พระเครื่องวัดท้ายตลาด “ วัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร ”

ภาพและเรื่องโดย ทวน ทวาราวดี

พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์พระสังกัจจายน์
วัดโมลีโลกยาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร เดิมเป็นวัดราษฎร์ สร้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 2 หลังพระราชวังเดิมครั้งกรุงธนบุรี ริมคลองบางกอกใหญ่ ( คลองบางหลวง ) ฝั่งเหนือ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพ มหานคร

วัดนี้เป็นวัดโบราณ สร้างมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ไม่ปรากฏว่าสร้างเมื่อพุทธศักราชเท่าใด และใครเป็นผู้สร้าง มีชื่อเรียกทั่วไปว่า “ วัดท้ายตลาด ” มาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา จนถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน เนื่องจากตั้งอยู่ต่อจากตลาดเมืองกรุงธนบุรี คำว่า ตลาดเมืองธนบุรี นั้น ผู้เขียนสันนิษฐานว่า เดิมแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ได้ตัดเป็นเส้นตรงอย่างเช่นทุกวันนี้ ช่วงระหว่างปากคลองตลาดบางกอกน้อย บริเวณโรงพยาบาลศิริราชถึงบริเวณท่าเตียนนั้นเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ขุดขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 13 ( พ.ศ.2077-2089 ) แห่งกรุงศรีอยุธยา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสัญจรทางน้ำ การสงคราม การค้าขายทั้งในและนอกราชอาณาจักร เป็นต้น

 พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์ปรกโพธิ์ใหญ่

พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์ปรกโพธิ์เล็ก
สำหรับแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิมในช่วงบางกอกนั้นเป็นสายที่คดเคี้ยว เมื่อไหลเข้าสู่บางกอกจะไหลวกเข้าสู่คลองบางกอกน้อยเชื่อมต่อคลองบางกอกใหญ่ ไหลมาออกที่ปากน้ำบริเวณหน้าวัดท้ายตลาดกับบริเวณข้างวัดกัลยาณมิตร ทำให้เสียเวลาในการเดินทางเรือ จึงโปรดฯให้ขุดคลองลัดบางกอกดังที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งบริเวณเหล่านี้ในสมัยนั้นเป็นตลาดน้ำขนาดใหญ่ ที่มีเรือสินค้าทุกประเภทจอดเรียงรายเพื่อค้าขายสินค้าทุกชนิดเต็มไปหมด ซึ่งได้แก่บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่และปากคลองตลาดทุกวันนี้ วัดนี้จึงเรียกว่า “ วัดท้ายตลาด ” พระอารามนี้มีความสำคัญต่อประเทศชาติและพระราชวงศ์อย่างยิ่ง

หลังสถาปนากรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรเป็นราชธานีแห่งใหม่ของสยามประเทศแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเห็นว่าบริเวณเขตพระราชวังมีความคับแคบ เนื่องจากมีวัดขนาบอยู่ทั้งสองด้าน จึงทรงรวมเขตพื้นที่ของวัดทั้ง 2 คือ วัดท้ายตลาด กับ วัดแจ้ง ( วัดอรุณราชวราราม ) เข้าเป็นเขตพระราชวัง จึงเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์อยู่ประจำตลอดสมัยกรุงธนบุรี วัดท้ายตลาด และวัดแจ้งจึงนับเป็นพระอารามในเขตพระราชวังเหมือนสมัยกรุงศรีอยุธยา

เมื่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงย้ายเมืองหลวงมาตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับที่ตั้งของกรุงธนบุรี คือ พระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน โปรดฯให้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร หรือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามและสร้างเสนาสนะสงฆ์ขึ้นใหม่ จึงนับได้ว่า วัดนี้เป็นพระอารามหลวงมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1

ในการนี้โปรดฯให้สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี หรือ สมเด็จกรมพระอมริน ทรามาตย์ ( นาก ) พระอัครมเหสีสร้างพระอุโบสถขนาดกลาง ทรงไทยยุคต้นกรุงรัตน โกสินทร์ มีลักษณะวิจิตรงดงาม เมื่อสร้างและบูรณะเสนาสนะเสร็จแล้ว โปรดฯให้พระสงฆ์มาอยู่จำพรรษาทั้ง วัดท้ายตลาด และวัดแจ้ง ทรงตั้ง พระมหาศรี เปรียญเอก วัดราชสิทธาราม ( วัดพลับ ) เป็น พระเทพโมลี พร้อมคณะพระอันดับมาครอง วัดท้ายตลาด นับเป็นปฐมเจ้าอาวาสในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ภายหลังท่านได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น พระพุทธโฆษาจารย์ และทรงตั้งให้พระปลัด สมเด็จพระสังฆราช ( ศรี ) วัดบางหว้าใหญ่ ( วัดระฆังโฆสิตาราม ) เป็น พระโพธิวงศาจารย์ ให้ พระครูเมธังกร วัดบางหว้าใหญ่ เป็น พระศรีสมโพธิ โปรดฯให้พระราชาคณะทั้งสองมาครองวัดแจ้ง


พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์สมาธิ บัวสองชั้น
พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์สมาธิกนกข้าง
สมัยรัชกาลที่ 2 ทรงขนานนามวัดใหม่ว่า “ วัดพุทไธสวรรย์ ” หรือ “ วัดพุทไธสวรร ยาวาศวรวิหาร ” ทรงเจริญพระราชศรัทธาในอดีตเจ้าอาวาสวัดนี้คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ขุน ) เนื่องจากสมัยนั้นสถานศึกษาวิชาการอยู่ตามวัด โปรดฯให้พระราชโอรสหลายพระองค์เสด็จมาทรงพระอักษรกับเจ้าประคุณสมเด็จรูปนี้ ทั้งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น นอกจากนั้น เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ขุน ) เมื่อดำรงสมณศักดิ์ที่ พระพุทธโฆษาจารย์ ได้เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อผนวชอีกด้วย ดังบันทึกไว้ในพงศาวดารว่า
 “พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ครั้งยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ 1 ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ พระญาณสังวรเถร ( สุก ) เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ พระพุทธโฆษาจารย์ ( ขุน ) วัดโมลีโลกยาราม เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ ”

สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงมีพระราชศรัทธาปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งพระอารามให้บริบูรณ์งดงามยิ่งขึ้นกว่าเก่า สิ้นพระราชทรัพย์ห้าร้อยเก้าสิบหกชั่งแปดตำลึง ทรงขนานนามวัดใหม่ว่า “ วัดโมลีโลกย์สุธารามอาวาศวรวิหาร พระอารามหลวง ” เรียกสั้นๆ ว่า “ วัดโมลีโลกย์ สุธาราม ” ซึ่งต่อมาเรียกว่า วัดโมลีโลกยาราม


พระปรเมศ ประดิษฐานในพระวิหาร
ในรัชกาลนี้ทรงพระราชทานสถาปนา พระพุทธโฆษาจารย์  ( ขุน ) ผู้เป็นพระอาจารย์ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชาคณะที่ “ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ” และถึงมรณภาพในรัชกาลนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯให้หล่อรูป สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ขุน ) คราวเดียวกับหล่อรูปของ พระญาณสังวรเถร ( สุก ) ซึ่งต่อมาได้รับพระ ราชทานสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ผู้เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ไว้ในหอพระเจ้า ( หอสมเด็จวัดโมลีโลกย์ ) เมื่อปีเถาะ พุทธศักราช 2386 เพื่อเป็นที่ทรงสักการบูชาเวลาเสด็จมาทอดผ้าพระกฐิน

มีประวัติเนื่องในพระราชวงศ์อีกอย่างหนึ่ง เมื่อรัชกาลที่ 3 ครองราชสมบัติแล้ว สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี หรือ กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระบรมราชชนนีพระพันปีหลวง ( เจ้าฟ้าบุญรอด พ.ศ.2310-2379 ) พระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงเป็นพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อสิ้นรัชกาลที่ 2 จึงเสด็จออกไปประทับอยู่กับ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชโอรสพระ องค์น้อยที่พระราชวังเดิม เมื่อรื้อตำหนักไม้ในพระบรมมหาราชวังเปลี่ยนสร้างเป็นพระตำหนักตึก พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้รื้อพระตำหนักแดง ซึ่งสมเด็จพระบรมราชินีพระองค์นั้นเคยประทับไปสร้างถวายที่พระราชวังเดิมทั้งหมู่ ครั้นสมเด็จพระราชินีพระองค์นั้นสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้รื้อพระตำหนักแดงที่พระราชมารดาเสด็จประทับไปสร้างถวายเป็นกุฏิเจ้าอาวาส วัดโมลีโลกย์

พระประธานในพระอุโบสถ
“พระพุทธโมลีโลกนาถ”
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่า พระตำหนักแดงหลังนั้นควรจะอยู่ที่วัดเขมาภิรตาราม เนื่องจากเป็นวัดที่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีพระราชมารดาของพระองค์ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ จึงโปรดฯให้กระทำผาติกรรมย้ายพระตำหนักแดงหลังนั้นไปสร้างเป็นกุฏิเจ้าอาวาสวัดเขมาภิรตาราม และทรงสร้างกุฏิตึกพระราชทานเจ้าอาวาส วัดโมลีโลกย์ แทนพระตำหนักแดง ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ทั้ง 2 แห่ง นอกจากนั้นได้ทรงปฏิสังขรณ์โบราณสถาน โบราณวัตถุ และปูชนียวัตถุอื่นๆ ใน วัดโมลีโลกย์ ตลอดทั้งพระอารามอีกครั้งหนึ่ง ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ พระองค์ได้ทรงบูรณะพระอุโบสถโดยพระราชทานตราไอยราพรต ซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดินสมัยนั้นประดิษฐานไว้ที่หน้าบันพระอุโบสถด้วย

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบูรณะหอพระไตรปิฎก ตรงกับสมัย พระธรรมเจดีย์ (อยู่) เป็นเจ้าอาวาส และเสด็จพระราชดำเนินมาทอดผ้าพระกฐิน พ.ศ.2418

การบูรณปฏิสังขรณ์นอกจากที่กล่าวมาแล้วในยุคก่อน ก็น่าจะมีเจ้าอาวาสหรือผู้หนึ่งผู้ใดได้ปฏิสังขรณ์บ้าง แต่ไม่มีหลักฐานปรากฏ เพิ่งมาปรากฏในยุค พระสนิทสมณคุณ ( เงิน ) อดีตเจ้าอาวาสลำดับที่ 8 ได้จัดการปฏิสังขรณ์เสนาสนะให้ดีขึ้นหลายแห่ง แต่ยังไม่ทันสมบูรณ์ก็ถึงมรณภาพ ครั้งถึงยุค พระประสิทธิคุณ ( จ้อย ) อดีตเจ้าอาวาสลำดับที่ 9 ก็ได้มีการปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุสำคัญขึ้นอีกหลายอย่าง เช่น เสนาสนะสงฆ์ พระประธาน ถนนหน้าวัด เป็นต้น พระรัตนมุนี อดีตเจ้าอาวาสลำดับที่ 11 ได้สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเพื่อขยายงานการศาสนศึกษา และเสนาสนะสงฆ์ อีกทั้งบูรณะพระอุโบสถ ในยุคของ พระพรหมกวี (วรวิทย์) อดีตเจ้าอาวาสลำดับที่ 12 โดยเฉพาะเสนาสนะสงฆ์ เขตพุทธาวาส เพื่อรองรับพระภิกษุ-สามเณรที่เข้ามาอยู่เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมมากขึ้น และริเริ่มการก่อสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ “ อาคารโมลีปริยัตยากร ” เพื่อใช้เป็นที่ศึกษาทั้งปริยัติและปฏิบัติและบำเพ็ญกุศล แต่ยังไม่แล้วเสร็จก็มรณภาพ


พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์ปางนาคปรกใหญ่
พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์มารวิชัย ข้างเส้นลวด
ต่อมา พระราชปริยัติโมลี เจ้าอาวาสลำดับที่ 13 ได้บูรณะพระอารามเพิ่มเติม คือ หอพระไตรปิฎกรัชกาลที่ 3 ก่อสร้างอาคารโมลีปริยัตยากรเฉลิมพระเกียรติ และมีโครงการสร้างอาคารโรงเรียนพระปริยัติธรรม บูรณะกุฏิเจ้าอาวาส ที่รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างถวายอดีตเจ้าอาวาส หอระฆัง เขตพุทธาวาส และปรับภูมิทัศน์ทั้งพระอาราม

ลำดับเจ้าอาวาส
พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์มารวิชัย ข้างเม็ด
เจ้าอาวาสพระอารามนี้ เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยายังไม่สามารถสืบค้นได้ เมื่อถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ นับแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ได้มีเจ้าอาวาสครองวัดจำนวน 12 รูป มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
1. สมเด็จพระราชาคณะ 2 รูป
2. พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ( รองสมเด็จพระราชาคณะ ) 2 รูป
3. พระราชาคณะชั้นธรรม 2 รูป
4. พระราชาคณะชั้นเทพ 1 รูป
5. พระราชาคณะชั้นสามัญ 6 รูป
6. พระครูสัญญาบัตร 1 รูป
7. มีพิเศษอีก 1 รูป คือ พระราชานุพัทธมุนี ( ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร ) อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 6 ที่ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ “สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์” เมื่อไปครองวัดระฆังโฆสิตาราม เป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 8

มีรายนามและประวัติย่อพอสืบค้นได้ ดังนี้
พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์สมาธิชะลูด
1. พระพุทธโฆษาจารย์ ( ศรีเปรียญเอก )  28 ปี, พ.ศ.2325-2352 )
ชาติภูมิไม่ปรากฏ เดิมพระมหาศรี เปรียญเอก อยู่วัดพลับ  (วัดราชสิทธาราม ) ซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียงในฝ่ายวิปัสสนามาแต่เดิม เมื่อรัชกาลที่ 1 โปรดฯให้พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าฉิม กรมหลวงอิศรสุนทร ( รัชกาลที่ 2 ) ทรงบูรณะ วัดท้ายตลาด ( วัดโมลีโลกยาราม ) แล้ว ทรงตั้งเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ “ พระเทพโมลี ” แล้วโปรดฯให้ย้ายมาครองพระอารามนี้ ภายหลังได้พระราชทานสถาปนาเป็นที่ “ พระพุทธโฆษาจารย์ ”

2. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ขุน ) ( 22 ปี, พ.ศ.2353-2374 )
ชาติภูมิไม่ปรากฏ ลำดับสมณศักดิ์แต่เดิมไม่ทราบได้ ทราบแต่ว่าได้รับสถาปนาเป็นที่ “ พระพุทธโฆษาจารย์ ” ในสมัยรัชกาลที่ 2 ต่อมารัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ “ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ” เพราะเป็นพระอาจารย์ถวายพระอักษรในเบื้องต้นแด่พระเจ้าแผ่นดินถึง 2 รัชกาล คือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงผนวช กอปรทั้งเจ้าประคุณสมเด็จเป็นผู้มีความรู้ความสามารถทุกด้าน และมีปฏิปทาเป็นที่น่าเลื่อมใสของพระเจ้าแผ่นดินและประชาชนทั้งปวง ดังนั้น เมื่อมรณภาพแล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯให้หล่อรูปไว้ในหอพระเจ้า ( หอสมเด็จ ) เสมอกันกับพระรูปสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร ( สุก ) ซึ่งเป็นพระอุปัธยาจารย์ เพื่อเป็นที่ทรงสักการบูชาเวลาเสด็จพระราชดำเนินถวาย
ผ้าพระกฐิน


พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์นาคปรกเล็ก
3. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ฉิม ป.ธ.9 ) ( 19 ปี, พ.ศ.2375-2393 )
ชาติภูมิเป็นชาวบ้านบางจาน จังหวัดเพชรบุรี เกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 ณ วันพฤหัสบดี เดือน 8 ขึ้น 15 ค่ำ ปีเถาะ จุลศักราช 1145 ตรงกับพุทธศักราช 2326 อุปสมบทที่จังหวัดเพชรบุรี แล้วมาเรียนพระปริยัติธรรมอยู่ที่วัดพระเชตุพนฯ พระนคร ถึงรัชกาลที่ 2 สอบได้เปรียญ 9 ประโยค ได้รับพระราชทานตั้งเป็นพระราชาคณะที่ “ พระรัตนมุนี ” อยู่วัดพระเชตุพนฯ ถึงรัชกาลที่ 3 เมื่อปีจอ พ.ศ.2369 ได้รับการทรงตั้งเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ “ พระเทพโมลี ” ต่อมาถึงปีมะโรง พ.ศ.2375 ตรงกับวันศุกร์ เดือน 4 ขึ้น 11 ค่ำ ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นที่ “ พระพุทธโฆษาจารย์ ” แล้วโปรดฯให้อาราธนามาครองวัดโมลีโลกย์


พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์พระสังกัจจายน์
4. พระธรรมไตรโลก ( รอด ป.ธ.4 ) ( 16 ปี, พ.ศ.2394-2409 )
ประวัติเดิมไม่สามารถจะสืบได้ ปรากฏแต่ว่า เมื่อในรัชกาลที่ 3 เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ “ พระกระวีวงศ์ ” อยู่วัดโมลีโลกย์สุธาราม ต่อมาได้เลื่อนเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ “ พระเทพกระวี ” ถึงรัชกาลที่ 4 เมื่อปีกุน พ.ศ.2394 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่ “ พระธรรมไตรโลก ” ซึ่งเป็นปีที่พระพุทธโฆษาจารย์ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ท่านครอง วัดโมลีโลกย์ ต่อจากเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ผู้เป็นพระอาจารย์สอนบาลี และต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดฯให้ไปครองวัดมหาธาตุ ท่านถึงมรณภาพในรัชกาลที่ 4 เมื่อราวปีขาล พ.ศ.2409

5. พระธรรมเจดีย์ ( อยู่ ป.ธ.4 ) ( 20 ปี, พ.ศ.2410-2429 )
เกิดในรัชกาลที่ 2 เมื่อปีกุน จุลศักราช 1177 ตรงกับพุทธศักราช 2358 ชาติภูมิเป็นชาวเมืองแกลง จังหวัดระยอง สมัยรัชกาลที่ 3 อุปสมบทแล้วได้เข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรมในพระนคร ในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ฉิม ) วัดโมลีโลกย์ และได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมได้เปรียญ 4 ประโยค เป็นพระสงฆ์ที่เก่งภาษาบาลีมากรูปหนึ่ง เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าอยู่หัว เป็นศิษย์เอกของเจ้าประคุณสมเด็จรูปหนึ่ง


พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์สมาธิแหวกม่านข้างเม็ด
พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์ปิดตาขัดสมาธิราบ
มีคำเล่ากันว่า เมื่อตอนปลายรัชกาลที่ 3 เปรียญที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดปรานมากมี 4 รูปด้วยกัน เรียกนามเป็นคำคล้องจองกันว่า “ ชา ชู อยู่ เย็น ”

พระมหาชา เป็นเปรียญ 8 ประโยค อยู่วัดมหาธาตุลาสิกขาออกมารับราชการ ในรัชกาลที่ 4 ได้เป็นนายหัสบำเรอหุ้มแพร ถึงรัชกาลที่ 5 ได้รับพระราชทานฐานันดรศักดิ์ คือ หลวงศรีสังขกร พระพิพากษานานาประเทศกิจ พระยาจ่าแสนบดี และพระยาพฤฒาธิบดี ในกระทรวงมหาดไทย

พระมหาชู เป็นเปรียญ 8 ประโยค อยู่ วัดโมลีโลกย์ ได้เป็นพระราชาคณะที่ “ พระนิกรมมุนี ” แล้วไปอยู่วัดนาคกลาง ลาสิกขาออกมารับราชการในรัชกาลที่ 4 ได้เป็นหลวงราชาภิรมย์ในกรมราชบัณฑิต ชำนาญเทศน์มหาชาติมากหาผู้เสมอมิได้ โปรดฯให้เป็นพระอาจารย์หัดพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวถวายเทศน์มหาชาติเมื่อทรงผนวชเป็นสามเณร ต่อมาก็ได้หัดพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์อื่นอีกหลายพระองค์ ในรัชกาลที่ 5 โปรดฯให้เป็นตำแหน่งหลวงอัธยา ในกรมลูกขุน ณ ศาลหลวง แล้วได้เลื่อนเป็นพระราชครูพิราม


พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์ปางปาลิไลยก์ใหญ่
พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์ปางปาลิไลยก์เล็ก
พระมหาเย็น เป็นเปรียญ 8 ประโยค อยู่วัดมหาธาตุ ลาสิกขาในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เป็นจางวางในสมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5 โปรดฯให้เป็นหลวงอัธยา แล้วได้เลื่อนเป็นหลวงเทพราชธาดาในกรมลูกขุน ณ ศาลหลวง

ส่วน พระมหาอยู่ นั้น เมื่อรัชกาลที่ 4 โปรดฯพระราชทานสถาปนาให้พระพุทธโฆษาจารย์ ( ฉิม ) เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ไปครองวัดมหาธาตุ ก็ตามไปอยู่ด้วยจนเจ้าประคุณสมเด็จมรณภาพแล้ว จึงกลับมาอยู่ วัดโมลีโลกย์ ต่อมาได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ “ พระอมรเมธาจารย์ ” เมื่อปีฉลู พ.ศ.2408 และโปรดฯให้อาราธนาไปครองวัดนาคกลาง ต่อมาถึงปีเถาะ พ.ศ.2410 เจ้าอาวาส วัดโมลีโลกย์ ว่างลง ( พระธรรมไตรโลก ( รอด ) มรณภาพ ) จึงโปรดฯให้อาราธนากลับไปครองวัดโมลีโลกย์ถึงรัชกาลที่ 5 ทรงตั้งเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ “ พระเทพมุนี ” เมื่อปีเถาะ พ.ศ.2422 แล้วโปรดฯให้เลื่อนเป็น “ พระธรรมเจดีย์ ” เมื่อปีมะเส็ง พ.ศ.2424 ถึงมรณภาพด้วยอหิวาตกโรครัชกาลที่ 5 เมื่อวันอังคาร เดือน 6 ขึ้น 2 ค่ำ อัฐศก เวลาบ่ายสี่โมงเศษ ปีจอ พ.ศ.2429 สิริรวมอายุ 72 ปี

6. พระราชานุพัทธมุนี ( ม.ร.ว. เจริญ อิศรางกูร, ป.5 ) ( 7 ปี, พ.ศ.2430-2436 )
พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์ปางถวายเนตร บัวสองชั้น
เป็นบุตรหม่อมเจ้าถึกในสมเด็จพระประพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ เกิดที่บ้านบางอ้อ จังหวัดนครนายก เพราะบิดาไปตั้งบ้านเรือนอยู่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อวันจันทร์ เดือน 9 แรม 12 ค่ำ ปีมะเส็ง จุลศักราช 1219 ตรงกับพุทธศักราช 2400 ได้ย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯกับบิดาแต่ยังเยาว์วัย ได้เรียนอักษรสมัยในสำนักบิดา แล้วเริ่มเรียนภาษาบาลีในสำนักอาจารย์จีน พออายุได้ 7 ขวบ บิดาพาไปถวายตัวเป็นลูกศิษย์ หม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( ทัต ) แต่ยังเป็นเปรียญอยู่วัดระฆังโฆสิตาราม ( วัดบางหว้าใหญ่ ) ได้เรียนพระปริยัติธรรมในสำนักหม่อมเจ้า สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( ทัต ) และ พระ อมรเมธาจารย์ ( เกษ ) แต่เมื่อยังเป็นเปรียญ หม่อมเจ้าชุมแสง ผู้เป็นลุง และ พระโหราธิบดี ( ชุม ) ทั้ง 4 นี้เป็นพื้น นอกจากนั้นได้เรียนกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) บ้าง สมเด็จพระวันรัต ( แดง ) บ้าง และอาจารย์อื่นๆ อีกมากมาย

สมัยรัชกาลที่ 5 ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อปีมะเมีย พ.ศ.2413 ในปีนั้นเอง สามเณรเจริญเข้าแปลพระปริยัติธรรมที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทได้เป็นเปรียญ 3 ประโยค แต่อายุ 14 ปี ถึงปีชวด พ.ศ.2419 ยังเป็นสามเณร ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมเป็นครั้งที่ 2 ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ แปลได้อีกประโยค 1 รวมเป็น 4 ประโยค

ถึงปีขาล พ.ศ.2412 อายุครบอุปสมบท ทรงพระกรุณาโปรดฯให้อุปสมบทเป็นนาคหลวงในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีหม่อมเจ้า สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( ทัต ) เมื่อยังดำรงสมณศักดิ์เป็นหม่อมเจ้าพระพุทธุปบาทปิลันทน์ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออุปสมบทแล้วได้ฉายาว่า ญาณฉนฺโท ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมาอีกครั้งหนึ่งที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์เป็นครั้งที่ 3 เมื่อปีมะเมีย พ.ศ.2425 แปลได้อีก 1 ประโยค รวมเป็นเปรียญ 5 ประโยค


พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์อุ้มบาตร
 ถึงปีกุน พ.ศ.2430 เมื่อวันศุกร์ เดือน 6 ขึ้น 15 ค่ำ ได้รับพระราชทานตั้งเป็นพระราชาคณะ มีพระราชทินนามเป็นพิเศษว่า “ พระราชานุพัทธมุนี ” โปรดฯให้อาราธนาไปครอง วัดโมลีโลกย์ เดิมได้รับพระราชทานตาลปัตรแฉกหักทองขวางอย่างพระราชาคณะสามัญ ต่อมาถึงปีมะโรง พ.ศ.2436 เมื่อหม่อมเจ้าพระพุทธุปบาทปิลันทน์ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระธรรมเจดีย์ไปครองวัดพระเชตุพนฯแล้ว จึงโปรดฯให้อาราธนากลับมาครองวัดระฆังโฆสิตาราม พระราชทานตาลปัตรพื้นแพรปักเลื่อมอย่างตาลปัตรหม่อมเจ้า ซึ่งหม่อมเจ้าพระพุทธุป บาทปิลันทน์ทรงครองอยู่ก่อนนั้นให้ถือเป็นเกียรติยศต่อมา อีกทั้งพระราชทานนิตยภัตเพิ่มขึ้นเสมอพระราชาคณะชั้นเทพด้วย ในปีมะแม พ.ศ.2438 ทรงตั้งเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ “ พระเทพเมธี ” เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ร.ศ.114 ต่อมาในปีขาล พ.ศ.2445 ทรงพระกรุณาโปรดฯให้เลื่อนเป็น “ พระธรรมไตรโลกาจารย์ ” เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ร.ศ.121


พระกรุวัดท้ายตลาด พิมพ์ปางห้ามสมุทร
สมัยรัชกาลที่ 6 ได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์เจ้าคณะรองชั้นสุพรรณบัฏที่ “ พระพิมลธรรม ” เมื่อวันที่ 25 มกราคม ปีจอ พ.ศ.2453 โดยทรงพระราชดำริว่า พระธรรมไตรโลกาจารย์ เป็นเชื้อพระราชวงศ์ ได้ผนวชในพระพุทธศาสนามาหลายพรรษากาล มีความแตกฉานในพระปริยัติธรรม สอบไล่ได้เป็นเปรียญตั้งแต่ยังเป็นสามเณร ครั้นเมื่ออายุครบกำหนดที่ควรจะอุปสมบทแล้ว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อุปสมบทในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วได้เข้าแปลประโยคอีกครั้ง 1 มั่นคงในสมณปฏิบัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้เป็นพระราชาคณะที่ พระราชานุพัทธมุนี แล้วโปรดฯให้ไปครอง วัดโมลีโลกย์ 7 พรรษา จนตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังฯว่างลง จึงทรงพระกรุณาโปรดฯให้ย้ายมาครองวัดระฆังฯซึ่งเป็นที่สถิตเดิม พระราชทานพัดแฉกพื้นแพร ภายหลังได้เลื่อนตำแหน่งชั้นเทพและชั้นธรรมตามลำดับ นับว่าได้ทรงพระเมตตามาก พระธรรมไตรโลกาจารย์เป็นผู้ชำนาญทางเทศนา มีโวหารกังวานดีเป็นที่น่าฟัง ทั้งมีเสียงอันดี ขัดตำนานอ่านประกาศไพเราะน่านิยม เมื่อได้รับพระราชทานอาราธนาบัตรเป็นเจ้าคณะมณฑลตามพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ ก็ได้ปฏิบัติจัดการตามตำแหน่งหน้าที่เรียบร้อยสม่ำเสมอ นับว่าได้กระทำคุณประโยชน์ในทางทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและการศึกษา อีกทั้งได้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์กุลบุตรเป็นอันมาก เป็นที่นิยมนับถือแห่งศาสนิกชนบริษัท ทั้งคฤหัสถ์บรรพชิต อนึ่ง เป็นราชวงศ์ผู้ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่อันมีน้อยตัวหาได้ยาก จึงสมควรเพิ่มสมณศักดิ์ให้สูงยิ่งขึ้น จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้สถาปนาเลื่อน พระธรรมไตรโลกาจารย์ เป็นพระราชาคณะตำแหน่งเจ้าคณะรอง

รูปปั้นพระสนิทสมณคุณ
(เงิน เขมจารี) วัดท้ายตลาด
7. พระวิเชียรธรรมคุณาธาร ( โสตถิ์ หรือ สด ป.3 ) ( 17 ปี, พ.ศ.2437-2453 )
ชาติภูมิไม่ปรากฏ มรณภาพในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 30 กันยายน รัตน โกสินทร์ศก 129

8. พระสนิทสมณคุณ ( เงิน ธมฺมปญฺโญ ) ( 10 ปี, พ.ศ.2454-2463 )
ชาติภูมิอยู่จังหวัด พระตะบอง ซึ่งจังหวัดนี้แต่เดิมอยู่ในความปกครองของประเทศสยาม เกิดวันจันทร์ เดือน 3 แรม 7 ค่ำ ปีชวด พ.ศ.2395 บิดาชื่อ อินทร์ มารดาชื่อ อิ่ม อุปสมบทที่วัดนะรา พระธรรมวงศาจารย์ (คุง) เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทแล้วมาศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักพระธรรมเจดีย์ ( ทอง ) วัดอรุณราชวราราม และในสำนัก พระยาธรรมปรีชา ( ทิม ), หลวงราชาภิรมย์ ( ต่าย ) และ อาจารย์คง ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรม ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ครั้งหนึ่ง แต่สอบตกประโยค 3

ต่อมาถึง พ.ศ.2434 ร.ศ.110 ในรัชกาลที่ 5 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “ พระครูปัญญาคธาวุธ ” และโปรดฯให้เป็นเจ้าคณะใหญ่เมืองพระตะบอง ถึง พ.ศ.2440 พระราชทานสมณศักดิ์เลื่อนขึ้นเป็นพระ
ราชาคณะในราชทินนามที่ พระปัญญาคธาวุธ พ.ศ.2443 โปรดฯให้เปลี่ยนราชทินนามเป็น “ พระสนิทสมณคุณ ” และโปรดฯให้เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะมณฑลบูรพาถึง พ.ศ.2450 ร.ศ.126 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองบ้านเมือง จังหวัดพระตะบองตกไปอยู่ในความปกครองของรัฐบาลฝรั่งเศส พระสนิทสมณคุณ จึงกลับเข้ามาอยู่วัดพระเชตุพนฯ จังหวัดพระนคร ระหว่างนี้ได้พระราชทานนิตยภัตเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 21 บาท ถึงปีจอ พ.ศ.2454 สมัยรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดฯให้ย้ายมาเป็นเจ้าอาวาส วัดโมลีโลกย์ ครองวัด ตั้งแต่ พ.ศ.2454-พ.ศ.2463


หอระฆังโบราณ
รูปปั้นทหารใต้ฐานเจดีย์
พระสนิทสมณคุณ ( เงิน ) มรณภาพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2463 ปีวอก สิริรวมอายุ 68 ปี ท่านได้สร้างพระนาคปรกใบมะขาม ซึ่งเป็นวัตถุมงคลชั้นยอดเป็นที่นิยม ด้วยอาคมเข้มขลังจนเลื่องลือตราบจนปัจจุบัน

9. พระประสิทธิศีลคุณ ( จ้อย ป.4 ) ( 28 ปี, พ.ศ.2464-2492 )
เกิดในรัชกาลที่ 5 ณ วันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน พ.ศ.2418 ร.ศ.94 ที่ตำบลบ้านบุญลือ อำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ บิดาชื่อ หร่าย มารดาชื่อ เต่า อุปสมบทที่ วัดขวิด อำเภอน้ำซึม จังหวัดอุทัยธานี พระครูธรรมวินิจฉัน ( นุ่น ) เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วมาศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่ในสำนักวัดมหาธาตุ ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมในสนามหลวง ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นเปรียญ 4 ประโยค ถึง พ.ศ.2457 ในรัชกาลที่ 6 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ “ พระประสิทธิศีลคุณ ” ภายหลังโปรดให้ย้ายมาเป็นเจ้าอาวาส วัดโมลีโลกยาราม ตั้งแต่ พ.ศ.2457 ( บางแห่งว่า พ.ศ.2463 ) ถึง พ.ศ.2492

10. พระครูสังวรโมลี ( ชาลี อุตฺตโร ป.ธ.3 ) ( 22 ปี, พ.ศ.2493-251 )
เกิดในรัชกาลที่ 6 เมื่อปี พ.ศ.2457 ที่อำเภอพนา จังหวัดอุบลราชธานี บิดาชื่อ ภู มารดาชื่อ เหม เป็นเจ้าอาวาส วัดโมลีโลกยาราม เมื่อ พ.ศ.2493 ( บางแห่งว่า พ.ศ.2484 ) ได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสเมื่อ พ.ศ.2514

11. พระรัตนมุนี ( โสม ปญฺญาวุฑฺโฒ ป.ธ.7 ) ( 25 ปี, พ.ศ.2515-2539 )
เกิดเมื่อปี พ.ศ.2466 ณ บ้านขามป้อม อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี มารดาชื่อ สงค์ อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.2489 ที่บ้านขามป้อม เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส วัดโมลีโลกยาราม เมื่อปี พ.ศ.2515 และเป็นเจ้าอาวาสในปี พ.ศ.2517


บริเวณวัดโมลีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด)
พระรัตนมุนี เป็นเจ้าสำนักเรียนรูปแรกของสำนักเรียน วัดโมลีโลกยาราม ท่านได้อุตสาหะจัดการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมจนมีผู้สอบบาลี นักธรรม ได้มากพอสมควร จนได้รับแต่งตั้งเป็นสำนักเรียนในปีพุทธศักราช 2534 จากนั้นท่านก็ได้จัดการเรียนการสอนอย่างเข้มแข็งมาตามลำดับจนมีผู้สอบได้ทุกๆ ปี แม้ไม่มากนักก็ตาม ท่านได้บูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะสงฆ์หลายอย่างเพียงพอแก่การรองรับพระภิกษุ สามเณร ในยุคนั้น

12. พระพรหมกวี ( วรวิทย์ คงฺค ปญฺโญ ป.ธ.8 ) ( 15 ปี, พ.ศ.2540-2554 )
เกิดเมื่อปีระกา ตรงกับวันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2476 เป็นบุตรของ นายคำมา ธรรมวรางกูร และ นางคำ ธรรมวรางกูร ณ บ้านหนองบัว หมู่ที่ 9 ตำบลนนทรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี อุปสมบทเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ.2496 ณ วัดอินทรแบก อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี โดยมี พระวิสุทธิธรรมาจารย์ ( ทรัพย์ ) วัดใหม่กรงทอง อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์


รูปปั้นจีนบริเวณพระวิหาร
13. พระเทพปริยัติโมลี ( สุทัศน์ วรทสฺสี ป.ธ.9 ) ( พ.ศ.2555-ปัจจุบัน )
สถานะเดิมชื่อ สุทัศน์ นามสกุล ไชยะภา เกิดเมื่อปีกุน ตรงกับวันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2514 เป็นบุตรของ นายสา ไชยะภา และ นางจันทร์ ไชยะภา ณ บ้านเลขที่ 152 หมู่ที่ 5 บ้านราษฎร์นิยม ตำบลโคกตูม อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ บรรพชาครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2527 หลังจากจบประถมศึกษาปีที่ 6 โดยมี พระครูวิบูลวุฒิคุณ ( ฉลัน ) อดีตเจ้าอาวาสวัดตาไก้พลวงและรองเจ้าคณะอำเภอนางรอง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านจึงเข้าศึกษานักธรรมตรีที่สำนักศาสนศึกษาแห่งนี้ จากนั้นจึงเข้าศึกษาต่อนักธรรมโท-เอก และบาลี ณ วัดกลาง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ภายใต้การปกครองของ พระครูพิทักษ์ชินวงศ์ เจ้าคณะอำเภอนางรอง เมื่อประโยค ป.ธ.4 แล้ว พระครูพิทักษ์ชินวงศ์จึงนำมาฝาก พระราชเมธี (วรวิทย์) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ รองเจ้าคณะภาค 10 และเจ้าคณะ 8 ขณะนั้น เพื่อเข้าศึกษาต่อ ท่านก็ได้ศึกษาชั้นประโยค ป.ธ.5 ถึง ป.ธ.9 โดยไม่สอบตกเลย


( ที่มา : ลานโพธิ์  ฉบับที่  1198 พระเครื่องวัดท้ายตลาด “ วัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร ” ปักษ์แรก เดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 ราคาปก 60 บาท )



วันนี้อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้ 




สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า.. 
Available Now!  You can read whenever, wherever with any device.

 BangkokSarn App on Google Play store    Lanpo App on Google play Store    Ookbee Book Shop   Meb Market Book Shop    AIS Book Store   
 Lanpo App on Google Play Lanpo App on iTunes

#ลานโพธิ์ #พระเครื่อง #วัดท้ายตลาด #กทม.