อภินิหาร พระสมุทรธรรมสุนทร ( หลวงพ่อสุด ) วัดกาหลง จังหวัดสมุทรสาคร

ภาพและเรื่องโดย เอกลักษณ์ เพริศพริ้ง

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ หรือเมื่อ ๓๒ ปีก่อน ตอนนั้นผู้เขียนมีอายุ ๑๕ ปี กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.๓ ซึ่งกำลังห้าวเป้ง บิดาผู้เขียนบอกให้เดินทางไปจังหวัดราชบุรี เพื่อไปเยี่ยมปู่เนื่องจากท่านไม่สบายมาก ตอนนั้นผู้เขียนไปคนเดียวเพราะบิดาได้ไปก่อนหน้าแล้ว ผู้เขียนเดินทางด้วยรถประจำทางสายกรุงเทพฯ-ราชบุรี ขึ้นที่สถานีขนส่งสายใต้สามแยกไฟฉาย

วันนั้นผู้เขียนนั่งติดกับ ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ อายุประมาณ ๓๐ กว่าๆ เป็นคนหน้าตาหล่อเหลาเอาการ แกมีผิวขาวเพราะมีเชื้อจีน พูดจาเสียงเหน่อๆ ไว้ผมยาวรากไทร ใส่แว่นตากันแดดยี่ห้อเรย์แบน สวมเสื้อยีนส์สีเข้มปล่อยชายไม่ติดกระดุม ส่วนด้านในก็ใส่เสื้อยืดคอกลมตราห่านคู่สีขาวปล่อยชายเช่นกัน แกนุ่งกางเกงยีนส์ลีวายสีซีด สวมรองเท้าผ้าใบหุ้มส้นสีขาว มีกระเป๋าสะพายหลังแบบทหารวางบนตัก...

ล็๋อกเกต หลังตะกรุด หลวงพ่อสุด วัดกาหลง
ณ เวลานั้นผู้เขียนเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างฝังหัว เวลานั่งรถไปไหนมาไหนหากเห็นศาลต่างๆ หรือต้นโพธิ์ใหญ่ที่มีพระหักมาวางกองไว้เยอะๆ ก็จะยกมือไหว้ปลกๆ ไปตลอดทางจนกระทั่งถึงที่หมาย และสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้ชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่ด้านข้างแอบยิ้มให้กับพฤติกรรมของผู้เขียน  แกคงเอ็นดูจึงเริ่มชวนคุย แรกเริ่มก็คุยกันแบบถามคำตอบคำไม่ซับซ้อน แกถามว่า “ เป็นคนที่ไหน ไปทำอะไรที่ราชบุรี ” ผู้เขียนว่า “ พ่อผมเป็นคนวัดเพลง ผมกำลังไปเยี่ยมปู่ ” ผู้เขียนเลยถามกลับไปบ้างว่า “ แล้วน้าเป็นคนที่ไหน ไปราชบุรีทำไมครับ ” แกว่า “ เป็นคนดำเนินฯ กำลังกลับบ้าน ” พอแกเริ่มคุ้นเคยกับผู้เขียนแกก็เล่าเรื่อง อภินิหารของสุดยอดพระเกจิอาจารย์ย่านมหาชัยท่านหนึ่งให้ฟัง พระอาจารย์ท่านนั้นก็คือ “ หลวงพ่อสุด แห่งวัดกาหลง จังหวัดสมุทรสาคร ” นั่นเอง

ชายฉกรรจ์บอกว่าตนเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดของ หลวงพ่อสุด ว่าแล้วแกก็นำวัตถุมงคลที่ใช้ติดตัวตลอดเวลาแล้วก็เกิดประสบการณ์กับตัวมาอย่างโชกโชนออกมาให้ดู ที่ผู้เขียนเห็นก็มี เหรียญรุ่นเสือเผ่น ปี พ.ศ.๒๕๑๗ หลังยันต์ตะกร้อ กับ ตะกรุดโทน ส่วนที่แผ่นหลังของแกก็สักยันต์รูปตะกร้อ ( ยันต์ที่หลังแกไม่ได้เปิดให้ดู เพียงแต่เล่าให้ฟังเฉยๆ ) แกว่าจะสักเสือเผ่น แต่ หลวงพ่อสุด ท่านไม่ให้  ท่านว่า “ สักเสือเผ่นแล้วมันร้อน จะอยู่กันไม่เป็นสุข ”


ตะกรุดโทนคาดเอว หลวงพ่อสุด วัดกาหลง
แกยืนยันอย่างหนักแน่นว่าของทั้ง ๓ สิ่งที่มีอยู่กับตัว เป็นของดีมีคุณวิเศษ กันภัยได้สารพัดอย่าง ทั้งยังเป็นคงกระพัน คงหนังคงเนื้อ ปืนยิงมีดแทงไม่ระคายผิว ชายฉกรรจ์ยังกล่าวเสริมอีกว่า “ วัตถุมงคลของหลวงพ่อสุดเหนียวกว่าของพระอาจารย์ท่านใด ” ( เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ-ผู้เขียน )

ผู้เขียนจึงขอให้แกเล่าเรื่องอภินิหารของ หลวงพ่อสุด ให้ฟังเพื่อเป็นการฆ่าเวลาในระหว่างเดินทาง แกก็ไม่ขัดศรัทธาเล่าให้ฟังยกใหญ่ตั้งหลายเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องแปลก จะเรียก “ ปาฏิหาริย์ ” ก็เรียกได้เพราะไม่เกินจริง ทั้งเรื่องโดนยิงโดนแทงแต่ไม่ระคายผิว  หรือเรื่องเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงบนท้องถนนแต่ก็รอดตายมาได้อย่างเหลือเชื่อ หรือเรื่องที่คลาดกับศัตรูจึงไม่โดนทำร้าย เป็นต้น

แต่เรื่องที่สะกดให้ผู้เขียนต้องตั้งหน้าตั้งตาฟังอย่างใจจดจ่อก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของ “ ตี๋ใหญ่ ” ซึ่งนี่ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องฆ่าเวลาขณะเดินทางเสียแล้ว แกว่า “ ตี๋ใหญ่ ” เป็นมหาโจร

หนังดี เป็นคนใจนักเลงรักพวกพ้อง ตี๋ใหญ่หนีการล้อมจับของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาแล้วหลายหน ขนาดโดนตำรวจยิงในระยะประชิดก็ยังไม่ถูกตัว แต่กลับฝ่าวงล้อมออกมาได้แล้วก็หายไปหน้าตาเฉย เรียกได้ว่าลูกปืนของตำรวจไม่ได้กินเลือดของตี๋ใหญ่ก็แล้วกัน เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะ “ ตะกรุดโทนของ หลวงพ่อสุด วัดกาหลงได้ช่วยไว้นั่นเอง

หลวงพ่อสุด วัดกาหลง

เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อสุด จ.สมุทรสาคร
(รุ่นฟ้าผ่า) พ.ศ.2506 เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง
หลวงพ่อสุด เกิดเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๔๕ บิดาชื่อ นายมาก มารดาชื่อ นางอ่อนศรี เกิดที่อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ทางบ้านประกอบอาชีพทำนา ตอนเป็นเด็กท่านเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดฟ้าขยาด ตำบลคำไฮ อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด พออายุได้ ๑๖ ปี หลวงพ่อได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดกลางพนมไพร อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด โดย พระครูเม้า เป็นพระอุปัชฌาย์

พระครูเม้า ท่านรู้ว่า หลวงพ่อสุด เป็นผู้มีบุญวาสนามาเกิด สามารถเรียนพุทธาคมชั้นสูงได้แม้จะยังเป็นเณรก็ตาม ท่านจึงสอนวิชาอาคมที่มีทั้งหมดให้ จึงนับได้ว่า “ พระครูเม้า ” คือพระอาจารย์รูปแรกของ หลวงพ่อสุด เมื่อได้เวลาอันพอสมควรท่านก็แนะนำให้ หลวงพ่อสุด ออกเดินทางเพื่อแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ท่านว่าอีกไม่ช้าก็จะได้พบกับพระอาจารย์ที่แท้จริง นับจากนั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อสุด ก็ออกเดินธุดงค์ไปเรื่อย ทั้งภาคนั้นจังหวัดนี้

ในสมัยก่อนการเดินธุดงค์ในป่าลึกมิใช่เรื่องง่าย ผู้ที่เดินได้จำต้องมีวิชาพอสมควร ไม่เช่นนั้นล่ะก็จะต้องตายกลายเป็นผีเฝ้าป่าไปอย่างแน่นอน เพราะในป่ามากด้วยอาถรรพ์มนต์ดำ ไสยศาสตร์คุณคน ภูตผีปีศาจ เจ้าป่าเจ้าเขา พวกเสือสมิง หรือแม้กระทั่งสัตว์ร้ายนานาชนิด มีพระธุดงค์ต้องมาตายกลางป่าเป็นจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน

หลวงพ่อสุด ต้องมีอาคมเข้มขลังไม่ธรรมดา ท่านจึงสามารถเดินทางรอนแรมจากจังหวัดทางภาคอีสานมาสู่ วัดกาหลง จังหวัดสมุทรสาคร ได้ และแล้ว หลวงพ่อสุด ก็พบกับพระอาจารย์ที่แท้จริงของท่านตามที่พระครูเม้าได้บอกไว้จนได้ พระอาจารย์ท่านนั้นก็คือ “ หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ ” หลวงพ่อรุ่งท่านคือสุดยอดพระเกจิอาจารย์ทหารเสืออินโดจีน หลวงพ่อสุด จึงมอบกายถวายตัวขอเป็นลูกศิษย์ร่ำเรียนวิชาอาคมกับหลวงพ่อรุ่งนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และด้วยที่ วัดกาหลง กับวัดท่ากระบืออยู่ไม่ไกลกัน จึงมีการไปมาหาสู่กันบ่อยๆ หลวงพ่อรุ่งท่านก็เมตตาถ่ายทอดวิทยาคมให้อย่างไม่ปิดบังซ่อนเร้น จนกระทั่ง หลวงพ่อสุด ชำนิชำนาญแตกฉาน จากนั้นหลวงพ่อรุ่งจึงได้แนะนำให้ไปเรียนอาคมเพิ่มเติมกับ “ หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ” จังหวัดสมุทรสงคราม
เหรียญรุ่นเสือเผ่น พ.ศ.2517
เนื้อทองแดง บล็อก A

ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงหลวงพ่อรุ่งสักหน่อย จะได้รู้ว่าพระอาจารย์ของ หลวงพ่อสุด ท่านนี้ไม่ธรรมดา เป็นถึงพระอาจารย์ผู้ทรงเวทวิทยาคมแห่งยุคสมัยสงครามอินโดจีน นั่นจึงทำให้ “ หลวงพ่อสุด ” เก่งไม่แพ้พระอาจารย์ท่านใดในยุคสมัยเดียวกัน

เหรียญรุ่นสรงน้ำ อายุ 70 ปี (เจ้าทุย)
พ.ศ.2515 เนื้อฝาบาตร
หลวงพ่อรุ่ง คือสุดยอดพระเกจิอาจารย์ผู้มีอาคมขลังอีกท่านหนึ่งแห่งยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านคือสุดยอดพระอาจารย์ผู้มากด้วยปาฏิหาริย์ เป็นระดับปรมาจารย์ด้านเวทมนตร์ ท่านมีอภินิหารเป็นที่เลื่องลือเชื่อถือได้  และ ท่านคือ ๑ ในพระคณาจารย์ผู้ทรงเวทวิทยาคมที่ได้รับคัดเลือกให้เสกพระเครื่องในพิธีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง ๓ พิธี อันได้แก่ พิธีมหาพุทธาภิเษกวัดราชบพิธฯ ปี พ.ศ.๒๔๘๑, พิธีมหาพุทธาภิเษกพระพุทธชินราชอินโดจีน ปี พ.ศ.๒๔๘๕ และ พิธี ๒๕ พุทธศตวรรษ ปี พ.ศ.๒๕๐๐ ว่ากันว่าทั้ง ๓ พิธีนี้ หากพระอาจารย์ท่านใดยังเก่งไม่ถึงขั้นแล้วล่ะก็ จะจับสายสิญจน์ที่โยงไปยังวัตถุมงคลไม่ได้เลย เพราะพลังมนต์ที่ผ่านไปกับสายสิญจน์นั้นจะมีความร้อนดั่งไฟฟ้าแรงสูงกันเลยทีเดียว

หลวงพ่อสุด ท่านสำเร็จวิชาคงกระพันชาตรี ผู้สำเร็จวิชานี้ปีหนึ่งจะสรงน้ำเพียงหนเดียวเมื่อคราวเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น ( ลูกศิษย์ลูกหาขอ ) เหมือนอย่างกับ หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก, หลวงพ่อฟ้อน วัดบ้านพาด, หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม, หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ฯลฯ แต่ก็แปลกที่พระอาจารย์เหล่านี้กลับไม่มีกลิ่นตัวแม้แต่น้อย


มรณกาล

รูปหล่อจำลองหลวงพ่อสุด
วัดกาหลง ปิดทองคำเปลว
เหลืองอร่ามทั้งองค์
หลวงพ่อสุด ท่านมรณภาพดับขันธ์ลงเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๖ ตรงกับวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน เวลา ๑๓.๑๕ น. สิริอายุ ๘๑ ปี ๓ เดือน ๘ วัน พรรษาที่ ๖๑ มีการเก็บร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของท่านไว้ในโลงแก้ว เพื่อให้ประชาชนคนทั่วไปได้กราบไหว้ขอพรเป็นระยะเวลาถึง ๒๐ ปี แล้วจึงมีพิธีพระราชทานเพลิงไปเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๕


คงกระพันยันกระดูก

และในพิธีนี้ก็ได้เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น เมื่อไฟเผาทำลาย หลวงพ่อสุด ได้เพียงแค่ผิวหนัง แต่สำหรับกระดูกของหลวงพ่อนั้น ไฟไม่อาจเผาให้กลายเป็นผุยผงได้ ทั้งๆ ที่เผานานนับ ๒ ชั่วโมง
วัดอื่นๆ หากพระอาจารย์เจ้าอาวาสที่มรณภาพไปแล้วร่างไม่เน่าเปื่อย ทางวัดก็จะเก็บสังขารของท่านเอาไว้ในโลงแก้วเพื่อเป็นอนุสรณ์ไม่นิยมเผากัน ต่างจากกรณีของ หลวงพ่อสุด เนื่องจากว่าท่าน “ พระครูสมุทรพัฒนาภรณ์ ” หรือ “ พระครูฉลอง ” เจ้าคณะตำบลนาโคก รักษาการเจ้าอาวาส วัดกาหลง ในขณะนั้น ได้ฝันว่า “ หลวงพ่อสุด ” มาเข้าฝัน

หลวงพ่อสุด บอกว่า “ ไม่มีใครสามารถเผาร่างของท่านได้ นอกจากตัวของท่านเอง ”

พระครูฉลองจึงถามว่า “ ถ้าเช่นนั้นจะให้ทำอย่างไร ”

หลวงพ่อสุด ว่า “ ให้เอาดอกไม้มาทำพิธีขอขมา แล้วให้พระครูฉลองเป็นผู้จุดไฟ ท่านจะจับมือเผาเอง ”


หลวงพ่อสุด วัดกาหลง
ท่านพระครูฉลองจึงได้นำความฝันเข้าประชุมหารือกับบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของ หลวงพ่อสุด แล้วตีความก่อนลงมติว่า หลวงพ่อสุด ต้องการให้เผา ” จึงจัดพิธีพระราชทานเพลิงขึ้น ในวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๕ เวลา ๑๖.๐๐ น. การนี้ได้นิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่ของ จังหวัดสมุทรสาคร ให้เป็นประธานจุดไฟ

วัดกาหลง ได้สร้างเมรุลอยขึ้นกลางลานวัด โดยมี คุณสังวร ศรีแสงแย้ม เป็นผู้ควบคุมดูแล เมื่อถึงเวลาประชุมเพลิง ท่านเจ้าคณะจังหวัดได้จุดไฟกับดอกไม้จันทน์ แต่ปรากฏว่าไฟดับลงหน้าตาเฉย แม้จะพยายามสักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ไฟก็ยังไม่ติดอยู่ดี ทั้งๆ ที่ไม่มีลมกรรโชกเข้ามาแต่อย่างใด


แห่ หลวงพ่อสุดด้วยศรัทธา
ฝ่ายพระครูฉลองเห็นเข้า ก็นึกถึงคำของ หลวงพ่อสุด ที่ได้สั่งการไว้ จึงขออนุญาตท่านเจ้าคณะจังหวัดทำการจุดดอกไม้จันทน์แทน ก็ปรากฏว่าไฟได้ลุกโชติช่วงชัชวาล  คุณสังวรผู้ควบคุมการเผา ได้เผาร่าง หลวงพ่อสุด นานนับ ๒ ชั่วโมง แต่ก็ปรากฏว่าไฟเผา หลวงพ่อสุด ได้แค่เพียงผิวหนัง ไม่อาจเผาทำลายกระดูกได้ ซึ่งสภาพของกระดูกของ หลวงพ่อสุด ยังคงสมบูรณ์ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดบุบสลายหายไป ปัจจุบันทางวัดได้นำโครงกระดูกของท่านมาวางเรียงไว้ในโลงแก้ว เพื่อให้สาธุชนคนทั่วไปและลูกศิษย์ลูกหาได้มากราบสักการบูชากัน

คุณสังวรว่า “ ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน คิดว่านี่คือปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อสุด วัดกาหลง อย่างแน่นอน ” พูดเสร็จแกก็ยกมือขึ้นไหว้สูงท่วมหัว ปากบอก “ สาธุๆ ”

และนี่คือข้อพิสูจน์ยืนยันว่าท่านเป็นพระผู้สำเร็จวิชาคงกระพันยันกระดูกอย่างแท้จริง...


อภินิหารจากตะกรุดโทน

เรื่องที่ทำให้ “ หลวงพ่อสุด ” เป็นที่รู้จักของผู้คนประชาชนทั่วทั้งประเทศ ทั้งยังโด่งดังสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้านปฐพีก็คือ เรื่องของ “ ตี๋ใหญ่ ” ที่เนื้อหนังเป็นคงกระพัน ปืนยิงไม่โดน หรือยิงโดนแต่ไม่เข้า อีกทั้งยังมีคนลือว่าตี๋ใหญ่หายตัวได้ ก็เพราะตี๋ใหญ่คาด ตะกรุดโทนของหลวงพ่อสุด

และต่อจากนี้ไปคือการเล่าเรื่องของตี๋ใหญ่แบบตรงไปตรงมา เพื่อประกอบเรื่องที่เกี่ยวกับอานุภาพและอภินิหารที่เกิดจากวัตถุมงคลของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อสุด แห่งวัดกาหลง

อนึ่ง ผู้เขียนขอไว้อาลัยต่อการจากไปของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ต้องพลีชีพ เพราะได้ต่อสู้กับแก๊งตี๋ใหญ่  เพื่อพิทักษ์สันติราษฎร์ และเพื่อผดุงความยุติธรรมรักษากฎหมายบ้านเมืองเอาไว้ หากมีตอนหนึ่งตอนใดที่ผู้เขียนได้พลั้งเผลอ หรือได้ล่วงเกินผู้หนึ่งผู้ใดไปแล้วล่ะก็ ผู้เขียนขออภัยมา ณ ที่นี้...


ตี๋ใหญ่

“ ตี๋ใหญ่ ” ชื่อจริงคือ นายกรประเสริฐ ช่างเขียน เป็นลูกครึ่งเชื้อสายไทยจีน เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๕ ตำบลคลองไผ่ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี มีพี่น้อง ๗ คน ตนเป็นพี่ชายคนโต ทางบ้านมีฐานะยากจน โดยครอบครัวประกอบอาชีพทำสวนผักผลไม้ ตี๋ใหญ่สมัยเป็นเด็กมีนิสัยขี้อาย สุภาพเรียบร้อย และไม่สู้คน เรียนได้แค่ชั้น ป.๔ ก็ต้องออกเรียนเพื่อมาช่วยพ่อ-แม่ทำงาน พออายุได้ ๑๗ ปี ก็ล่องเรือเอาแตงโมจากสวนมาขายในกรุงเทพมหานคร แถวๆ “ ตลาดมหานาค ”


กลุ่มลูกศิษย์ ช่างภาพ แลนักข่าว น.ส.พ.จีน
กลุ่มลูกศิษย์รับเหรียญจากหลวงพ่อ
และที่นี่ได้ทำให้ชีวิตของ “ ตี๋ใหญ่ต้องเปลี่ยนไป จากคนขี้อาย สุภาพเรียบร้อย ไม่สู้คนกลับกลายเป็นมหาโจรในตำนาน ผู้มีค่าหัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยในขณะนั้น ทั้งยังเป็นที่ครั่นคร้ามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ” เมื่อตี๋ใหญ่ถูกนักเลงเจ้าถิ่นแถวเทเวศร์รุมกระทืบเอาจนสะบักสะบอม ต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มในเรือที่จอดไว้บริเวณริมคลองมหานาค

เมื่อต้องนอนซมเพราะพิษบาดแผลอยู่นานหลายวันก็เกิดคิดได้ว่า ทำไมตนจึงต้องตกเป็นรองคนอื่นเขาตลอดเวลาในเมื่อก็มีสองมือสองเท้าเท่ากัน ตี๋ใหญ่จึงตัดสินใจแก้แค้นเอาคืน พอสภาพร่างกายพร้อมก็รวบรวมสมัครพรรคพวกตั้งตนเป็นนักเลงก๊กใหม่ แล้วก็ออกตามล่าล้างแค้นเอาคืนคู่อริที่ทำให้เจ็บ ด้วยการใช้ขวานฟันหัวหน้านักเลงเจ้าถิ่นเจียนตายต่อหน้าต่อตาลูกน้องของมัน    

นับจากนั้นเป็นต้นมา “ แก๊งตี๋ใหญ่ ” ก็ยกพวกไปปราบพวกนักเลงเจ้าถิ่นกลุ่มอื่นๆ อันได้แก่ นักเลงย่านมหานาค บางขุนพรหม สามเสน วิสุทธิกษัตริย์จนราบคาบ ทำให้บารมีนักเลงของ “ ตี๋ใหญ่ ” เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น


ภายในศาลาซึ่งประดิษฐานสรีระหลวงพ่อสุด วัดกาหลง
ไฟไม่ไหม้ ฮือฮาไปทั่วประเทศ
และแล้วก็ถึงคราวที่ตี๋ใหญ่ต้องหนีตำรวจเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อต้องดวลมีดหนึ่งต่อหนึ่งอย่างลูกผู้ชายกับขาใหญ่นักเลงโตที่คุมวินรถสองแถวรับจ้าง ตี๋ใหญ่หนังดีโดนแทงไม่เข้าเพราะคาด “ ตะกรุดโทนของหลวงพ่อสุด วัดกาหลง ผู้เป็นพระอาจารย์ ” ส่วนคู่กรณีก็ถูกตี๋ใหญ่แทงเอาอาการล่อแล่ปางตาย ตี๋ใหญ่ จึงต้องหนีคดีมาอยู่ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ตี๋ใหญ่ได้กลับไปอยู่กับ หลวงพ่อสุด ที่วัดกาหลงอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากที่เก็บร่างของท่านไว้เป็นเวลา 20 ปีเศษ ก็ปรากฏว่าร่างกายของท่าน
คงอยู่ในสภาพปกติ ไม่เน่าไม่เปื่อย และเมื่อทำการเผา
ก็เกิดอภินิหาร
เนื้อหนังไหม้หมด แต่กระดูกอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีชิ้นไหนกร่อนบิ่น
ไปแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก

ต่อมาได้ย้ายไปอาศัยอยู่กับเสี่ยคนหนึ่งที่ท่านฉลอม เสี่ยให้ตี๋ใหญ่คุมซ่องเพื่อกำราบนักเที่ยวราตรีชั้นเลวที่ชอบมั่วเที่ยวฟรี ที่ชอบรังแกทุบตีน้องๆ ตอนนั้นตี๋ใหญ่บอกเพื่อนว่าอยากได้ “ ปืน ” เพื่อนจึงจัด ปืนยี่ห้อโคลท์ ขนาด ๑๑ มม. ให้ พอได้ปืนมาแล้วก็ขะมักเขม้นฝึกซ้อมจนชำนิชำนาญ เรื่องเป้านิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะเป้าเคลื่อนที่ตี๋ใหญ่ยังยิงได้อย่างแม่นยำชนิดจับวาง...

วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๖ ขณะที่ตี๋ใหญ่อายุได้ ๒๑ ปี ก็ออกปล้นบ้านของ “ คุณอดิศักดิ์ ” เศรษฐีดำเนินสะดวกเป็นรายแรก โดยตนกับพวกได้กวาดทรัพย์สินเงินทองของมีค่าไปหลายแสนบาท ตำรวจสภ.อ.ดำเนินสะดวก ใช้เวลาไม่นานก็สืบทราบว่าเป็น “ แก๊งของตี๋ใหญ่ ” แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะหลังจากปล้นเสร็จตี๋ใหญ่กับลูกน้องก็กบดานเงียบ ไร้ร่องรอย


คุณวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ลูกศิษย์รดน้ำศพหลวงพ่อสุด
ปลายปี พ.ศ.๒๕๑๗ ตี๋ใหญ่พร้อมพวก ๕ คน ได้พา นางบุญปั่น แก้วจันทร์ดี ทำทีไปเลือกซื้ออัญมณีที่ ร้านแอนนี่จิวเวอรี่ ภายในโรงแรมเอเชีย เมื่อสบโอกาสก็จัดการปล้นโดยใช้เวลาไม่ถึง ๕ นาที โดยกวาดเงินทองและอัญมณีมูลค่านับล้านบาทติดตัวไปด้วย ปล้นเสร็จก็พากันไปที่รถซึ่งจอดเตรียมพร้อมไว้หน้าโรงแรม พอพวกตี๋ใหญ่ออกมาก็พบเข้ากับตำรวจนายหนึ่งที่เพิ่งออกเวรกำลังจะกลับบ้าน

เมื่อทางร้านร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ ด้วยสัญชาตญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทำให้ตำรวจนายนั้นทำการขัดขวางสกัดพวกของตี๋ใหญ่เอาไว้ พวกตี๋ใหญ่เมื่อเห็นตำรวจชักปืนออกมาก็ชักปืนขึ้นยิงสู้ การดวลปืนจึงเกิดขึ้น ตำรวจยิงตี๋ใหญ่ไม่ถูก จึงโดนยิงสวนกลับไปสิ้นชีพทันที

เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๑๘ ตี๋ใหญ่จอมโจรนามกระเดื่องก็สิ้นสภาพเสือร้าย เมื่อตำรวจสายสืบ สน.ภาษีเจริญ แจ้งขอกำลังความว่า “ พบตี๋ใหญ่กับพรรคพวกซ่องสุมกันอยู่ที่บ้านเช่าในสวนแถวบางพลัด ถนนจรัญสนิทวงศ์ ” เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงระดมกำลังกว่าร้อยนายไปล้อมจับ ไม่น่าเชื่อว่าเสือร้ายอย่างตี๋ใหญ่จะยอมให้จับง่ายๆ โดยไม่เสียกระสุนปืนแม้แต่นัดเดียว 

การถูกจับของตี๋ใหญ่ในครั้งนั้นมีการขยายผลต่อยอดออกไป จากคดีหนึ่งต่อไปอีกนับสิบคดี “ ตี๋ใหญ่ ” ถูกถ่ายรูปทำประวัติพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นครั้งแรก จากนั้นก็ถูกนำตัวไปฝากขังไว้ที่เรือนจำลาดยาว อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร


1. ชาวบ้านแห่มุงดูศพ “ตี๋ใหญ่” 2. ตี๋ใหญ่โจรจอมขมังเวทย์ก็ถูกยิงตาย
(บ้างก็ว่าตำรวจเป็นคนยิง บางคนก็ว่าถูกเพื่อนรักยิงเอา)
3. “ตี๋ใหญ่” ชื่อจริงคือ นายกรประเสริฐ ช่างเขียน 4. หนังสือพิมพ์ทุกหัว
ประโคมโหมข่าวว่า  “ตี๋ใหญ่ หายตัวได้เพราะเสกใบมะละกอ” แต่ที่จริงแล้ว
ตี๋ใหญ่หักก้านมะละกอแล้วเด็ดใบทิ้งไป ก่อนลงไปนอนซ่อนตัวอยู่ในน้ำ
โดยใช้ก้านมะละกอเป็นหลอดดูดอากาศหายใจ
5. เหตุการณ์ตอนที่ตำรวจกว่าร้อยนายล้อมบ้าน
และที่นี่ตี๋ใหญ่ก็ถูกกลุ่มนักโทษชายในนั้นหยามเกียรติหมิ่นศักดิ์ศรีเอา เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ตี๋ใหญ่ได้ประกาศต่อหน้าลูกน้องของตนในเวลาต่อมาว่า “ จะไม่ยอมติดคุกอีกอย่างเด็ดขาด ”...

วันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๘ ตี๋ใหญ่กับลูกน้องชื่อ “ เอก ” โดนส่งตัวไปยังจังหวัดเชียงใหม่ตามคำสั่งศาลจังหวัด เนื่องจากโดนตำรวจอายัดตัวไว้ในคดีปล้น “ ร้านทองแสงเจริญ ” ทั้งคู่ถูกใส่กุญแจมือติดกัน ส่วนข้อเท้าก็ถูกตีตรวนอย่างแน่นหนา เดินทางด้วยรถไฟ โดยมีตำรวจ ๒ นาย เป็นผู้คุม

เวลา ๐๒.๐๐ น.กว่าๆ ก็ถึงอำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ตี๋ใหญ่กับลูกน้องทำทีขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ตำรวจอนุญาตแล้วเฝ้าอยู่ด้านนอกโดยเปิดประตูแง้มไว้ ไม่ถึงอึดใจตำรวจทั้งสองก็ได้ยินเสียงกระจกในห้องน้ำแตกดัง “ เพล้ง ” เกือบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ตำรวจทั้งสองรีบเปิดประตูเข้าไปดู ก็ปรากฏว่าเสือร้ายพร้อมลูกสมุนหายตัวไปแล้ว เหลือแต่เศษกระจกที่แตกกระจายกลาดเกลื่อนพื้นไว้ให้ดูต่างหน้า

ตี๋ใหญ่กับลูกน้องทุบกระจกหน้าต่างห้องน้ำรถไฟแล้วกระโดดหนีออกมาอย่างบ้าบิ่น ในขณะที่รถไฟใช้ความเร็วถึง ๙๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีการระดมกำลังตำรวจกว่าร้อยนายออกติดตามไล่ล่า แต่ก็ไร้ผล...

( ที่มา : ลานโพธิ์  ฉบับที่  1199 อภินิหาร พระสมุทรธรรมสุนทร ( หลวงพ่อสุด ) วัดกาหลง  จังหวัดสมุทรสาคร ปักษ์หลัง เดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 ราคาปก 60 บาท )







วันนี้อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้ 

สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า.. 
Available Now!  You can read whenever, wherever with any device.

 BangkokSarn App on Google Play store    Lanpo App on Google play Store    Ookbee Book Shop   Meb Market Book Shop    AIS Book Store   
 Lanpo App on Google Play Lanpo App on iTunes

#ลานโพธิ์ #หลวงพ่อสุด #วัดกาหลง #จ.สมุทรสาคร