้า ประปา มาให้ชาวบ้านได้ใช้สอย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนให้ดีขึ้น แม้ครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะละสังขารจากไป ท่านยังได้รับเป็นประธานจัดสร้างตึกผู้ป่วยขนาด 30 เตียง พร้อมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยให้แก่โรงพยาบาลท่าตะโกอีกด้วย

ปัจฉิมวัย ในระหว่างปี พ.ศ.2515-2535 พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ทุ่มเทสติกำลังความสามารถให้กับการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ด้วยการ่วมพัฒนาบูรณะวัดวาอารามต่างๆ ที่ขอพึ่งบารมี โดยรับนิมนต์ไปทุกหนทุกแห่งทั่วประเทศที่มีพิธีพุทธาภิเษก เพื่อหาจตุปัจจัยในการก่อสร้างหรือซ่อมแซมศาสนสถานจนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีหลายแห่ง ซึ่งในช่วงระยะเวลาดังกล่าวที่ชื่อเสียงบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อขจรขจายไปทั่วสารทิศ ก็มีหนังสือที่เกี่ยวกับพระเครื่องบ้าง บุคคลบางกลุ่มบางจำพวกบ้าง ได้มาขอประวัติตลอดจนการจัดสร้างวัตถุมงคลของวัดหัวถนนใต้ที่ผ่านมาไปลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ พร้อมทั้งเสนอตัวขอจัดสร้างวัตถุมงคลถวาย โดยขอแบ่งผลประโยชน์ด้วย ก็ถูกปฏิเสธจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฮวด บางรายถึงกับถูกไล่ลงจากกุฏิแทบไม่ทัน และหลวงพ่อเคยบอกกับศิษย์ที่ใกล้ชิดว่า

“ ไม่อยากดัง เพราะทองก็คือทอง ถึงเวลาคนจะเห็นคุณค่าเอง ไม่จำเป็นต้องไปป่าวประกาศโฆษณา ”

ดังนั้น เราจึงไม่ค่อยเห็นหรือรู้จักกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฮวด รวมทั้งวัตถุมงคลของท่านตามหนังสือพระเครื่องทั่วไป นอกจากคนใกล้ชิดหรือผู้ที่เสาะแสวงหาพระอริยสงฆ์เพื่อการกราบไหว้บูชา เปรียบเสมือนหนึ่งการหาช้างเผือก ย่อมต้องไปหาในป่าเท่านั้น


ตึกที่พักจำพรรษาในช่วงปัจฉิมวัยของหลวงปู่ฮวด
พระเดชพระคุณหลวงพ่อฮวดก็เฉกเช่นกับปุถุชนทั่วไป ที่ต้องผจญกับวัฏสงสาร คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อสังขารที่ต้องตรากตรำกับงานหนักก็ย่อมเจ็บป่วยเป็นธรรมดา จนต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลถึง 2 ครั้งใหญ่ๆ ซึ่งทุกครั้งก็อาการหนัก หมอถึงกับบอกว่า เข้ามาแล้วคงหมดโอกาสที่จะกลับออกไป ขอให้ลูกศิษย์ลูกหาเตรียมทำใจได้เลย แต่ก็แปลกที่คนแก่อายุ 80 กว่าปี เข้ารับการผ่าตัดแล้วออกไปปฏิบัติกิจทางสงฆ์ได้อีกหลายปี แม้ครั้งสุดท้ายก็ยังกลับไปจำพรรษาที่วัดของท่านได้อีกหลายเดือน

จนถึงวันพุธที่ 26 สิงหาคม 2535 เวลา 08.47 น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อฮวดจึงได้จากพวกเราไปอย่างสงบ สิริอายุ 89 ปี พรรษาที่ 68 ทิ้งไว้แต่ความดีงามให้ศิษยานุศิษย์ได้ยึดถือเป็นแนวทางในทางดำรงชีวิตต่อไป

อัศจรรย์ในบุญญาบารมี เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อฮวดถึงแก่มรณกาลแล้ว คณะศิษยานุศิษย์จึงได้จัดพิธีสรงน้ำศพขึ้นที่วัดในเวลาประมาณ 16.30 น. และเมื่อเริ่มสรงน้ำศพก็ปรากฏว่า ฝนได้โปรยปรายลงมาทั้งๆ ที่มีแดดอยู่ ยังความอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นเป็นยิ่งนัก คณะศิษยานุศิษย์ได้บรรจุร่างของท่านลงในโลงแก้วเพื่อให้สาธุชนได้กราบไหว้บูชา และจัดสวดพระอภิธรรมถวายท่านใน 100 วันแรก ซึ่งในระหว่างนี้ปรากฏว่าผู้คนที่แวะไปกราบไหว้ต่างก็มีโชคดี ลาภจากเลขอายุและพรรษาอย่างทั่วหน้า ยิ่งกว่านั้นสภาพสังขารของท่านดุจดั่งคนนอนหลับธรรมดาไม่มีการเน่าเปื่อย ทั้งๆ ที่มิได้ฉีดยา หรือปิดฝาโลงด้วยสุญญากาศแต่อย่างใด แถมเส้นเกศายังค่อยๆ งอกยาวขึ้นอีกด้วย คณะศิษยานุศิษย์จึงมีมติให้จัดสร้างพระวิหารถวายท่าน เพื่อเป็นที่ตั้งศพและที่สิงสถิตดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ พร้อมเครื่องอัฐบริขารของท่านไว้ให้ศิษยานุศิษย์และสาธุชนทั่วไปสักการะกราบไหว้บูชาสืบไป



( ที่มา : ลานโพธิ์  ฉบับที่  1204 หลวงพ่อฮวด วัดหัวถนนใต้ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ปักษ์แรก เดือนมกราคม พ.ศ. 2560 ราคาปก 60 บาท )





วันนี้อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้ 


สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า.. 
Available Now!  You can read whenever, wherever with any device.

 BangkokSarn App on Google Play store    Lanpo App on Google play Store    Ookbee Book Shop   Meb Market Book Shop    AIS Book Store   
 Lanpo App on Google Play Lanpo App on iTunes

#ลานโพธิ์ #หลวงพ่อฮวด #วัดหัวถนนใต้ #จ.นครสวรรค์