หลวงพ่อพาน สุขกาโม วัดโป่งกะสัง อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์

ภาพและเรื่องโดย สุธน ศรีหิรัญ

หลวงพ่อพาน สุขกาโม
วัดโป่งกะสัง ประจวบคีรีขันธ์
เกจิอาจารย์ในแถบจังหวัดเพชรบุรี และ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่โด่งดังตั้งแต่อดีตมามีหลายองค์ หนึ่งในจำนวนนั้นก็มี หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง ที่มีลูกศิษย์ลูกหาแถบนี้มากมาย สืบสายกันต่อมาคือ หลวงพ่อแผ่ว วัดโตนดหลวง หลวงพ่อนิ่ม วัดเขาน้อย หลวงพ่อเพลิน วัดหนองไม้เหลือง และ หลวงพ่อพาน วัดโป่งกะสัง ซึ่งดูเหมือนจะมีอาวุโสน้อยกว่าองค์อื่นๆ ซึ่งจะเล่าเรื่องของท่านให้ทราบ เพราะท่านมีวัตถุมงคลที่ลือเลื่องกระเดื่องนามด้านประสบการณ์มากมาย กล่าวขวัญกันจนอธิบายไม่จบ หลวงพ่อพาน นอกจากจะได้เรียนรู้วิทยาคมสาย หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวงแล้ว ยังได้รับวิชาพุทธาคมมาจากสาย หลวงพ่อฉุย วัดคงคารามอีกด้วย เนื่องจากท่านได้ศึกษากับ หลวงพ่ออินทร์ วัดยาง ซึ่งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อฉุย นัยว่า หลวงพ่อพาน เป็นศิษย์รักชนิดก้นกุฏิของหลวงพ่ออินทร์ทีเดียว จึงไม่ต้องเป็นที่สงสัยเลยว่า ทำไมวัตถุมงคลของหลวงพ่อพาน วัดโป่งกะสัง จึงโด่งดังด้านประสบการณ์ จนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ใครมีวัตถุมงคล ไม่ว่าจะรุ่นไหนก็ตาม ขอให้เป็นของ หลวงพ่อพาน สุขกาโม วัดโป่งกะสัง “รับรองว่าปลอดภัยจากสรรพภัยนานาชนิดได้อย่างสบายมาก”

เหรียญหลวงพ่อพาน รุ่น 1 พ.ศ.2519
นายดาบตำรวจ วิรัตน์ อาจสัญจร เป็นตำรวจอยู่ สน.บางยี่ขัน ท่านนี้ศรัทธา หลวงพ่อพาน มาก เพราะเป็นคนกุยบุรี บ้านเกิดอยู่แถวๆ วัดโป่งกะสัง เห็น หลวงพ่อพาน มาตั้งแต่เด็ก เล่าว่า หลวงพ่อพาน เป็นพระเถระที่มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดในศีลาจารวัตร ไม่มีด่างพร้อย แม้แต่ยามเจ็บป่วยก็ไม่ยอมให้พยาบาลผู้หญิงจับเนื้อจับตัว ท่านว่า “ ถ้าขาดจากศีล ขอให้ตายเสียดีกว่า ” คำพูดของท่านเช่นนี้จะหาพระเถระใดเสมอด้วยความบริสุทธิ์ของศีลเช่นท่านได้ยาก ความผ่องแผ้วบริบูรณ์ด้วยศีลของท่านจึงทำให้ หลวงพ่อพาน ทำอะไรก็ขลัง ด้วยอำนาจแห่งคุณพระพุทธ พระธรรม ซึ่งท่านคือ พระสงฆ์ ผู้เข้าถึงธรรมของพุทธองค์แล้วอย่างทะลุปรุโปร่ง นายดาบตำรวจ วิรัตน์ อาจสัญจร เล่าประสบการณ์ของวัตถุมงคล หลวงพ่อพาน วัดโป่งกะสัง ที่ได้รวบรวมเอาไว้หลายสิบเรื่อง ล้วนเป็น เรื่องจริง ที่พิสูจน์ได้อย่างน่าสนใจยิ่ง ดังนี้


พระพุทธโคดม บนยอดเขาวัดโป่งกะสัง
นายตี๋ ทองบาง ( ดำ ) ปัจจุบันอายุ 42 ปี อยู่ที่ 114/3 ม.4 ต.หาดขาม อ.กุยบุรี จ.ประจวบฯ ได้เล่าเรื่องราวประสบการณ์เกี่ยวกับวัตถุมงคลของ หลวงพ่อพาน สุขกาโม วัดโป่งกะสัง ที่ตนเองใช้ติดตัวอยู่เป็นประจำไว้หลายเรื่อง เรื่องแรกนี้เกิดขึ้นในราวปี พ.ศ.2552 ซึ่งช่วงนั้นเป็นเทศกาลฟุตบอลโลกพอดี ตนเองได้ไปทำงานที่หมู่บ้านศรีพงษ์ ซอยแบริ่ง อ.สำโรง จ.สมุทรปราการ โดยตนเองเป็นช่างทำเฟอร์นิเจอร์พร้อมกับเพื่อนร่วมงานอีกหลายคน โดยทั้งหมดเมื่อทำงานเสร็จแล้วก็จะพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้เลย เพราะเป็นหมู่บ้านเปิดใหม่ยังไม่มีผู้พักอาศัย จนเย็นวันหนึ่งหลังเลิกงาน ตนเองและเพื่อนร่วมงานได้ตั้งวงสุรารวมประมาณ 7-8 คน โดยได้เริ่มกันตั้งแต่เวลาประมาณ 17.00 น. โดยเชียร์บอลโลกไปด้วยดื่มสุราไปด้วย และหนึ่งในเพื่อนร่วมวงสุราก็คือ นายหลอด ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง เป็นคน จ.นครพนม เพิ่งออกจากคุกมาใหม่ๆ รูปร่างสูงใหญ่สักยันต์เต็มตัวเลย โดยนั่งดื่มกันจนเวลาล่วงเลยมาเกือบจะ 21.00 น.


พระผงสมเด็จ รุ่นแรก พ.ศ.2494
นายหลอดเริ่มเมาได้ที่ประจวบกับที่ตนเองเพิ่งออกจากคุกมาใหม่ๆ แสดงอาการเบ่งข่มเหงเพื่อนร่วมงาน โดยการล้มโต๊ะวงสุรา หลายคนก็ไม่กล้าที่จะมีเรื่องด้วย หนึ่งในนั้นก็คือผม และผมได้ตะโกนบอก “ ออกไปหาข้าวกินดีกว่า ” พูดเสร็จผมก็เดินออกจากบ้าน แต่ยังไม่ทันพ้นรั้วบ้านเลย นายหลอดได้คว้าจอบเล่มยาวเขื่องวิ่งตรงมาที่ผม และเสียงตะโกนของเพื่อนร่วมวงให้ระวังตัว ผมหันหลังกลับเห็นนายหลอดเงื้อจอบมาแต่ไกลเป้าหมายคือผมแน่นอน ผมพูดเสียงดังฟังชัดหลวงพ่อพาน งานนี้ลูกขอวัดนะ ” ยังไม่ทันขาดคำ นายหลอดได้เอา จอบฟันมาที่ศีรษะของผม โดนบริเวณคิ้วข้างขวา จอบได้รูดเป็นทางยาวมาถึงหน้าอก ผมถึงกับมึนหัวและเอามือลูบไปที่บริเวณโดนจอบสับถึงกับตกใจ เมื่อคมจอบไม่ระคายผิวของผมเลย ผมรีบไปคว้าไม้บีช ( เป็นไม้เนื้อแข็งที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างยาวประมาณ 15 นิ้ว ) พอดีมือ ผมและนายหลอด ตีกันโดยต่างคนต่างมีอาวุธ ผมตีนายหลอดจนเลือดท่วมตัว จนเมียนายหลอดมาขอร้องให้เลิกตีกันได้แล้ว และหลายคนก็เริ่มมาห้าม เมียนายหลอดพานายหลอดส่งโรงพยาบาล ผลปรากฏหมอเย็บไป 21 เข็ม ส่วนตัวผมไม่พบบาดแผลใดๆ แต่จุกที่บริเวณหน้าอกร่วมเป็นเดือน ผลของฤทธิ์ของคมจอบที่ฟันลากจากหัวถึงหน้าอก ผมนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นครั้งใดก็อดที่จะขอบคุณหลวงพ่อพาน ทุกครั้งไป ในวันนั้นในคอผมใช้เหรียญรุ่น 1 และ ตะกรุดยาว 2.5 นิ้ว ที่ใช้ไม่เคยขาดคอเท่านั้น


ตะกรุดหลวงพ่อพาน
วัดโปร่งกะสัง
และถัดมาอีกราว 2 ปี คือในปี พ.ศ.2554 วันนั้น นายตี๋ ทองบาง เล่าว่า...“ ผมได้ไปเที่ยวหาเพื่อนที่ทำงานเฟอร์นิเจอร์ด้วยกันที่นาเกลือ พัทยา โดยเพื่อนๆ ได้ไปทำงานรับเหมาตกแต่งโรงพยาบาลที่สร้างใหม่ และก็เหมือนเคยพอตกเย็นก็ตั้งวงสุราที่บริเวณไซส์งาน ตั้งวงดื่มสุรากันจนเวลาล่วงเลยมา จนเวลา 21.00 น. ผมจึงชวนเพื่อนๆ ร่วมวงสุราไปดื่มกันต่อที่ร้านคาราโอเกะ แต่ผมชวนแล้วก็ไม่มีใครไป ผมจึงฉายเดี่ยว ผมออกไปร้องเพลงที่ร้านคาราโอเกะตั้งแต่เวลาประมาณ 21.00 น. จนกระทั่งเกือบเที่ยงคืน ผมรู้สึกว่า เริ่มเมามากแล้วจึงสั่งให้เช็คบิลเพื่อกลับที่พัก ผมเช็คบิลเสร็จเดินออกมานอกร้าน มีวัยรุ่น 4 คน ยืนคอยผมอยู่ พอทั้ง 4 คนเห็นผมทั้งหมดไม่รอช้า เข้ามารุมทำร้ายผมๆ ก็สู้ แต่ทั้ง 4 คนก็เอาผมไม่ลง และผมคิดในใจสู้ไม่ไหวแน่เราเมาก็เมา และเราก็คนเดียว และ 1 ใน 4 ชักปืนไม่ทราบขนาดจ่อยิงมาที่ผม เสียงปืนดังขึ้น จึงทำให้ผู้คนเริ่มตื่นตัวดูเหตุการณ์ ผมและวัยรุ่นทั้ง 4 จึงแยกย้ายกัน เพราะผู้คนเริ่มเยอะ และผมก็ได้กลับมาที่แคมป์คนงาน มาดูบาดแผลที่โดนยิง ผลปรากฏว่า ผมโดนยิงที่บริเวณต้นแขน รอยโดนยิงที่บริเวณต้นแขนแฉลบเป็นทางยาว เป็นรอยยาวที่โดนยิงแต่ไม่เข้า สำรวจตามตัวไม่มีบาดแผล อดไม่ได้ที่จะขอบคุณ หลวงพ่อพาน ที่ทำให้ผมรอดพ้นจากเหตุการณ์นี้ด้วยดี ขอบคุณจริงๆ ครับ หลวงพ่อพาน  ”...ประสบการณ์นี้ถ้าใครไม่เชื่อสามารถโทร.ไปคุยกับ นายตี๋ ทองบาง ได้ที่ โทร.08-9992-1284

ประสบการณ์อีกเรื่องหนึ่ง คุณไพโรจน์ โสมทัศน์ ได้มีเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ เมื่อตอนต้นเดือน พ.ย. 56 นี่เอง เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ต้นเดือน พ.ย. 56 ตำรวจปราบปรามยาเสพติดได้ติดตามคนร้าย 2 คน เพื่อเข้าจับกุมขณะนัดส่งยาเสพติดให้ลูกค้าบริเวณบ้านหนองกระทิง อ.กุยบุรี กำลังตำรวจหลายนายปิดล้อมเพื่อจับกุม แต่คนร้ายไหวตัวทันและหนีการจับกุม ตำรวจจึงตัดสินใจยิงปืนเข้าใส่เพื่อหยุดการหนีที่จะถูกจับกุม แต่ปืนที่ยิงไปของตำรวจหลายนายไม่สามารถที่จะหยุด และถูกคนร้ายเลย ซึ่งคนร้ายก็ซุ่มแอบอยู่บริเวณนั้น ในที่สุดก็ตามหาไม่พบ และต่อมาตำรวจก็ได้ไปสอบถามเพื่อนๆ ของผู้ที่หลบหนีว่า มันมีของดีอะไรวะ ยิงยังไงก็ไม่ถูกมันเสียที ก็ได้รับคำตอบว่า ไอ้คนที่หลบหนีที่คอของมัน แขวน หลวงพ่อพาน  รุ่นเสาร์ 5 อยู่ มันรอดตายและพ้นจากการจับกุมมาตั้งหลายครั้งแล้ว หลายคนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าตำรวจมันยิงยิ่งกว่าในหนังอีก แต่ยิงยังไงก็ไม่ถูกเสียที นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ


ประสบการณ์เหรียญของ หลวงพ่อพาน  ยังไม่จบ คุณไพโรจน์ โสมทัศน์ ยังมีเรื่องเล่าอีกครับ เรื่องนี้ก็สดๆ ร้อนๆ เช่นกัน เรื่องนี้เกิดขึ้นในเดือน ก.ย. 56 นี่เองใกล้ๆ วันนั้น นายมัด บ้านอยู่บ้านป่าถล่ม ( ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบ้านสามกระทาย ) ได้ขับรถจักรยานยนต์มาดื่มเหล้าที่บ้านสามกระทาย ดื่มกันหลายคนตั้งแต่เย็น ดื่มกันมาเรื่อยจนเกือบถึงตี 2 นายมัดเมามากแล้วดื่มต่อไม่ไหวขอตัวไปนอน จึงขับรถจักรยานยนต์ขึ้นถนนเส้นหลัก ( เพชรเกษม ) ได้ถูกรถไม่ทราบขนาดยี่ห้อ รุ่น และสี ชนเข้าอย่างแรง ด้วยความแรงของรถที่ชนจึงทำให้นายมัดตกลงไปบริเวณไหล่ทางกลางถนนที่เป็นท้องร่อง แต่นับได้ว่าเป็นความโชคดีของนายมัด ด.ต.คำนวณ คีรีนิล เพื่อนร่วมวงเหล้าของนายมัดได้เลิกดื่มเหล้าเช่นกัน ขับรถยนต์ผ่านมาพบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพอดี จึงได้แจ้งมูลนิธิเพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาล และเมื่อเสียงไซเรนดังขึ้นชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงเริ่มมามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และต่างพูดไปในทิศทางเดียวกันว่า คงไม่รอดแน่ๆ เมื่อเห็นสภาพรถที่โดนชนเข้าอย่างแรงจนรถพังใช้การไม่ได้แน่ๆ และน่าจะเป็นรถขนาดใหญ่จึงหลบหนีไปได้ ถ้าเป็นรถขนาดเล็กคงพังอยู่ที่เกิดเหตุแน่นอน และประจวบกับนายมัดสลบไม่ได้สติ และในเวลาต่อมาเมื่อถูกนำตัวส่ง รพ. ไม่น่าเชื่อครับ

จากเหตุการณ์ร้ายๆ ได้กลับกลายเป็นดี ไม่น่าเชื่อ ไม่มีบาดแผลที่สาหัส แต่นายมัดสลบไปเพราะฤทธิ์สุรามากกว่า เพื่อนๆ ที่นั่งดื่มด้วยกันตามไปที่ รพ. ต่างก็ดีใจที่นายมัดไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่กี่วันหมอก็ให้ออกจาก รพ. และไม่นานก็หายเป็นปกติใช้ชีวิตเหมือนเดิม เพื่อนๆ ได้ไปสอบถามว่าใช้พระอะไร นี่ไงนายมัดล้วงเข้าที่คอแล้วดึงพระออกมาเป็น เหรียญหลวงพ่อพาน รุ่น 1 สภาพสึกมองแทบไม่รู้เลยว่าเป็นหลวงพ่ออะไร นายมัดยังบอกเพื่อนๆ ว่า วันนั้นถ้าไม่มี หลวงพ่อพาน  สงสัยจะตายไปแล้ว นี่คือบารมี หลวงพ่อพาน  ที่ปรากฏให้เห็นเสมอ คุณไพโรจน์ โสมทัศน์ เล่าต่อ “ ผมเป็นคนท้องที่ยังมีเหตุการณ์อีกมากจริงๆ ”

นายชัยทัศน์ ทองขาว อายุ 19 ปี อยู่ที่ 81 ม.3 ต.กุยเหนือ อ.กุยบุรี จ.ประจวบฯ ได้เล่าถึงประสบการณ์เกี่ยวกับวัตถุมงคลของ หลวงพ่อพาน ได้น่าสนใจมาก เขาเล่าว่า

เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองมี 2 เรื่องด้วยกัน เกิดแบบติดๆ กันเลยครับ เรื่องแรกเกิดขึ้นในราวต้นเดือน ก.ย. 56 นี่เอง โดยปกติแล้วผมเป็นเด็ก อ.กุยบุรี แต่ตอนนี้ได้ไปศึกษาต่อที่ ร.ร.อาชีวะแห่งหนึ่งที่ จ.ราชบุรี ตัวผมเพิ่งไปอยู่เป็นปีแรก เทอมแรกก็ยังไม่ค่อยจะรู้จักเพื่อนมากเท่าไหร่ รู้จักแค่เพื่อนร่วมห้องเรียนเดียวกันเท่านั้น ในวันที่เกิดเหตุเป็นช่วงเย็นหลังเลิกเรียน พวกผมก็มาเล่นฟุตบอลกันที่สนามฟุตบอลเล็กๆ ที่ติดกับโรงอาหาร โดยพวกที่เล่นก็เล่นไป ส่วนตัวผมนอนเล่นพูดคุยกับเพื่อนที่ไม่ได้เล่นฟุตบอลที่บริเวณโต๊ะอาหารที่ติดกับสนามฟุตบอล โดยตัวผมนอนเล่นอยู่บนโต๊ะยาวส่วนเพื่อนอีกคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้นั่ง สักพักหนึ่งได้มีกลุ่มนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่งมาด้วยกันหลายคนมายืนพูดคุยในลักษณะหาเรื่อง โดยนักเรียนกลุ่มดังกล่าวยืนพูดคุยอยู่ที่ด้านหน้าของผม ส่วนตัวเพื่อนผมพูดคุยอยู่ด้านหลังของผม เพราะเพื่อนผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่ใช้นั่งทานอาหารส่วนตัวผมนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร คุยกันได้สักครู่กลุ่มนักเรียนดังกล่าวก็เดินกลับ


โบสถ์วัดโป่งกะสัง
และในช่วงจังหวะเดินกลับนั่นเองหนึ่งในนั้นได้หันหลังมาพร้อมอาวุธปืนที่อยู่ในมือ แล้วยิงใส่มาที่ผมและเพื่อนเสียงดัง “ เปรี้ยง ” ดังชัดเจน ผมรู้สึกได้ทันทีว่าโดนยิงแน่นอน รู้สึกเสียวแปลบที่หน้าอก แต่เสียงเพื่อนที่อยู่ด้านหลังผมร้องเอะอะมาด้วยความเจ็บปวด โดนยิงครับ เพื่อนผมก็โดนยิงเช่นกัน พวกที่เล่นฟุตบอลอยู่วิ่งเข้ามาและช่วยกันนำเพื่อนผมส่ง รพ. และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ผมและร้อยเวรมาที่เกิดเหตุไม่พบปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุ แต่พบ พระของผมตกอยู่ที่เกิดเหตุในลักษณะโดนยิงที่ห่วงจนขาด ผมจึงเก็บพระนั้นขึ้นมา ผมได้มาเรียงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็รู้สึกแปลกว่า ทำไมเพื่อนผมโดนยิงได้อย่างไร ซึ่งตัว ผมนั่งอยู่บนโต๊ะด้านหน้าบังเพื่อนอยู่ ส่วนเพื่อนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านหลังผม และในลักษณะที่ต่ำกว่าผม และเมื่อลูกปืนโดนผมแล้วแฉลบไปถูกเพื่อนของผมได้อย่างไร และจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเวลาต่อมาทราบว่า เพื่อนผมคนที่เสียชีวิตเคยไปมีเรื่องกันมาก่อน กลุ่มนักเรียนดังกล่าวจึงมาแก้แค้น

ในส่วนตัวผมยังมีอีกหนึ่งเรื่องครับถัดมาจากเหตุการณ์ที่แล้วประมาณอีก 3 อาทิตย์ต่อมาช่วงปิดเทอมพอดี วันที่เกิดเหตุผมและ นายธนากร เพลินจิต ชื่อเล่น เบียร์ ได้ขับรถกระบะออกจาก อ.กุยบุรี บ้านผมมุ่งหน้าไปรับเพื่อนที่ จ.ประจวบฯ โดยได้นัดหมายกันในเวลาประมาณ 19.00 น. แต่วันนั้นผมออกจาก อ.กุยบุรี ล่าช้ากว่าที่นัดไว้ ผมและเพื่อนขับรถกันมาโดยที่ผมเป็นคนขับ เพื่อนที่มาด้วยนั่งด้านข้างคนขับ ซึ่งในวันนั้นผมได้ใช้รถกระบะปิคอัพตอนครึ่ง ผมขับรถมาตามถนนเพชรเกษมเรื่อยมาเสียงโทรศัพท์เพื่อนที่นัดหมายก็ดังขึ้น โดยเพื่อนได้โทร.มาเร่งผม เพราะวันนั้นผมไปรับเพื่อนช้ากว่าที่นัดกันไว้ จนมาถึงที่เกิดเหตุเรียกว่า บ้านทุ่งโก ได้มีรถบรรทุกสิบล้อขับช้ามากด้วยความหนักของสิ่งที่บรรทุก แต่ไม่ยอมใช้เลนซ้ายกลับใช้เลนขวาสุด และด้านหลังของรถบรรทุกเป็นรถเก๋งอีกคันที่ตามท้ายรถบรรทุก รถของผมเป็นคันที่ 3 ถ้านับจากรถบรรทุก รถเก๋งคันหน้าผมตบไฟใส่รถบรรทุกให้ชิดซ้าย แต่รถบรรทุกทำเหมือนทองไม่รู้ร้อนยังขับอยู่เลนขวาสุดโดยไม่สนใจ จนรถเก๋งต้องแซงทางด้านซ้ายออกมา ผมก็เช่นกันก็แซงซ้ายตามท้ายรถเก๋ง

จังหวะนั้นเองที่เลนซ้ายได้มีแหนบรถบรรทุกตกอยู่ 1 อัน แหนบมีลักษณะโค้งงอ เมื่อล้อหลังทางด้านซ้ายของรถเก๋งที่อยู่ด้านหน้าผมเหยียบแหนบนี้เข้า จึงทำให้แนบที่มีลักษณะโค้งงออยู่แล้วดีดตัวเองลอยขึ้นมาใส่ด้านหน้ารถของผม กระจกด้านหน้าแตกตัดกระจกมองหลังของผมจนขาด และแหนบได้ลอยมาถูกไอ้เบียร์เพื่อนผมที่นั่งอยู่ข้างๆ และแหนบได้ไปหยุดที่แค็ปหลังคนขับคือตัวผม ไอ้เบียร์ร้องด้วยความเจ็บปวด ที่ถูกแหนบตีเข้าใส่ ผมจึงหยุดรถที่ข้างทางโทร.เรียกมูลนิธิ สักครู่เดียวรถมูลนิธิก็มาจึงนำตัวไอ้เบียร์ส่ง รพ.ประจวบฯ ถึง รพ. หมอได้ทำการห้ามเลือดที่ออกมากจริงๆ ไอ้เบียร์อยู่ รพ.ประจวบฯได้ 1 คืน หมอที่ รพ. ห้ามเลือดไม่อยู่ คนไข้เสียเลือดมากจึงส่งตัวต่อไปที่ รพ.หัวหิน



เมื่อ รพ.หัวหินรับตัวคนไข้ไว้ได้มีการให้เลือดและห้ามเลือด ไอ้เบียร์อยู่ที่ รพ.หัวหินได้ประมาณ 4 วัน ก็เสียชีวิต แต่ก่อนที่เพื่อนผมจะเสียชีวิตได้มาเข้าฝันผมในลักษณะต่อว่าผมว่า ทำไมจึงทำให้ตัวมันเป็นแบบนี้ ผมก็บอกว่าผมไม่ได้เจตนาที่จะให้เกิด ไอ้เบียร์มันพูดต่อ “ กูเจ็บปวดมากเลย กูจะไม่ไหวแล้วนะ ” และได้พูดต่อว่าผมอีก ผมก็เลยพูดว่า “ ถ้ามึงไม่เข้าใจกู มึงก็ไม่ต้องมาหากูอีก ” และวันรุ่งขึ้นไอ้เบียร์ก็เสียชีวิต และหมอได้บอกว่าคนไข้ได้ถอดเครื่องช่วยหายใจ และหมอได้ใส่เครื่องช่วยหายใจเข้าไปใหม่ แต่คนไข้ขาดออกซิเจนนานเกินไปจนไม่สามารถยื้อชีวิตคนไข้เอาไว้ได้ ผมเคยมานั่งคิดและทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ทำไมแหนบอันนั้นไม่ถูกตัวผม และทั้งๆ ที่มันตัดกระจกมองหลังจนขาดและยังลอยมาตกที่ข้างหลังผม เคยคิดหลายครั้งแต่คิดไม่ออก หรือจะเป็นเพราะพุทธคุณใน เหรียญหลวงพ่อพาน รุ่น 1 เหรียญเดิมที่ช่วยชีวิตผมอีกครั้งหนึ่ง น่าคิดครับ ”...

นายดาบตำรวจ วิรัตน์ อาจสัญจร
ประสบการณ์น่าตื่นเต้นแบบไม่น่าเป็นไปได้คือ นายกฤษดา พันชู อายุ 38 ปี อยู่ที่ 167 ถนนสุขจิต ต.เกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบฯ มีประสบการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าตนเองชนิดไม่น่าเชื่อว่าพุทธคุณในเหรียญของ หลวงพ่อพาน จะเหนียวขนาดนี้ เรื่องนี้เกิดเมื่อหลายปีก่อน วันที่เกิดเหตุนั้นนายกฤษดาเล่าว่า “ ผมและเพื่อนๆ ลักลอบเล่นไฮโลกันอยู่ที่สายใต้ใหม่ ( ซึ่งปัจจุบันย้ายแล้ว ) ในอดีตเป็นเขตรับผิดชอบของ สน.ตลิ่งชัน แต่ปัจจุบันเป็นเขตรับผิดชอบของ สน.บางยี่ขัน

วันนั้นเป็นเวลาประมาณเกือบเที่ยงคืนพวกผมรวมทั้งเพื่อนผม คนโดนมีดสปาต้าฟันมีอาชีพขับรถทัวร์สายใต้ แต่วันนี้พักงานเลยชวนกันมาทำกิจกรรมยามว่างกันเพื่อผ่อนคลาย ขณะเล่นไฮโลกันเพลินๆ โดยไม่ได้คิดอะไร ส่วนเรื่องตำรวจผมก็มีคนดูต้นทางแล้ว วันนั้นผมยังจำได้ผมนั่งยองๆ เล่นไฮโลกันเป็นวงใหญ่ เพื่อนผมนั่งเล่นอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผม ( แอบเล่นกันอยู่มุมตึก ) และไม่รู้ว่าคู่อริเก่าของเพื่อนผมมันย่องมาจากที่ไหน มันตรงเข้ามาข้างหลังเพื่อนผมที่ไม่ได้คอยระวังตัว มันเอามีดสปาต้าเล่มใหญ่ฟันด้วยมือขวาเต็มแรง ชนิดที่ว่าเอาให้อยู่ในทีเดียว เสร็จแล้วมันกระชากมีดให้เป็นทางยาว ( คือฟันแล้วกระชาก ) กะเอาให้ตาย แต่มันฟันได้ทีเดียวเพื่อนผมมันลุกขึ้นสู้จึงเกิดชุลมุนกันขึ้น แล้วคนที่ฟันก็หลบหนีไป


นายตี๋ ทองบาง (ดำ)
เมื่อเหตุการณ์ปกติผมจึงเข้าดูที่หลังเพื่อนผมคนที่โดนฟัน พบว่า เสื้อเชิ้ตแขนสั้น ( เป็นเสื้อคนขับรถทัวร์ ) ขาดยาว เป็นรอยคมมีดแต่ไม่ระคายผิวเลย มีดสปาต้าฟันหลังเพื่อนผมไม่เข้าเป็นไปได้อย่างไร ผมคิดอยู่ในใจ แผ่นหลังของเพื่อนผมแดงยาวแต่ไม่เข้า ผมจึงล้วงเข้าไปที่คอเพื่อนผมพบว่าเป็น เหรียญหลวงพ่อพาน รุ่น 1 แต่สภาพสึกไม่ค่อยสวย ผมจึงถามว่า “ เอ็งได้มาอย่างไรวะ ” เพื่อนผมมันตอบว่า มันเป็นเด็กที่บ้าน โป่งกะสัง และบวชเณรที่นั่น แต่พระนี่แม่ให้มาแขวนไว้ที่คอนานแล้ว ผมคิดในใจว่าเหนียวจริงๆ และพยายามขอมันแต่มันไม่ให้ ถ้าไม่เชื่อโทร.ไปคุยกับนายกฤษดา พันชู ได้ที่ 08-8542-2591

อุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ นายอนุลักษ์ นกเกิด อายุ 27 ปี อยู่ที่ 16/4 ม.4 ต.หาดขาม อ.กุยบุรี จ.ประจวบฯ ได้เล่าถึงอุบัติเหตุครั้งหนึ่งในชีวิตของตนเอง แทบไม่น่าเชื่อว่าจะรอดกลับมาได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2554 ซึ่งโดยปกติแล้วตนเองประกอบอาชีพซ่อมรถและเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่บ้าน ไม่ได้ทำงานที่ใด ส่วนภรรยาทำงานอยู่ข้างนอก ผมก็จะต้องไปรับ-ส่งที่ถนนเพชรเกษมเป็นประจำ ในวันที่เกิดเหตุเวลาประมาณ 19.30 น. ผมก็ขับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีวิค ทะเบียน กข 829 ประจวบฯ ออกจากบ้านเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเส้นยางชุม-รวมไท มุ่งหน้าสี่แยกยางชุมตัดเพชรเกษม ขับรถมาได้สักครู่เริ่มใช้ความเร็วรถมากขึ้นเพราะถนนรถเริ่มน้อย สักครู่ใหญ่เริ่มใช้ความเร็วประมาณ 120 กม./ชม. จนมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้งได้แตะเบรกนิดหนึ่งเพื่อให้รถเข้าโค้งได้ แต่ผมไม่สามารถที่จะบังคับรถได้ รถจึงแหกโค้งไปฟาดเอาต้นขี้เหล็กขนาดใหญ่ข้างทาง ทำให้รถขาดเป็น 2 ท่อนออกจากกัน แต่ว่าตัวนายอนุลักษ์กลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ มีเพียงบริเวณขาและหัวเข่าที่ถลอกเท่านั้น ส่วนรถยนต์ใช้การไม่ได้เลย ขายเป็นเศษเหล็ก รายนี้บอกว่าถ้าไม่เชื่อก็โทร.ไปคุยได้ที่ 08-9914-2260

เขากล้ายืนยันขนาดนั้นทีเดียว


( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1139 หลวงพ่อพาน สุขกาโม วัดโป่งกะสัง อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตอนที่ 1 ปักษ์หลัง เดือน เมษายน พ.ศ. 2557 ราคาปก 99 บาท )


วันนี้อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้ 


สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า.. 







Available Now!  You can read whenever, wherever with any device.

 BangkokSarn App on Google Play store    Lanpo App on Google play Store    Ookbee Book Shop   Meb Market Book Shop      

#ลานโพธิ์ #หลวงพ่อพาน #วัดโป่งกะสัง #จ.ประจวบคีรีขันธ์