วัดแห่งพระกริ่ง วัดสุทัศนเทพวราราม (3)

ภาพและเรื่องโดย อภิวัฒน์ โควินทรานนท์
พระอุโบสถวัดมหายาน จะประดิษฐานพระประธาน 3 องค์
เรียก “ซำฮุด” องค์กลางคือ พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า องค์ด้านซ้ายมือ
พระอมิตถะพุทธเจ้า องค์ด้านขวาคือ พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า

ตำนานพระกริ่ง

พระกริ่ง เป็นสุดยอดพระเครื่องเนื้อโลหะ ความสุดยอดของ พระกริ่ง นั้น มาจากประวัติความเป็นมาของพระกริ่ง 1 เนื้อโลหะในการสร้างพระกริ่ง 1 พิธีกรรมในการสร้าง พระกริ่ง 1 ทั้ง 3 ประการนี้ ไม่มีพระเครื่องเนื้อโลหะประเภทใดเทียบเทียมได้


ประวัติความเป็นมาของ พระกริ่ง

ประวัติของ พระกริ่ง นั้น จะขอแยกพิจารณาเป็น 2 ส่วน คือในส่วนที่เป็นนามธรรม และในส่วนที่เป็นรูปธรรม

ประวัติ พระกริ่ง ที่เป็นนามธรรม คือ ปรัชญาความเชื่อเรื่อง พระกริ่ง หรือต้นกำเนิดของ พระกริ่ง

ประวัติ พระกริ่ง ที่เป็นรูปธรรม คือ การสร้าง พระกริ่ง พระกริ่ง ชนิดต่างๆ

เหรียญพระพุทธบาท สระบุรี ของสมเด็จ
พระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคาราม
มีอักษรจีน 4 คำว่า “ไซทีฮุดโจ้ว” คือ
พระอมิตถะพุทธเจ้า
ปรัชญาความเชื่อเรื่องของ พระกริ่ง หรือต้นกำเนิดของ พระกริ่ง นั้น มาจากพระสูตรหนึ่งในพระพุทธศาสนามหายาน คือ “ พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาราชามูลประณิธานสูตร ”

พระสูตรนี้ได้แปลจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีนในพุทธศตวรรษที่ 10 ( พ.ศ.900-1000 ) คือกว่า 1,500 ปีมาแล้ว ใจความโดยย่อของพระสูตร มีดังนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า พระศากยมุนี พุทธะ เสด็จประทับ ณ กรุงเวสาลีสุขโฆสวิหาร พร้อมด้วยพระมหาสาวก ๘,๐๐๐ องค์ พระโพธิสัตว์ ๓๖,๐๐๐ องค์ และพระราชาธิบดี เสนาอำมาตย์ ตลอดจนปวงเทพ ก็โดยสมัยนั้นแล พระมัญชุศรีผู้ธรรมราชาบุตร อาศัยพระพุทธาภินิหารลุกขึ้นจากที่ประทับทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่งลงคุกพระชาณุกับแผ่นดิน ณ เบื้องพระพักตร์ของสมเด็จพระโลกนาถเจ้าประคองอัญชุลีกราบทูลขึ้นว่า “ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดประทานพระธรรมเทศนา พระพุทธนามและมหามูลปณิธาน และคุณวิเศษอันโอฬารแห่งปวงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เพื่อยังผู้สดับพระธรรมกถานี้ให้ได้รับหิตประโยชน์บรรลุถึงสุขภูมิ ” พระบรมศาสดาทรงรับอาราธนาของพระมัญชุศรีโพธิสัตว์แล้ว จึงทรงแสดงพระเกียรติคุณของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าว่า


“ ดูก่อนกุลบุตร จากที่นี้ไปทางทิศตะวันออกผ่านโลกธาตุอันมีจำนวนดุจเม็ดทรายในคงคานที ๑๐ นทีรวมกัน ณ ที่นั้นมีโลกธาตุหนึ่งนามว่า วิสุทธไพฑูรย์โลกธาตุ ณ โลกธาตุนั้นมีพระพุทธเจ้าซึ่งทรงพระนามว่า ไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาตถาคต พระองค์ถึงพร้อมด้วยพระภาคเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ตรัสรู้ดีตรัสรู้ชอบแล้วด้วยพระองค์เอง เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชาและจรณะเป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นผู้ยอดเยี่ยมไม่มีใครเปรียบ เป็นนามสารถีฝึกบุรุษ เป็นศาสดาแห่งเทวดาแห่งมนุษย์ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมกล่าวสอนสัตว์ ดูก่อนมัญชุศรี ณ เบื้องอดีตภาคเมื่อพระตถาคตเจ้าพระองค์นี้ยังเสวยพระชาติ เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงตั้งมหาปณิธาน ๑๒ ประการ เพื่อยังทรงต้องการแห่งสรรพสัตว์ให้บรรลุก็มหาปณิธาน ๑๒ ประการเป็นไฉน


พระประธาน 3 องค์ของมหายาน
๑. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งมีวรกายอันรุ่งเรืองส่องสาดทั่วอนันตโลกธาตุ บริบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ขอให้สรรพสัตว์จงมีวรกายดุจเดียวกับเรา

๒. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอให้วรกายของเรามีสีสรรดุจไพฑูรย์มีรัศมีรุ่งโรจน์โชตนาการยิ่งกว่าแสงจันทร์และแสงอาทิตย์ ประดับด้วยคุณาลังการอันมโหฬาร ไพศาลพันลึก ส่องทางให้แก่สัตว์ที่ตกอยู่ในอบายคติ ให้หลุดพ้นเข้าสู่คติที่ชอบตามปรารถนา

๓. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ขอให้เราได้ใช้ปัญญาโกศลอันล้ำลึกสุขุมไม่มีสิ้นสุดยังสรรพสัตว์ให้ได้รับโภคสมบัตินานาประการ อย่าได้มีความยากจนใดๆ

๔. ในกาลใด ที่เขาได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสัตว์ใดที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ขอให้เรายังเขาให้ตั้งมั่นในสัมมาทิฐิในโพธิมรรค หากมีสัตว์ใดดำเนินปฏิปทาแบบสาวกยานปัจเจกยาน ก็ขอให้เราสามารถยังเขามาดำเนินปฏิปทาแบบมหายาน

๕. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตว์ใดมาประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยของเรา ก็ขอให้เขาเหล่านั้นอย่าได้มีศีลวิบัติเลย จงบริบูรณ์ด้วยองค์แห่งศีลทั้ง 3 เถิด หากมีผู้ใดศีลวิบัติ เมื่อได้สดับนามแห่งเราก็ขอให้จงบริบูรณ์ดุจเดิมไม่ตกสู่ทุคตินิรยาบาย

๖. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตว์มีกายอันเลวทรามมีอินทรีย์อันไม่ผ่องใส โง่เขลาเบาปัญญา ตาบอดหรือหูหนวก เป็นใบ้หรือหลังค่อม สารพัดพยาธิทุกข์ต่างๆ เมื่อได้สดับนามแห่งเราก็ขอให้หลุดพ้นจากปวงทุกข์เหล่านั้น มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีอินทรีย์ผ่องใสสมบูรณ์

๗. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตว์อันความทุกข์เบียดเบียนปราศจากที่พึ่งพิงและที่อยู่อาศัย ปราศจากแพทย์และยา ปราศจากวงศาคณาญาติ อันความยากจนข้นแค้นมีทุกข์มาเบียดเบียนแล้ว เพียงแต่นามแห่งเราผ่านโสตของเขาเท่านั้น ขอสรรพความเจ็บป่วยจงปราศไปสิ้น เป็นผู้มีกายใจอันผาสุข มีบ้านเรือนอาศัยพรั่งพร้อมด้วยธนสารสมบัติ จนที่สุดก็จักได้สำเร็จแก่พระโพธิญาณ

๘. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีอิสตรีใดมีความเบื่อหน่ายต่อเพศแห่งตน ปรารถนาจะกลับเพศเป็นบุรุษไซร้ มาตรว่าได้สดับนามแห่งเราก็จงสามารถเปลี่ยนเพศจากหญิงเป็นชายตามปรารถนา จนที่สุดก็จักได้สำเร็จแก่โพธิญาณ

๙. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เราจงสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากข่ายแห่งมารและเครื่องผูกพันของเหล่ามิจฉาทิฐิ ให้สัตว์เหล่านั้นตั้งอยู่ในสัมมาทิฐิ และให้ได้บำเพ็ญโพธิสัตว์จริยาจนบรรลุพระโพธิญาณในที่สุด

๑๐. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตว์เหล่าใดถูกต้องอาญา ต้องคุมขังรับทัณฑกรรมในคุกตะราง หรือต้องอาญาถึงประหารชีวิต ตลอดจนได้รับการข่มเหงคะเนงร้ายดูหมิ่นดูแคลนเหยียดหยามอื่นๆ เป็นผู้มีอันคับแค้นเผาลนแล้ว มีใจกายอันวิปฏิสารอยู่ หากได้สดับนามแห่งเรา ได้อาศัยบารมี และคุณาภินิหารย์ของเรา ขอสัตว์เหล่านั้นจงหลุดพ้นจากปวงทุกข์ดังกล่าว


เหรียญพระพุทธบาท สระบุรี ของสมเด็จ
พระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคาราม
มีอักษรจีน 4 คำว่า “ไซทีฮุดโจ้ว” คือ 
พระอมิตถะพุทธเจ้า
๑๑. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตว์เหล่าใดมีความทุกข์ด้วยหิวกระหายแล้วประกอบอกุศลกรรม เพราะเหตุแห่งอาหารไซร้หากได้สดับนามแห่งเรา มีจิตหมั่นตรึกนึกภาวนาเป็นนิตย์ เราจักประทานเครื่องอุปโภคบริโภคอันปราณีตแก่เขา ยังเขาให้อิ่มหนำสำราญ แล้วจักประทานธรรมรสแก่เขา ให้เขาได้รับความสุข

๑๒. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตว์เหล่าใดที่ยากจน ปราศจากอาภรณ์นุ่งห่ม อันความหนาวร้อนและเหลือบยุงเบียดเบียน ทั้งกลางวันกลางคืน หากได้สดับนามแห่งเราและหมั่นรำลึกถึงเราไซร้ เราจักได้สิ่งที่ปรารถนาและจักบริบูรณ์ด้วยธนสารสมบัติสรรพอาภรณ์เครื่องประดับและเครื่องบำรุงความสุขต่างๆ ฯลฯ

ครั้นแล้ว พระบรมศาสดาศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านี้มีพระโพธิสัตว์ผู้ใหญ่ 2 องค์ คือ พระสุริยไวโรจนะ และ พระจันทรไวโรจนะ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ช่วยของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า เบื้องปลายแห่งพระสูตรนั้นทรงแสดงอานิสงส์ของการบูชาพระไภษัชยคุรุว่า “ ผู้ใดก็ดี ได้บูชาพระองค์ด้วยความเคารพเลื่อมใสแล้วก็จักเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปราศจากภัยบีฑา ไม่ฝันร้าย ศัสตราวุธทำอันตรายมิได้ สัตว์ร้ายทำอันตรายมิได้ โจรภัยทำอันตรายมิได้ ยาพิษทำอันตรายมิได้ ฯลฯ ” นอกจากนี้ทรงแสดงถึงพิธีจัดมณฑลบูชาพระไภษัชยคุรุอีกด้วยว่า ต้องจัดพิธีมีเครื่องบูชาอย่างนั้นๆ และทรงประทานพระคาถาบูชาพระไภษัชยคุรุด้วย ในเวลาตรัสพระคาถานี้ พระบรมศาสดาทรงประทับเข้าสมาธิชื่อ “ สรวสัตวทุกขภินทนาสมาธิ ” ปรากฏรัศมีไพโรจน์ขึ้นเหนือพระเกตุมาลา แล้วจึงตรัสพระคาถามหาธารณี ดังนี้

“ นโม ภควเต ไภษชฺยคุรุ ไวฑูรฺยปรฺภาราชาย ตถาคตยารฺทเต สมฺยกฺสมฺพุทฺธาย โอมฺไภเษชฺเย สมุรฺคเตสฺวาหฺ ”


ภาพพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้า
พร้อมด้วยพระสุรยประภาโพธิสัตว์
พระจันทรประภาโพธิสัตว์
และพญายักษ์เสนาบดีทั้ง 12 ตน
(ภาพวาดในศตวรรษที่ 13)
ครั้นตรัสพระมหาธารณีนี้แล้ว พสุธาก็กัมปนาทหวาดไหว แสงสว่างอันโอฬารก็ปรากฏ สัตว์ทั้งปวงก็หลุดพ้นจากสรรพพยาธิ บรรลุสุขสันติอันประณีต แล้วพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ ดูก่อนมัญชุศรี ถ้ามีกุลบุตรกุลธิดาใดอันพญาธิทุกข์เบียดเบียนแล้ว พึงตั้งจิตให้เป็นสมาธิแล้วนำพระคาถาธารณีบทนี้ ปลุกเสกอาหารหรือยาหรือน้ำดื่มครบ 108 หน แล้วดื่มกินเข้าไปเถิด จักสามารถดับสรรพปวงพยาธิได้ ”

พระสูตรนี้ในตอนท้ายยังมีเรื่องพิสดารอีกมาก ทั้งนี้เป็นไปตามแบบฉบับของพระสูตรมหายาน ซึ่งจะต้องมีเรื่องราวยืดยาววิจิตรพิสดารอย่างที่สุด เพราะต้องการเน้นให้เห็นความสำคัญอย่างที่สุด เพื่อให้เกิดความศรัทธาเคารพนับถืออย่างที่สุด

จาก พระไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาราชามูลประณิธารสูตร นี้ มีใจความสำคัญว่า

ณ เบื้องบูรพาทิศ อันไกลแสนไกล มีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาตถาคตพุทธเจ้า ทรงมีพระบารมีมาก เพราะเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญบารมีตั้งมหาปณิธาน 12 ประการ


ผู้ใดที่ได้บูชา  พระไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาตถาคตพุทธเจ้า ด้วยความเคารพเลื่อมใสแล้วก็จักเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปราศจากภัย ศัสตราวุธทำอันตรายมิได้ สัตว์ร้ายทำอันตรายมิได้ โจรร้ายทำอันตรายมิได้ ยาพิษทำอันตรายมิได้ ฯลฯ

พระบรมศาสดาทรงประทับเข้าสมาธิชื่อ สรวสัตวทุกขถินทนาสมาธิ ปรากฏรัศมีไพโรจน์ขึ้นเหนือพระเกตุมาลา แล้วจึงตรัส พระคาถามหาธารณี ดังนี้

นโม ภควเต ไภษชฺยคุรุ ไวฑูรฺยปรฺภาราชาย ตถาคตยารฺทเต
สมฺยกฺสมฺพุทฺธาย โอมฺไภเษชฺเย สมุรฺคเตสฺวาหฺ

ครั้นทรงตรัสพระมหาธารณีนี้แล้ว พสุธาก็กัมปนาทหวาดไหว แสงสว่างอันโอฬารก็ปรากฏ สัตว์ทั้งปวงก็หลุดพ้นจากสรรพพยาธิ บรรลุถึงความสุขเกษม พระบรมศาสดาจึงตรัสแก่พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ว่า
“ ถ้ามีกุลบุตรกุลธิดาใดอันพยาธิทุกข์เบียดเบียนแล้ว พึงตั้งจิตให้เป็นสมาธิ แล้วนำพระคาถามหาธารณีบทนี้ ปลุกเสกอาหารหรือยาหรือน้ำดื่มครบ 108 หน แล้วดื่มกินเข้าไปเถิด จักสามารถดับสรรพปวงพยาธิได้ ”
 พระสูตร พระไภษัชยคุรุ ต้นกำเนิดพระกริ่ง

จากพระสูตรนี้ พระไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาตถาคตพุทธเจ้า ซึ่งได้เรียกสั้นลงว่า พระไภษัชยคุรุไวฑูรย์พุทธเจ้า และ พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าที่มีพระพุทธคุณวิเศษในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ จนเรียกง่ายๆ ว่าเป็น พระหมอ คือเป็นพระที่ดีทางรักษาโรค โดยมีพระคาถามหาธารณีเป็นมนต์ศักดิ์สิทธิ์

ดังนั้น โบราณาจารย์จึงได้สร้าง พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าเป็น พระกริ่ง หรืออีกนัยหนึ่ง พระกริ่ง คือ พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในพระพุทธศาสนามหายาน พระกริ่ง แต่โบราณจึงไม่ใช่พระพุทธโคดมหรือพระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า ( พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันในพระพุทธศาสนาเถรวาท ) พระกริ่ง เป็นพระหมอ ดีทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บ

ความสำคัญของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านี้ อุโบสถของวัดมหายานโดยทั่วไป จะประดิษฐานพระประธาน 3 องค์ เป็นหลัก

องค์กลาง คือ พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า ( พระพุทธเจ้าทั้งเถรวาทและมหายาน )
องค์ด้านซ้าย คือ พระอมิตถะพุทธเจ้า  (พระพุทธเจ้ามหายาน )
องค์ด้านขวา คือ พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ( พระพุทธเจ้ามหายาน )

พระอมิตถะพุทธเจ้า นั้น เป็นพระพุทธเจ้าประจำทิศตะวันตกอันเป็นดินแดนสุขาวดี
พระอมิตถะพุทธเจ้านี้ คนไทยเพิ่งจะคุ้นชื่อในยุคหนังจีนกำลังภายใน ซึ่งมีคำอุทานว่า “ อมิตตพุทธ ” แต่คนจีนรู้จักมานานแล้วในชื่อจีน ( แต้จิ๋ว ) ว่า ไซทีฮุดโจ้ว ไซที คือ ท้องฟ้าทิศตะวันตก, ฮุดโจ้ว คือ พระพุทธเจ้า ดังนั้น ไซทีฮุดโจ้วจึงเป็นพระพุทธเจ้าทางทิศตะวันตก เป็นดินแดนสุขาวดี เป็นแดนแห่งความสุข เป็นสวรรค์ของพระอมิตถะพุทธเจ้า เป็นสัมปรายภพ ( ภพหน้า ) ของคนตาย คนจีนจึงอธิษฐานขอให้ผู้ล่วงลับไปสู่ดินแดนสุขาวดี ไปอยู่กับพระอมิตถะพุทธเจ้า

อนึ่ง รอยพระพุทธบาท วัดพระพุทธบาท สระบุรี ปูชนียสถานสำคัญศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งนั้น คนจีนในเมืองไทยก็นับถือว่าเป็น ไซทีฮุดโจ้ว!

เหรียญพระพุทธบาท สมัยสมเด็จพระพุฒาจารย์ นวม พุทธสโร วัดอนงคาราม ซึ่งเป็นผู้กำกับพระพุทธบาท มีอักษรจีนกำกับไว้ว่า ไซทีฮุดโจ้ว........... 

ส่วน พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า นั้น เป็นพระพุทธเจ้าสถิตทางทิศตะวันออก มีพุทธานุภาพในการขจัดโรคาพยาธิ ดังนั้นพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านี้จึงทำเป็นพระพุทธรูปถือบาตรน้ำมนต์ หรือผลสมอ  ผลสมอถือเป็นตัวแทนของยา ) และเมื่อสร้างพระพุทธรูปไภษัชยคุรุองค์เล็ก ก็มีเอกลักษณ์ไม่มีใครเหมือน คือบรรจุเม็ดกริ่งไว้ในองค์พระ เมื่อเขย่าก็จะมีเสียงดัง จึงเป็นที่มาของชื่อว่า “ พระกริ่ง ”

ชื่อว่า “ พระกริ่ง ” นี้ หากอธิบายทางธรรม ก็ว่ามาจากคำ กึกุสลํ ซึ่งแปลว่า กุศลอันใด หรือ กุศลดังฤา คำอุทานธรรม อันพระโยคาวจร ( พระโยคาวจรเป็นคำโบราณหมายถึงพระกรรมฐาน ) ขณะบำเพ็ญวิปัสสนาถึง โคตรภูญาณ ญาณอันเป็นไปเพื่อออกจากปุถุชนเข้าสู่อริยบุคคล อันจะนำไปสู่มัคคญาณและผลญาณ ญาณอันเป็นไปในอริยมรรคและอริยผล

ดังนี้ กึกุสลํ จึงเป็นสภาวธรรมอันวิเศษสุด พระกริ่ง จึงเป็นวัตถุมงคลอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง

เหตุผลที่บรรจุเม็ดกริ่ง เพื่อเขย่าให้เกิดเสียงดังนั้น อนุวัติมาจากคติที่ว่า ลองได้สดับพระนามหรือแม้เสียงอันเกิดแต่องค์พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ก็จะเป็นสวัสดิมงคล เมื่อสั่นพระกริ่ง ผู้สั่นก็จะได้บุญเหมือนเจริญภาวนาถึงพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ผู้ได้ยินเสียงพระกริ่งก็จะพลอยอนุโมทนาได้บุญด้วยเช่นกัน อันเป็นกุศโลบายอันประเสริฐของโบราณจารย์


( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1145 วัดแห่งพระกริ่ง วัดสุทัศนเทพวราาม กรุงเทพฯ ตอนที่ 3 ตำนานพระกริ่ง ปักษ์หลัง เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ราคาปก 60 บาท )


วันนี้อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้ 


สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า.. 





Available Now!  You can read whenever, wherever with any device.

 BangkokSarn App on Google Play store    Lanpo App on Google play Store    Ookbee Book Shop   Meb Market Book Shop      

#ลานโพธิ์ #วัดแห่งพระกริ่ง #วัดสุทัศนเทพวราราม #ตำนานพระกริ่ง