ภาพและเรื่องโดย เอกลักษณ์ เพริศพริ้ง
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ หรือเมื่อ ๓๒ ปีก่อน ตอนนั้นผู้เขียนมีอายุ ๑๕ ปี กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.๓ ซึ่งกำลังห้าวเป้ง บิดาผู้เขียนบอกให้เดินทางไปจังหวัดราชบุรี เพื่อไปเยี่ยมปู่เนื่องจากท่านไม่สบายมาก ตอนนั้นผู้เขียนไปคนเดียวเพราะบิดาได้ไปก่อนหน้าแล้ว ผู้เขียนเดินทางด้วยรถประจำทางสายกรุงเทพฯ-ราชบุรี ขึ้นที่สถานีขนส่งสายใต้สามแยกไฟฉาย
วันนั้นผู้เขียนนั่งติดกับ ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ อายุประมาณ ๓๐ กว่าๆ เป็นคนหน้าตาหล่อเหลาเอาการ แกมีผิวขาวเพราะมีเชื้อจีน พูดจาเสียงเหน่อๆ ไว้ผมยาวรากไทร ใส่แว่นตากันแดดยี่ห้อเรย์แบน สวมเสื้อยีนส์สีเข้มปล่อยชายไม่ติดกระดุม ส่วนด้านในก็ใส่เสื้อยืดคอกลมตราห่านคู่สีขาวปล่อยชายเช่นกัน แกนุ่งกางเกงยีนส์ลีวายสีซีด สวมรองเท้าผ้าใบหุ้มส้นสีขาว มีกระเป๋าสะพายหลังแบบทหารวางบนตัก...
ณ เวลานั้นผู้เขียนเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างฝังหัว เวลานั่งรถไปไหนมาไหนหากเห็นศาลต่างๆ หรือต้นโพธิ์ใหญ่ที่มีพระหักมาวางกองไว้เยอะๆ ก็จะยกมือไหว้ปลกๆ ไปตลอดทางจนกระทั่งถึงที่หมาย และสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้ชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่ด้านข้างแอบยิ้มให้กับพฤติกรรมของผู้เขียน แกคงเอ็นดูจึงเริ่มชวนคุย แรกเริ่มก็คุยกันแบบถามคำตอบคำไม่ซับซ้อน แกถามว่า “ เป็นคนที่ไหน ไปทำอะไรที่ราชบุรี ” ผู้เขียนว่า “ พ่อผมเป็นคนวัดเพลง ผมกำลังไปเยี่ยมปู่ ” ผู้เขียนเลยถามกลับไปบ้างว่า “ แล้วน้าเป็นคนที่ไหน ไปราชบุรีทำไมครับ ” แกว่า “ เป็นคนดำเนินฯ กำลังกลับบ้าน ” พอแกเริ่มคุ้นเคยกับผู้เขียนแกก็เล่าเรื่อง อภินิหารของสุดยอดพระเกจิอาจารย์ย่านมหาชัยท่านหนึ่งให้ฟัง พระอาจารย์ท่านนั้นก็คือ “ หลวงพ่อสุด แห่งวัดกาหลง จังหวัดสมุทรสาคร ” นั่นเอง
ชายฉกรรจ์บอกว่าตนเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดของ หลวงพ่อสุด ว่าแล้วแกก็นำวัตถุมงคลที่ใช้ติดตัวตลอดเวลาแล้วก็เกิดประสบการณ์กับตัวมาอย่างโชกโชนออกมาให้ดู ที่ผู้เขียนเห็นก็มี เหรียญรุ่นเสือเผ่น ปี พ.ศ.๒๕๑๗ หลังยันต์ตะกร้อ กับ ตะกรุดโทน ส่วนที่แผ่นหลังของแกก็สักยันต์รูปตะกร้อ ( ยันต์ที่หลังแกไม่ได้เปิดให้ดู เพียงแต่เล่าให้ฟังเฉยๆ ) แกว่าจะสักเสือเผ่น แต่ หลวงพ่อสุด ท่านไม่ให้ ท่านว่า “ สักเสือเผ่นแล้วมันร้อน จะอยู่กันไม่เป็นสุข ”
แกยืนยันอย่างหนักแน่นว่าของทั้ง ๓ สิ่งที่มีอยู่กับตัว เป็นของดีมีคุณวิเศษ กันภัยได้สารพัดอย่าง ทั้งยังเป็นคงกระพัน คงหนังคงเนื้อ ปืนยิงมีดแทงไม่ระคายผิว ชายฉกรรจ์ยังกล่าวเสริมอีกว่า “ วัตถุมงคลของหลวงพ่อสุดเหนียวกว่าของพระอาจารย์ท่านใด ” ( เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ-ผู้เขียน )
ผู้เขียนจึงขอให้แกเล่าเรื่องอภินิหารของ หลวงพ่อสุด ให้ฟังเพื่อเป็นการฆ่าเวลาในระหว่างเดินทาง แกก็ไม่ขัดศรัทธาเล่าให้ฟังยกใหญ่ตั้งหลายเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องแปลก จะเรียก “ ปาฏิหาริย์ ” ก็เรียกได้เพราะไม่เกินจริง ทั้งเรื่องโดนยิงโดนแทงแต่ไม่ระคายผิว หรือเรื่องเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงบนท้องถนนแต่ก็รอดตายมาได้อย่างเหลือเชื่อ หรือเรื่องที่คลาดกับศัตรูจึงไม่โดนทำร้าย เป็นต้น
แต่เรื่องที่สะกดให้ผู้เขียนต้องตั้งหน้าตั้งตาฟังอย่างใจจดจ่อก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของ “ ตี๋ใหญ่ ” ซึ่งนี่ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องฆ่าเวลาขณะเดินทางเสียแล้ว แกว่า “ ตี๋ใหญ่ ” เป็นมหาโจร
หนังดี เป็นคนใจนักเลงรักพวกพ้อง ตี๋ใหญ่หนีการล้อมจับของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาแล้วหลายหน ขนาดโดนตำรวจยิงในระยะประชิดก็ยังไม่ถูกตัว แต่กลับฝ่าวงล้อมออกมาได้แล้วก็หายไปหน้าตาเฉย เรียกได้ว่าลูกปืนของตำรวจไม่ได้กินเลือดของตี๋ใหญ่ก็แล้วกัน เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะ “ ตะกรุดโทนของ หลวงพ่อสุด วัดกาหลง ” ได้ช่วยไว้นั่นเอง
หลวงพ่อสุด เกิดเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๔๕ บิดาชื่อ นายมาก มารดาชื่อ นางอ่อนศรี เกิดที่อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ทางบ้านประกอบอาชีพทำนา ตอนเป็นเด็กท่านเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดฟ้าขยาด ตำบลคำไฮ อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด พออายุได้ ๑๖ ปี หลวงพ่อได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดกลางพนมไพร อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด โดย พระครูเม้า เป็นพระอุปัชฌาย์
พระครูเม้า ท่านรู้ว่า หลวงพ่อสุด เป็นผู้มีบุญวาสนามาเกิด สามารถเรียนพุทธาคมชั้นสูงได้แม้จะยังเป็นเณรก็ตาม ท่านจึงสอนวิชาอาคมที่มีทั้งหมดให้ จึงนับได้ว่า “ พระครูเม้า ” คือพระอาจารย์รูปแรกของ หลวงพ่อสุด เมื่อได้เวลาอันพอสมควรท่านก็แนะนำให้ หลวงพ่อสุด ออกเดินทางเพื่อแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ท่านว่าอีกไม่ช้าก็จะได้พบกับพระอาจารย์ที่แท้จริง นับจากนั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อสุด ก็ออกเดินธุดงค์ไปเรื่อย ทั้งภาคนั้นจังหวัดนี้
ในสมัยก่อนการเดินธุดงค์ในป่าลึกมิใช่เรื่องง่าย ผู้ที่เดินได้จำต้องมีวิชาพอสมควร ไม่เช่นนั้นล่ะก็จะต้องตายกลายเป็นผีเฝ้าป่าไปอย่างแน่นอน เพราะในป่ามากด้วยอาถรรพ์มนต์ดำ ไสยศาสตร์คุณคน ภูตผีปีศาจ เจ้าป่าเจ้าเขา พวกเสือสมิง หรือแม้กระทั่งสัตว์ร้ายนานาชนิด มีพระธุดงค์ต้องมาตายกลางป่าเป็นจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน
หลวงพ่อสุด ต้องมีอาคมเข้มขลังไม่ธรรมดา ท่านจึงสามารถเดินทางรอนแรมจากจังหวัดทางภาคอีสานมาสู่ วัดกาหลง จังหวัดสมุทรสาคร ได้ และแล้ว หลวงพ่อสุด ก็พบกับพระอาจารย์ที่แท้จริงของท่านตามที่พระครูเม้าได้บอกไว้จนได้ พระอาจารย์ท่านนั้นก็คือ “ หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ ” หลวงพ่อรุ่งท่านคือสุดยอดพระเกจิอาจารย์ทหารเสืออินโดจีน หลวงพ่อสุด จึงมอบกายถวายตัวขอเป็นลูกศิษย์ร่ำเรียนวิชาอาคมกับหลวงพ่อรุ่งนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และด้วยที่ วัดกาหลง กับวัดท่ากระบืออยู่ไม่ไกลกัน จึงมีการไปมาหาสู่กันบ่อยๆ หลวงพ่อรุ่งท่านก็เมตตาถ่ายทอดวิทยาคมให้อย่างไม่ปิดบังซ่อนเร้น จนกระทั่ง หลวงพ่อสุด ชำนิชำนาญแตกฉาน จากนั้นหลวงพ่อรุ่งจึงได้แนะนำให้ไปเรียนอาคมเพิ่มเติมกับ “ หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ” จังหวัดสมุทรสงคราม
ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงหลวงพ่อรุ่งสักหน่อย จะได้รู้ว่าพระอาจารย์ของ หลวงพ่อสุด ท่านนี้ไม่ธรรมดา เป็นถึงพระอาจารย์ผู้ทรงเวทวิทยาคมแห่งยุคสมัยสงครามอินโดจีน นั่นจึงทำให้ “ หลวงพ่อสุด ” เก่งไม่แพ้พระอาจารย์ท่านใดในยุคสมัยเดียวกัน
หลวงพ่อรุ่ง คือสุดยอดพระเกจิอาจารย์ผู้มีอาคมขลังอีกท่านหนึ่งแห่งยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านคือสุดยอดพระอาจารย์ผู้มากด้วยปาฏิหาริย์ เป็นระดับปรมาจารย์ด้านเวทมนตร์ ท่านมีอภินิหารเป็นที่เลื่องลือเชื่อถือได้ และ ท่านคือ ๑ ในพระคณาจารย์ผู้ทรงเวทวิทยาคมที่ได้รับคัดเลือกให้เสกพระเครื่องในพิธีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง ๓ พิธี อันได้แก่ พิธีมหาพุทธาภิเษกวัดราชบพิธฯ ปี พ.ศ.๒๔๘๑, พิธีมหาพุทธาภิเษกพระพุทธชินราชอินโดจีน ปี พ.ศ.๒๔๘๕ และ พิธี ๒๕ พุทธศตวรรษ ปี พ.ศ.๒๕๐๐ ว่ากันว่าทั้ง ๓ พิธีนี้ หากพระอาจารย์ท่านใดยังเก่งไม่ถึงขั้นแล้วล่ะก็ จะจับสายสิญจน์ที่โยงไปยังวัตถุมงคลไม่ได้เลย เพราะพลังมนต์ที่ผ่านไปกับสายสิญจน์นั้นจะมีความร้อนดั่งไฟฟ้าแรงสูงกันเลยทีเดียว
หลวงพ่อสุด ท่านสำเร็จวิชาคงกระพันชาตรี ผู้สำเร็จวิชานี้ปีหนึ่งจะสรงน้ำเพียงหนเดียวเมื่อคราวเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น ( ลูกศิษย์ลูกหาขอ ) เหมือนอย่างกับ หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก, หลวงพ่อฟ้อน วัดบ้านพาด, หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม, หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ฯลฯ แต่ก็แปลกที่พระอาจารย์เหล่านี้กลับไม่มีกลิ่นตัวแม้แต่น้อย
หลวงพ่อสุด ท่านมรณภาพดับขันธ์ลงเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๖ ตรงกับวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน เวลา ๑๓.๑๕ น. สิริอายุ ๘๑ ปี ๓ เดือน ๘ วัน พรรษาที่ ๖๑ มีการเก็บร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของท่านไว้ในโลงแก้ว เพื่อให้ประชาชนคนทั่วไปได้กราบไหว้ขอพรเป็นระยะเวลาถึง ๒๐ ปี แล้วจึงมีพิธีพระราชทานเพลิงไปเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๕
วัดอื่นๆ หากพระอาจารย์เจ้าอาวาสที่มรณภาพไปแล้วร่างไม่เน่าเปื่อย ทางวัดก็จะเก็บสังขารของท่านเอาไว้ในโลงแก้วเพื่อเป็นอนุสรณ์ไม่นิยมเผากัน ต่างจากกรณีของ หลวงพ่อสุด เนื่องจากว่าท่าน “ พระครูสมุทรพัฒนาภรณ์ ” หรือ “ พระครูฉลอง ” เจ้าคณะตำบลนาโคก รักษาการเจ้าอาวาส วัดกาหลง ในขณะนั้น ได้ฝันว่า “ หลวงพ่อสุด ” มาเข้าฝัน
หลวงพ่อสุด บอกว่า “ ไม่มีใครสามารถเผาร่างของท่านได้ นอกจากตัวของท่านเอง ”
พระครูฉลองจึงถามว่า “ ถ้าเช่นนั้นจะให้ทำอย่างไร ”
หลวงพ่อสุด ว่า “ ให้เอาดอกไม้มาทำพิธีขอขมา แล้วให้พระครูฉลองเป็นผู้จุดไฟ ท่านจะจับมือเผาเอง ”
ท่านพระครูฉลองจึงได้นำความฝันเข้าประชุมหารือกับบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของ หลวงพ่อสุด แล้วตีความก่อนลงมติว่า “ หลวงพ่อสุด ต้องการให้เผา ” จึงจัดพิธีพระราชทานเพลิงขึ้น ในวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๕ เวลา ๑๖.๐๐ น. การนี้ได้นิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่ของ จังหวัดสมุทรสาคร ให้เป็นประธานจุดไฟ
วัดกาหลง ได้สร้างเมรุลอยขึ้นกลางลานวัด โดยมี คุณสังวร ศรีแสงแย้ม เป็นผู้ควบคุมดูแล เมื่อถึงเวลาประชุมเพลิง ท่านเจ้าคณะจังหวัดได้จุดไฟกับดอกไม้จันทน์ แต่ปรากฏว่าไฟดับลงหน้าตาเฉย แม้จะพยายามสักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ไฟก็ยังไม่ติดอยู่ดี ทั้งๆ ที่ไม่มีลมกรรโชกเข้ามาแต่อย่างใด
ฝ่ายพระครูฉลองเห็นเข้า ก็นึกถึงคำของ หลวงพ่อสุด ที่ได้สั่งการไว้ จึงขออนุญาตท่านเจ้าคณะจังหวัดทำการจุดดอกไม้จันทน์แทน ก็ปรากฏว่าไฟได้ลุกโชติช่วงชัชวาล คุณสังวรผู้ควบคุมการเผา ได้เผาร่าง หลวงพ่อสุด นานนับ ๒ ชั่วโมง แต่ก็ปรากฏว่าไฟเผา หลวงพ่อสุด ได้แค่เพียงผิวหนัง ไม่อาจเผาทำลายกระดูกได้ ซึ่งสภาพของกระดูกของ หลวงพ่อสุด ยังคงสมบูรณ์ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดบุบสลายหายไป ปัจจุบันทางวัดได้นำโครงกระดูกของท่านมาวางเรียงไว้ในโลงแก้ว เพื่อให้สาธุชนคนทั่วไปและลูกศิษย์ลูกหาได้มากราบสักการบูชากัน
คุณสังวรว่า “ ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน คิดว่านี่คือปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อสุด วัดกาหลง อย่างแน่นอน ” พูดเสร็จแกก็ยกมือขึ้นไหว้สูงท่วมหัว ปากบอก “ สาธุๆ ”
และนี่คือข้อพิสูจน์ยืนยันว่าท่านเป็นพระผู้สำเร็จวิชาคงกระพันยันกระดูกอย่างแท้จริง...
และต่อจากนี้ไปคือการเล่าเรื่องของตี๋ใหญ่แบบตรงไปตรงมา เพื่อประกอบเรื่องที่เกี่ยวกับอานุภาพและอภินิหารที่เกิดจากวัตถุมงคลของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อสุด แห่งวัดกาหลง
อนึ่ง ผู้เขียนขอไว้อาลัยต่อการจากไปของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ต้องพลีชีพ เพราะได้ต่อสู้กับแก๊งตี๋ใหญ่ เพื่อพิทักษ์สันติราษฎร์ และเพื่อผดุงความยุติธรรมรักษากฎหมายบ้านเมืองเอาไว้ หากมีตอนหนึ่งตอนใดที่ผู้เขียนได้พลั้งเผลอ หรือได้ล่วงเกินผู้หนึ่งผู้ใดไปแล้วล่ะก็ ผู้เขียนขออภัยมา ณ ที่นี้...
และที่นี่ได้ทำให้ชีวิตของ “ ตี๋ใหญ่ต้องเปลี่ยนไป จากคนขี้อาย สุภาพเรียบร้อย ไม่สู้คนกลับกลายเป็นมหาโจรในตำนาน ผู้มีค่าหัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยในขณะนั้น ทั้งยังเป็นที่ครั่นคร้ามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ” เมื่อตี๋ใหญ่ถูกนักเลงเจ้าถิ่นแถวเทเวศร์รุมกระทืบเอาจนสะบักสะบอม ต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มในเรือที่จอดไว้บริเวณริมคลองมหานาค
เมื่อต้องนอนซมเพราะพิษบาดแผลอยู่นานหลายวันก็เกิดคิดได้ว่า ทำไมตนจึงต้องตกเป็นรองคนอื่นเขาตลอดเวลาในเมื่อก็มีสองมือสองเท้าเท่ากัน ตี๋ใหญ่จึงตัดสินใจแก้แค้นเอาคืน พอสภาพร่างกายพร้อมก็รวบรวมสมัครพรรคพวกตั้งตนเป็นนักเลงก๊กใหม่ แล้วก็ออกตามล่าล้างแค้นเอาคืนคู่อริที่ทำให้เจ็บ ด้วยการใช้ขวานฟันหัวหน้านักเลงเจ้าถิ่นเจียนตายต่อหน้าต่อตาลูกน้องของมัน
นับจากนั้นเป็นต้นมา “ แก๊งตี๋ใหญ่ ” ก็ยกพวกไปปราบพวกนักเลงเจ้าถิ่นกลุ่มอื่นๆ อันได้แก่ นักเลงย่านมหานาค บางขุนพรหม สามเสน วิสุทธิกษัตริย์จนราบคาบ ทำให้บารมีนักเลงของ “ ตี๋ใหญ่ ” เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
และแล้วก็ถึงคราวที่ตี๋ใหญ่ต้องหนีตำรวจเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อต้องดวลมีดหนึ่งต่อหนึ่งอย่างลูกผู้ชายกับขาใหญ่นักเลงโตที่คุมวินรถสองแถวรับจ้าง ตี๋ใหญ่หนังดีโดนแทงไม่เข้าเพราะคาด “ ตะกรุดโทนของหลวงพ่อสุด วัดกาหลง ผู้เป็นพระอาจารย์ ” ส่วนคู่กรณีก็ถูกตี๋ใหญ่แทงเอาอาการล่อแล่ปางตาย ตี๋ใหญ่ จึงต้องหนีคดีมาอยู่ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ตี๋ใหญ่ได้กลับไปอยู่กับ หลวงพ่อสุด ที่วัดกาหลงอีกครั้งหนึ่ง
ต่อมาได้ย้ายไปอาศัยอยู่กับเสี่ยคนหนึ่งที่ท่านฉลอม เสี่ยให้ตี๋ใหญ่คุมซ่องเพื่อกำราบนักเที่ยวราตรีชั้นเลวที่ชอบมั่วเที่ยวฟรี ที่ชอบรังแกทุบตีน้องๆ ตอนนั้นตี๋ใหญ่บอกเพื่อนว่าอยากได้ “ ปืน ” เพื่อนจึงจัด ปืนยี่ห้อโคลท์ ขนาด ๑๑ มม. ให้ พอได้ปืนมาแล้วก็ขะมักเขม้นฝึกซ้อมจนชำนิชำนาญ เรื่องเป้านิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะเป้าเคลื่อนที่ตี๋ใหญ่ยังยิงได้อย่างแม่นยำชนิดจับวาง...
วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๖ ขณะที่ตี๋ใหญ่อายุได้ ๒๑ ปี ก็ออกปล้นบ้านของ “ คุณอดิศักดิ์ ” เศรษฐีดำเนินสะดวกเป็นรายแรก โดยตนกับพวกได้กวาดทรัพย์สินเงินทองของมีค่าไปหลายแสนบาท ตำรวจสภ.อ.ดำเนินสะดวก ใช้เวลาไม่นานก็สืบทราบว่าเป็น “ แก๊งของตี๋ใหญ่ ” แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะหลังจากปล้นเสร็จตี๋ใหญ่กับลูกน้องก็กบดานเงียบ ไร้ร่องรอย
ปลายปี พ.ศ.๒๕๑๗ ตี๋ใหญ่พร้อมพวก ๕ คน ได้พา นางบุญปั่น แก้วจันทร์ดี ทำทีไปเลือกซื้ออัญมณีที่ ร้านแอนนี่จิวเวอรี่ ภายในโรงแรมเอเชีย เมื่อสบโอกาสก็จัดการปล้นโดยใช้เวลาไม่ถึง ๕ นาที โดยกวาดเงินทองและอัญมณีมูลค่านับล้านบาทติดตัวไปด้วย ปล้นเสร็จก็พากันไปที่รถซึ่งจอดเตรียมพร้อมไว้หน้าโรงแรม พอพวกตี๋ใหญ่ออกมาก็พบเข้ากับตำรวจนายหนึ่งที่เพิ่งออกเวรกำลังจะกลับบ้าน
เมื่อทางร้านร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ ด้วยสัญชาตญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทำให้ตำรวจนายนั้นทำการขัดขวางสกัดพวกของตี๋ใหญ่เอาไว้ พวกตี๋ใหญ่เมื่อเห็นตำรวจชักปืนออกมาก็ชักปืนขึ้นยิงสู้ การดวลปืนจึงเกิดขึ้น ตำรวจยิงตี๋ใหญ่ไม่ถูก จึงโดนยิงสวนกลับไปสิ้นชีพทันที
เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๑๘ ตี๋ใหญ่จอมโจรนามกระเดื่องก็สิ้นสภาพเสือร้าย เมื่อตำรวจสายสืบ สน.ภาษีเจริญ แจ้งขอกำลังความว่า “ พบตี๋ใหญ่กับพรรคพวกซ่องสุมกันอยู่ที่บ้านเช่าในสวนแถวบางพลัด ถนนจรัญสนิทวงศ์ ” เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงระดมกำลังกว่าร้อยนายไปล้อมจับ ไม่น่าเชื่อว่าเสือร้ายอย่างตี๋ใหญ่จะยอมให้จับง่ายๆ โดยไม่เสียกระสุนปืนแม้แต่นัดเดียว
การถูกจับของตี๋ใหญ่ในครั้งนั้นมีการขยายผลต่อยอดออกไป จากคดีหนึ่งต่อไปอีกนับสิบคดี “ ตี๋ใหญ่ ” ถูกถ่ายรูปทำประวัติพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นครั้งแรก จากนั้นก็ถูกนำตัวไปฝากขังไว้ที่เรือนจำลาดยาว อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร
และที่นี่ตี๋ใหญ่ก็ถูกกลุ่มนักโทษชายในนั้นหยามเกียรติหมิ่นศักดิ์ศรีเอา เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ตี๋ใหญ่ได้ประกาศต่อหน้าลูกน้องของตนในเวลาต่อมาว่า “ จะไม่ยอมติดคุกอีกอย่างเด็ดขาด ”...
วันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๘ ตี๋ใหญ่กับลูกน้องชื่อ “ เอก ” โดนส่งตัวไปยังจังหวัดเชียงใหม่ตามคำสั่งศาลจังหวัด เนื่องจากโดนตำรวจอายัดตัวไว้ในคดีปล้น “ ร้านทองแสงเจริญ ” ทั้งคู่ถูกใส่กุญแจมือติดกัน ส่วนข้อเท้าก็ถูกตีตรวนอย่างแน่นหนา เดินทางด้วยรถไฟ โดยมีตำรวจ ๒ นาย เป็นผู้คุม
เวลา ๐๒.๐๐ น.กว่าๆ ก็ถึงอำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ตี๋ใหญ่กับลูกน้องทำทีขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ตำรวจอนุญาตแล้วเฝ้าอยู่ด้านนอกโดยเปิดประตูแง้มไว้ ไม่ถึงอึดใจตำรวจทั้งสองก็ได้ยินเสียงกระจกในห้องน้ำแตกดัง “ เพล้ง ” เกือบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ตำรวจทั้งสองรีบเปิดประตูเข้าไปดู ก็ปรากฏว่าเสือร้ายพร้อมลูกสมุนหายตัวไปแล้ว เหลือแต่เศษกระจกที่แตกกระจายกลาดเกลื่อนพื้นไว้ให้ดูต่างหน้า
ตี๋ใหญ่กับลูกน้องทุบกระจกหน้าต่างห้องน้ำรถไฟแล้วกระโดดหนีออกมาอย่างบ้าบิ่น ในขณะที่รถไฟใช้ความเร็วถึง ๙๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีการระดมกำลังตำรวจกว่าร้อยนายออกติดตามไล่ล่า แต่ก็ไร้ผล...
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ หรือเมื่อ ๓๒ ปีก่อน ตอนนั้นผู้เขียนมีอายุ ๑๕ ปี กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.๓ ซึ่งกำลังห้าวเป้ง บิดาผู้เขียนบอกให้เดินทางไปจังหวัดราชบุรี เพื่อไปเยี่ยมปู่เนื่องจากท่านไม่สบายมาก ตอนนั้นผู้เขียนไปคนเดียวเพราะบิดาได้ไปก่อนหน้าแล้ว ผู้เขียนเดินทางด้วยรถประจำทางสายกรุงเทพฯ-ราชบุรี ขึ้นที่สถานีขนส่งสายใต้สามแยกไฟฉาย
วันนั้นผู้เขียนนั่งติดกับ ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ อายุประมาณ ๓๐ กว่าๆ เป็นคนหน้าตาหล่อเหลาเอาการ แกมีผิวขาวเพราะมีเชื้อจีน พูดจาเสียงเหน่อๆ ไว้ผมยาวรากไทร ใส่แว่นตากันแดดยี่ห้อเรย์แบน สวมเสื้อยีนส์สีเข้มปล่อยชายไม่ติดกระดุม ส่วนด้านในก็ใส่เสื้อยืดคอกลมตราห่านคู่สีขาวปล่อยชายเช่นกัน แกนุ่งกางเกงยีนส์ลีวายสีซีด สวมรองเท้าผ้าใบหุ้มส้นสีขาว มีกระเป๋าสะพายหลังแบบทหารวางบนตัก...
![]() |
ล็๋อกเกต หลังตะกรุด หลวงพ่อสุด วัดกาหลง |
ชายฉกรรจ์บอกว่าตนเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดของ หลวงพ่อสุด ว่าแล้วแกก็นำวัตถุมงคลที่ใช้ติดตัวตลอดเวลาแล้วก็เกิดประสบการณ์กับตัวมาอย่างโชกโชนออกมาให้ดู ที่ผู้เขียนเห็นก็มี เหรียญรุ่นเสือเผ่น ปี พ.ศ.๒๕๑๗ หลังยันต์ตะกร้อ กับ ตะกรุดโทน ส่วนที่แผ่นหลังของแกก็สักยันต์รูปตะกร้อ ( ยันต์ที่หลังแกไม่ได้เปิดให้ดู เพียงแต่เล่าให้ฟังเฉยๆ ) แกว่าจะสักเสือเผ่น แต่ หลวงพ่อสุด ท่านไม่ให้ ท่านว่า “ สักเสือเผ่นแล้วมันร้อน จะอยู่กันไม่เป็นสุข ”
![]() |
ตะกรุดโทนคาดเอว หลวงพ่อสุด วัดกาหลง |
ผู้เขียนจึงขอให้แกเล่าเรื่องอภินิหารของ หลวงพ่อสุด ให้ฟังเพื่อเป็นการฆ่าเวลาในระหว่างเดินทาง แกก็ไม่ขัดศรัทธาเล่าให้ฟังยกใหญ่ตั้งหลายเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องแปลก จะเรียก “ ปาฏิหาริย์ ” ก็เรียกได้เพราะไม่เกินจริง ทั้งเรื่องโดนยิงโดนแทงแต่ไม่ระคายผิว หรือเรื่องเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงบนท้องถนนแต่ก็รอดตายมาได้อย่างเหลือเชื่อ หรือเรื่องที่คลาดกับศัตรูจึงไม่โดนทำร้าย เป็นต้น
แต่เรื่องที่สะกดให้ผู้เขียนต้องตั้งหน้าตั้งตาฟังอย่างใจจดจ่อก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของ “ ตี๋ใหญ่ ” ซึ่งนี่ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องฆ่าเวลาขณะเดินทางเสียแล้ว แกว่า “ ตี๋ใหญ่ ” เป็นมหาโจร
หนังดี เป็นคนใจนักเลงรักพวกพ้อง ตี๋ใหญ่หนีการล้อมจับของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาแล้วหลายหน ขนาดโดนตำรวจยิงในระยะประชิดก็ยังไม่ถูกตัว แต่กลับฝ่าวงล้อมออกมาได้แล้วก็หายไปหน้าตาเฉย เรียกได้ว่าลูกปืนของตำรวจไม่ได้กินเลือดของตี๋ใหญ่ก็แล้วกัน เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะ “ ตะกรุดโทนของ หลวงพ่อสุด วัดกาหลง ” ได้ช่วยไว้นั่นเอง
หลวงพ่อสุด วัดกาหลง
![]() |
เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อสุด จ.สมุทรสาคร (รุ่นฟ้าผ่า) พ.ศ.2506 เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง |
พระครูเม้า ท่านรู้ว่า หลวงพ่อสุด เป็นผู้มีบุญวาสนามาเกิด สามารถเรียนพุทธาคมชั้นสูงได้แม้จะยังเป็นเณรก็ตาม ท่านจึงสอนวิชาอาคมที่มีทั้งหมดให้ จึงนับได้ว่า “ พระครูเม้า ” คือพระอาจารย์รูปแรกของ หลวงพ่อสุด เมื่อได้เวลาอันพอสมควรท่านก็แนะนำให้ หลวงพ่อสุด ออกเดินทางเพื่อแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ท่านว่าอีกไม่ช้าก็จะได้พบกับพระอาจารย์ที่แท้จริง นับจากนั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อสุด ก็ออกเดินธุดงค์ไปเรื่อย ทั้งภาคนั้นจังหวัดนี้

หลวงพ่อสุด ต้องมีอาคมเข้มขลังไม่ธรรมดา ท่านจึงสามารถเดินทางรอนแรมจากจังหวัดทางภาคอีสานมาสู่ วัดกาหลง จังหวัดสมุทรสาคร ได้ และแล้ว หลวงพ่อสุด ก็พบกับพระอาจารย์ที่แท้จริงของท่านตามที่พระครูเม้าได้บอกไว้จนได้ พระอาจารย์ท่านนั้นก็คือ “ หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ ” หลวงพ่อรุ่งท่านคือสุดยอดพระเกจิอาจารย์ทหารเสืออินโดจีน หลวงพ่อสุด จึงมอบกายถวายตัวขอเป็นลูกศิษย์ร่ำเรียนวิชาอาคมกับหลวงพ่อรุ่งนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และด้วยที่ วัดกาหลง กับวัดท่ากระบืออยู่ไม่ไกลกัน จึงมีการไปมาหาสู่กันบ่อยๆ หลวงพ่อรุ่งท่านก็เมตตาถ่ายทอดวิทยาคมให้อย่างไม่ปิดบังซ่อนเร้น จนกระทั่ง หลวงพ่อสุด ชำนิชำนาญแตกฉาน จากนั้นหลวงพ่อรุ่งจึงได้แนะนำให้ไปเรียนอาคมเพิ่มเติมกับ “ หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ” จังหวัดสมุทรสงคราม
![]() |
เหรียญรุ่นเสือเผ่น พ.ศ.2517 เนื้อทองแดง บล็อก A |
ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงหลวงพ่อรุ่งสักหน่อย จะได้รู้ว่าพระอาจารย์ของ หลวงพ่อสุด ท่านนี้ไม่ธรรมดา เป็นถึงพระอาจารย์ผู้ทรงเวทวิทยาคมแห่งยุคสมัยสงครามอินโดจีน นั่นจึงทำให้ “ หลวงพ่อสุด ” เก่งไม่แพ้พระอาจารย์ท่านใดในยุคสมัยเดียวกัน
![]() |
เหรียญรุ่นสรงน้ำ อายุ 70 ปี (เจ้าทุย) พ.ศ.2515 เนื้อฝาบาตร |
หลวงพ่อสุด ท่านสำเร็จวิชาคงกระพันชาตรี ผู้สำเร็จวิชานี้ปีหนึ่งจะสรงน้ำเพียงหนเดียวเมื่อคราวเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น ( ลูกศิษย์ลูกหาขอ ) เหมือนอย่างกับ หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก, หลวงพ่อฟ้อน วัดบ้านพาด, หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม, หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ฯลฯ แต่ก็แปลกที่พระอาจารย์เหล่านี้กลับไม่มีกลิ่นตัวแม้แต่น้อย
มรณกาล
![]() |
รูปหล่อจำลองหลวงพ่อสุด วัดกาหลง ปิดทองคำเปลว เหลืองอร่ามทั้งองค์ |
คงกระพันยันกระดูก
และในพิธีนี้ก็ได้เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น เมื่อไฟเผาทำลาย หลวงพ่อสุด ได้เพียงแค่ผิวหนัง แต่สำหรับกระดูกของหลวงพ่อนั้น ไฟไม่อาจเผาให้กลายเป็นผุยผงได้ ทั้งๆ ที่เผานานนับ ๒ ชั่วโมงวัดอื่นๆ หากพระอาจารย์เจ้าอาวาสที่มรณภาพไปแล้วร่างไม่เน่าเปื่อย ทางวัดก็จะเก็บสังขารของท่านเอาไว้ในโลงแก้วเพื่อเป็นอนุสรณ์ไม่นิยมเผากัน ต่างจากกรณีของ หลวงพ่อสุด เนื่องจากว่าท่าน “ พระครูสมุทรพัฒนาภรณ์ ” หรือ “ พระครูฉลอง ” เจ้าคณะตำบลนาโคก รักษาการเจ้าอาวาส วัดกาหลง ในขณะนั้น ได้ฝันว่า “ หลวงพ่อสุด ” มาเข้าฝัน
หลวงพ่อสุด บอกว่า “ ไม่มีใครสามารถเผาร่างของท่านได้ นอกจากตัวของท่านเอง ”
พระครูฉลองจึงถามว่า “ ถ้าเช่นนั้นจะให้ทำอย่างไร ”
หลวงพ่อสุด ว่า “ ให้เอาดอกไม้มาทำพิธีขอขมา แล้วให้พระครูฉลองเป็นผู้จุดไฟ ท่านจะจับมือเผาเอง ”
![]() |
หลวงพ่อสุด วัดกาหลง |
วัดกาหลง ได้สร้างเมรุลอยขึ้นกลางลานวัด โดยมี คุณสังวร ศรีแสงแย้ม เป็นผู้ควบคุมดูแล เมื่อถึงเวลาประชุมเพลิง ท่านเจ้าคณะจังหวัดได้จุดไฟกับดอกไม้จันทน์ แต่ปรากฏว่าไฟดับลงหน้าตาเฉย แม้จะพยายามสักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ไฟก็ยังไม่ติดอยู่ดี ทั้งๆ ที่ไม่มีลมกรรโชกเข้ามาแต่อย่างใด
![]() |
แห่ หลวงพ่อสุดด้วยศรัทธา |
คุณสังวรว่า “ ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน คิดว่านี่คือปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อสุด วัดกาหลง อย่างแน่นอน ” พูดเสร็จแกก็ยกมือขึ้นไหว้สูงท่วมหัว ปากบอก “ สาธุๆ ”
และนี่คือข้อพิสูจน์ยืนยันว่าท่านเป็นพระผู้สำเร็จวิชาคงกระพันยันกระดูกอย่างแท้จริง...
อภินิหารจากตะกรุดโทน
เรื่องที่ทำให้ “ หลวงพ่อสุด ” เป็นที่รู้จักของผู้คนประชาชนทั่วทั้งประเทศ ทั้งยังโด่งดังสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้านปฐพีก็คือ เรื่องของ “ ตี๋ใหญ่ ” ที่เนื้อหนังเป็นคงกระพัน ปืนยิงไม่โดน หรือยิงโดนแต่ไม่เข้า อีกทั้งยังมีคนลือว่าตี๋ใหญ่หายตัวได้ ก็เพราะตี๋ใหญ่คาด ตะกรุดโทนของหลวงพ่อสุดและต่อจากนี้ไปคือการเล่าเรื่องของตี๋ใหญ่แบบตรงไปตรงมา เพื่อประกอบเรื่องที่เกี่ยวกับอานุภาพและอภินิหารที่เกิดจากวัตถุมงคลของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อสุด แห่งวัดกาหลง
อนึ่ง ผู้เขียนขอไว้อาลัยต่อการจากไปของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ต้องพลีชีพ เพราะได้ต่อสู้กับแก๊งตี๋ใหญ่ เพื่อพิทักษ์สันติราษฎร์ และเพื่อผดุงความยุติธรรมรักษากฎหมายบ้านเมืองเอาไว้ หากมีตอนหนึ่งตอนใดที่ผู้เขียนได้พลั้งเผลอ หรือได้ล่วงเกินผู้หนึ่งผู้ใดไปแล้วล่ะก็ ผู้เขียนขออภัยมา ณ ที่นี้...
ตี๋ใหญ่
“ ตี๋ใหญ่ ” ชื่อจริงคือ นายกรประเสริฐ ช่างเขียน เป็นลูกครึ่งเชื้อสายไทยจีน เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๕ ตำบลคลองไผ่ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี มีพี่น้อง ๗ คน ตนเป็นพี่ชายคนโต ทางบ้านมีฐานะยากจน โดยครอบครัวประกอบอาชีพทำสวนผักผลไม้ ตี๋ใหญ่สมัยเป็นเด็กมีนิสัยขี้อาย สุภาพเรียบร้อย และไม่สู้คน เรียนได้แค่ชั้น ป.๔ ก็ต้องออกเรียนเพื่อมาช่วยพ่อ-แม่ทำงาน พออายุได้ ๑๗ ปี ก็ล่องเรือเอาแตงโมจากสวนมาขายในกรุงเทพมหานคร แถวๆ “ ตลาดมหานาค ”![]() |
กลุ่มลูกศิษย์ ช่างภาพ แลนักข่าว น.ส.พ.จีน |
![]() |
กลุ่มลูกศิษย์รับเหรียญจากหลวงพ่อ |
เมื่อต้องนอนซมเพราะพิษบาดแผลอยู่นานหลายวันก็เกิดคิดได้ว่า ทำไมตนจึงต้องตกเป็นรองคนอื่นเขาตลอดเวลาในเมื่อก็มีสองมือสองเท้าเท่ากัน ตี๋ใหญ่จึงตัดสินใจแก้แค้นเอาคืน พอสภาพร่างกายพร้อมก็รวบรวมสมัครพรรคพวกตั้งตนเป็นนักเลงก๊กใหม่ แล้วก็ออกตามล่าล้างแค้นเอาคืนคู่อริที่ทำให้เจ็บ ด้วยการใช้ขวานฟันหัวหน้านักเลงเจ้าถิ่นเจียนตายต่อหน้าต่อตาลูกน้องของมัน
นับจากนั้นเป็นต้นมา “ แก๊งตี๋ใหญ่ ” ก็ยกพวกไปปราบพวกนักเลงเจ้าถิ่นกลุ่มอื่นๆ อันได้แก่ นักเลงย่านมหานาค บางขุนพรหม สามเสน วิสุทธิกษัตริย์จนราบคาบ ทำให้บารมีนักเลงของ “ ตี๋ใหญ่ ” เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
![]() |
ภายในศาลาซึ่งประดิษฐานสรีระหลวงพ่อสุด วัดกาหลง ไฟไม่ไหม้ ฮือฮาไปทั่วประเทศ |
ต่อมาได้ย้ายไปอาศัยอยู่กับเสี่ยคนหนึ่งที่ท่านฉลอม เสี่ยให้ตี๋ใหญ่คุมซ่องเพื่อกำราบนักเที่ยวราตรีชั้นเลวที่ชอบมั่วเที่ยวฟรี ที่ชอบรังแกทุบตีน้องๆ ตอนนั้นตี๋ใหญ่บอกเพื่อนว่าอยากได้ “ ปืน ” เพื่อนจึงจัด ปืนยี่ห้อโคลท์ ขนาด ๑๑ มม. ให้ พอได้ปืนมาแล้วก็ขะมักเขม้นฝึกซ้อมจนชำนิชำนาญ เรื่องเป้านิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะเป้าเคลื่อนที่ตี๋ใหญ่ยังยิงได้อย่างแม่นยำชนิดจับวาง...
วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๖ ขณะที่ตี๋ใหญ่อายุได้ ๒๑ ปี ก็ออกปล้นบ้านของ “ คุณอดิศักดิ์ ” เศรษฐีดำเนินสะดวกเป็นรายแรก โดยตนกับพวกได้กวาดทรัพย์สินเงินทองของมีค่าไปหลายแสนบาท ตำรวจสภ.อ.ดำเนินสะดวก ใช้เวลาไม่นานก็สืบทราบว่าเป็น “ แก๊งของตี๋ใหญ่ ” แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะหลังจากปล้นเสร็จตี๋ใหญ่กับลูกน้องก็กบดานเงียบ ไร้ร่องรอย
![]() |
คุณวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ลูกศิษย์รดน้ำศพหลวงพ่อสุด |
เมื่อทางร้านร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ ด้วยสัญชาตญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทำให้ตำรวจนายนั้นทำการขัดขวางสกัดพวกของตี๋ใหญ่เอาไว้ พวกตี๋ใหญ่เมื่อเห็นตำรวจชักปืนออกมาก็ชักปืนขึ้นยิงสู้ การดวลปืนจึงเกิดขึ้น ตำรวจยิงตี๋ใหญ่ไม่ถูก จึงโดนยิงสวนกลับไปสิ้นชีพทันที
เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๑๘ ตี๋ใหญ่จอมโจรนามกระเดื่องก็สิ้นสภาพเสือร้าย เมื่อตำรวจสายสืบ สน.ภาษีเจริญ แจ้งขอกำลังความว่า “ พบตี๋ใหญ่กับพรรคพวกซ่องสุมกันอยู่ที่บ้านเช่าในสวนแถวบางพลัด ถนนจรัญสนิทวงศ์ ” เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงระดมกำลังกว่าร้อยนายไปล้อมจับ ไม่น่าเชื่อว่าเสือร้ายอย่างตี๋ใหญ่จะยอมให้จับง่ายๆ โดยไม่เสียกระสุนปืนแม้แต่นัดเดียว
การถูกจับของตี๋ใหญ่ในครั้งนั้นมีการขยายผลต่อยอดออกไป จากคดีหนึ่งต่อไปอีกนับสิบคดี “ ตี๋ใหญ่ ” ถูกถ่ายรูปทำประวัติพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นครั้งแรก จากนั้นก็ถูกนำตัวไปฝากขังไว้ที่เรือนจำลาดยาว อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร
และที่นี่ตี๋ใหญ่ก็ถูกกลุ่มนักโทษชายในนั้นหยามเกียรติหมิ่นศักดิ์ศรีเอา เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ตี๋ใหญ่ได้ประกาศต่อหน้าลูกน้องของตนในเวลาต่อมาว่า “ จะไม่ยอมติดคุกอีกอย่างเด็ดขาด ”...
วันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๘ ตี๋ใหญ่กับลูกน้องชื่อ “ เอก ” โดนส่งตัวไปยังจังหวัดเชียงใหม่ตามคำสั่งศาลจังหวัด เนื่องจากโดนตำรวจอายัดตัวไว้ในคดีปล้น “ ร้านทองแสงเจริญ ” ทั้งคู่ถูกใส่กุญแจมือติดกัน ส่วนข้อเท้าก็ถูกตีตรวนอย่างแน่นหนา เดินทางด้วยรถไฟ โดยมีตำรวจ ๒ นาย เป็นผู้คุม
เวลา ๐๒.๐๐ น.กว่าๆ ก็ถึงอำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ตี๋ใหญ่กับลูกน้องทำทีขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ตำรวจอนุญาตแล้วเฝ้าอยู่ด้านนอกโดยเปิดประตูแง้มไว้ ไม่ถึงอึดใจตำรวจทั้งสองก็ได้ยินเสียงกระจกในห้องน้ำแตกดัง “ เพล้ง ” เกือบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ตำรวจทั้งสองรีบเปิดประตูเข้าไปดู ก็ปรากฏว่าเสือร้ายพร้อมลูกสมุนหายตัวไปแล้ว เหลือแต่เศษกระจกที่แตกกระจายกลาดเกลื่อนพื้นไว้ให้ดูต่างหน้า
ตี๋ใหญ่กับลูกน้องทุบกระจกหน้าต่างห้องน้ำรถไฟแล้วกระโดดหนีออกมาอย่างบ้าบิ่น ในขณะที่รถไฟใช้ความเร็วถึง ๙๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีการระดมกำลังตำรวจกว่าร้อยนายออกติดตามไล่ล่า แต่ก็ไร้ผล...
( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1199 อภินิหาร พระสมุทรธรรมสุนทร ( หลวงพ่อสุด ) วัดกาหลง จังหวัดสมุทรสาคร ปักษ์หลัง เดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 ราคาปก 60 บาท )