ในบรรดาพระเกจิอาจารย์ชื่อดังทั้งหลายนั้น แน่นอนว่า “ หลวงพ่อกลั่น ” ก็เป็นอีกองค์หนึ่ง ซึ่งไม่เพียงได้รับความเคารพนับถือจากชาว อยุธยา และปริมณฑลเท่านั้น แต่กิตติคุณของท่านยังกล่าวขวัญกันอย่างแพร่หลายไปทั่วประเทศอีกต่างหาก สังเกตได้จากกรณีที่นิตยสารพระเครื่องแทบทุกสำนัก มักจะนำประวัติหรือเรื่องราวเกี่ยวกับท่านมาเสนอกันอย่างค่อนข้างถี่หรือบ่อยกว่าพระเกจิอาจารย์องค์ไหนๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ที่สำคัญก็คือ เหรียญ ( รุ่นแรก ) ของท่าน ยังเป็นที่นิยมกันอย่างเอิกเกริกกว้างขวางตลอดมา โดยมูลค่าในการเช่าหามีแต่จะพุ่งสูงขึ้นอย่างพุ่งพรวดพราด ขนาดนับเป็นตัวเลขถึง 5-6 หลักเข้าไปแล้วก็ว่าได้ ทั้งๆ ที่สามารถนำไปถอยรถใหม่ป้ายแดงได้คันหนึ่ง โดยไม่ต้องพรั่นพรึงหรือนอนสะดุ้งผวากับเรื่องดอกเบี้ยที่บานสะพรั่งแบบตลอดกาล ดังนั้นจึงมิพักต้องสงสัยในความ “ เจ๋ง ” ให้เสียเวลา เพราะราคาที่ว่าถือเป็นคำตอบสุดท้ายได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
![]() |
เหรียญหลวงพ่อกลั่น พิมพ์ขอเบ็ด |
โดยเฉพาะในส่วนของ “ หลวงพ่อกลั่น ” เองนั้นอย่าลืมว่า นอกจากท่านจะเก่งกล้าในเรื่องวิชาอาคมสมกับชื่อของท่านแล้ว ยังเป็นผู้ใฝ่ใจในวิปัสสนาธุระ และเคร่งครัดในพระธรรมวินัยอย่างยิ่งยวดตลอดชีวิต อีกทั้งยังมีเมตตาจิตแบบเสมอต้นเสมอปลายไม่ว่ากับคนหรือสัตว์ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์กันดีโดยเฉพาะในช่วงที่ท่านยังไม่มรณภาพ ประกอบกับวัตถุประสงค์ในการสร้างยังเชื่อได้ว่า มีเจตนาอันบริสุทธิ์และเป็นกุศลอย่างแท้จริง จึงยิ่งทำให้เหรียญของท่านรุ่นนี้มีอิทธิคุณเป็นที่เล่าลือกันสืบมาตราบปัจจุบัน ส่วนเรื่องการปลุกสกนั้นก็มิพักจะต้องพิศวงสงสัยอะไรทั้งสิ้น เพราะตามที่เคยได้ยินได้ฟังมากว่าเหรียญนี้จะถือกำเนิดเป็นรูปเป็นร่าง อย่างที่รู้ๆ เห็นๆ กันอยู่ในปัจจุบันนี้ได้ “ หลวงพ่อกลั่น ” ต้องใช้เวลานิ่งนึกตรึกตรองอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจให้ทำ “ ตามที่แกขอมา ”
![]() |
เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อกลั่น ของหลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ |
จนบรรลุ พ.ศ.2469 ถึงได้ฤกษ์อย่างเหนือคาดฝัน กล่าวคือ “ หลวงพ่ออั้น ” ( ซึ่งขณะนั้นบวชได้ประมาณ 12-13 พรรษา และปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิด “ หลวงพ่อกลั่น ”มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กวัด ) ทนอึดอัดกับสภาพของโบสถ์ “เจ๊กตั๊น” ต่อไปไม่ไหว จึงตัดสินใจกราบเรียนปรึกษาปรารภกับ “ หลวงพ่อกลั่น ” ว่า ตัวท่านขอรับอาสาเป็นแม่งานในการสร้างโบสถ์ใหม่เอง โดย “ หลวงพ่อกลั่น ” ไม่ต้องออกแรงออกปากให้เหนื่อยยากเหมือนครั้งก่อน แต่เนื่องจากเป็นการบอกบุญเรี่ยไรถึง 2 หนซ้อนติดๆ กัน จึงเห็นว่าน่าจะต้องทำเหรียญขึ้นมาสักชุดหนึ่ง เพื่อเป็นตอบแทนหรือเป็นสินน้ำใจให้แก่ผู้ร่วมบริจาคทุนทรัพย์ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างครั้งนี้ และถ้าจะให้ดีควรจะมีรูปของ “ หลวงพ่อกลั่น ” อยู่ด้านหน้า เพราะเชื่อว่ามีคนที่อยากจะได้กันเป็นจำนวนมาก หากเห็นชอบด้วยก็จะทำมาให้ท่านปลุกเสกให้
![]() |
รูปปั้นหลวงพ่อกลั่น (หล่อโดยหลวงพ่ออั้น) ในวิหารที่วัดพระญาติ |
![]() |
หลวงพ่ออั้น คันธาโร วัดพระญาติ ผู้ให้ข้อมูลเรื่องการสร้างเหรียญรุ่นแรก กับสมเด็จมหาธีราจารย์ |
อนึ่ง สำหรับเรื่องชนิดและจำนวนนั้น “ หลวงพ่ออั้น ” ท่านเคยเล่าให้ “ พระมหานิยม ฐานิสฺสโร ” วัดราชบูรณะ กรุงเทพฯ ( ปัจจุบันคือ “ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ” เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม และเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ) ซึ่งเป็นบุตรของน้องสาวแท้ๆ ฟังว่า เหรียญที่สร้างขึ้นมาในคราวเดียวกันนี้มีทั้งหมด 4 ชนิด ด้วยกัน กล่าวคือ
ชนิดแรก ได้แก่ ( ตัว ) เหรียญ ( เป็น ) เนื้อเงิน ( แต่ ) องค์ (“ หลวงพ่อกลั่น ” เป็น ) ทองคำ สร้างจำนวน 12 เหรียญ สำหรับมอบให้ผู้บริจาคปัจจัยเป็นมูลค่า 15 บาท
ชนิดที่สอง ได้แก่ ( ตัว ) เหรียญ ( เป็น ) เนื้อเงิน ( แต่ ) องค์ ( “ หลวงพ่อกลั่น ” เป็น ) นาก สร้างจำนวน 25 เหรียญ สำหรับมอบให้ผู้บริจาคปัจจัยเป็นมูลค่า 10 บาท
ชนิดที่สาม ได้แก่ ( ตัว ) เหรียญ ( และองค์ “ หลวงพ่อกลั่น ”เป็น ) เนื้อเงิน ( ล้วน ) สร้างจำนวน 100 เหรียญ สำหรับมอบให้ผู้บริจาคปัจจัยเป็นมูลค่า 5 บาท
ชนิดที่สี่ ได้แก่ ( ตัว ) เหรียญ ( และองค์ “ หลวงพ่อกลั่น ” เป็น ) เนื้อทองแดง ( ล้วน ) สร้างจำนวน 3,000 เหรียญ สำหรับมอบให้ผู้บริจาคปัจจัยมูลค่า 1 บาท
![]() |
หลวงพ่อกลั่นถ่ายร่วมกับ (องค์ขวามือของหลวงพ่อกลั่น) หลวงพ่อเรื่อง วัดประดู่ทรงธรรม (พระวิสุทธาจาร) |
อนึ่ง อย่าลืมว่าค่าของเงินในสมัย 80 ปีก่อนนั้นสูงกว่าในปัจจุบันนับเป็น 100 เท่าก็ว่าได้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เหรียญ “ หลวงพ่อกลั่น ” ทั้ง 4 ชนิดดังกล่าวมา จะมีราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 1 บาทเท่านั้น ทั้งนี้เพราะในสมัยที่ว่า สามารถแตกเงิน 1 บาท ออกเป็นเหรียญย่อยได้ถึง 100 สตางค์ ทั้งยังนำไปซื้อของกินของใช้ได้สารพัดชนิด ต่างจากทุกวันนี้ที่แทบจะหาค่าอะไรไม่ได้ ขนาดให้คนขอทานยังถูกมองหน้า ประหนึ่งว่าดูถูกดูแคลนเขากระนั้น
เพราะฉะนั้นเงินจำนวน 5,000 บาท ( เศษๆ ) ซึ่งได้จากการบริจาค ( เพราะอยากได้เหรียญรุ่นนี้ ) ของชาวบ้านในครั้งนี้จึงมีมูลค่าพอที่จะบันดาลให้โบสถ์ทั้งหลังสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยมี “ หลวงพ่ออั้น ” เป็น “ หัวเรือใหญ่ ” ทั้งในเรื่องการหาปัจจัยและดูแลการก่อสร้างอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหา “ ข้าถูกหลอก ” เหมือนครั้งก่อน โดยในขั้นตอนแรกเลยนั้นท่านได้ขอแรงชาวบ้านให้มาช่วยกระทุ้งพื้นดินจนอัดแน่น แล้วก่อครองรากขึ้นมารับหน้าต่างและเครื่องบนอย่างมั่นคงแน่นหนา สำหรับฝาผนังก่ออิฐถือปูน ส่วนหลังคามุงด้วยกระเบื้องดิน มีประตู 4 ช่อง หน้าต่าง 10 ช่อง
ทำให้ทั้งพระภิกษุ-สามเณรและญาติโยมทั่วไป สามารถใช้ประกอบสังฆกรรมหรือบำเพ็ญศาสนกิจสืบมาอย่างปลอดโปร่งโล่งใจ เพราะไม่ต้องนั่งสวดมนต์พลาง แหงนมองหลังคาพลางอย่างเมื่อก่อน ทั้งโบสถ์หลังนี้ยังสถาวรตลอดมาจนถึงสมัย “ หลวงพ่ออั้น ” ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อจาก “ หลวงพ่อกลั่น ” ที่มรณภาพด้วยโรคชรา เพิ่งจะมาได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่อีกครั้ง ดังที่เห็นๆ กันอยู่ในปัจจุบัน ก็เมื่อราวกึ่งพุทธกาลหรือ พ.ศ.2500 นี่เอง
![]() |
หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม |
![]() |
พระญาณไตรโลก (อาจ) วัดศาลาปูน |
![]() |
สมเด็จมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม (นิยม ฐานิสสโร) หลานหลวงพ่ออั้น วัดพระญาติ |
1. พระญาณไตรโลก ( อาจ ) วัดศาลาปูน ( ซึ่งต่อมาได้เลื่อนเป็น “ ชั้นเทพ ” ในนามเดิม แล้วเลื่อนเป็น พระธรรมราชานุวัตร ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ “ เมืองกรุงเก่า ” และเจ้าคณะมณฑลฯ ตามลำดับ )
![]() |
พระครูสังฆรักษ์เฉลิม เขมทัสสี เจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม องค์ปัจจุบัน |
3. พระสุวรรณวิมลศีล ( หนู ) วัดสุวรรณดาราราม
4. พระครูนิเทศธรรมกถา ( พัน ) วัดบ้านสร้าง
5. พระครูพุทธวิหารโสภณ ( อ่ำ ) วัดหน้าพระเมรุฯ ( ซึ่งต่อมาได้เลื่อนเป็นพระราชาคณะในนามเดิม แต่ได้ภายหลังลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดดังกล่าว กลับมาจำพรรษาที่วัดวงฆ้องซึ่ง พระครูธรรมิกาจารคุณ หรือ “ หลวงพ่อฟัก ” ส่งไปอยู่ ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นฐานานุกรมที่ “ พระสมุห์ ” )
6. พระครูอุเทศธรรมวินัย ( ชม ) วัดพุทไธศวรรย์ ( องค์นี้ก็เคยอยู่วัดธรรมิกราช และเป็นลูกศิษย์ “ หลวงพ่อฟัก ” เช่นกัน )
ส่วน พัดรองอีกด้ามหนึ่ง ซึ่งตั้งคู่กันนั้น ก็น่าจะได้รับพระราชทานในงานหรือพระราชพิธีที่เกี่ยวเนื่องกับเจ้านายหรือพระบรมวงศานุวงศ์องค์ใดองค์หนึ่ง ซึ่งแม้จะไม่อาจระบุให้แน่นอนชัดเจนตรงนี้ได้ แต่ตรงใจกลางพัดซึ่งประกอบด้วยอักษร 2 ตัว อันได้แก่ “ ส ” กับ “ น ” ( และสระ “ อุ ” ) ซึ่งอาจจะหมายถึง “ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ” หรือ “ พระอัครชายาเธอ กรมขุนสุทธาสินีนาถ ” ( ต่อมาทรงได้รับการสถาปนาเป็น พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาถ ปิยมหาราปดิวรัดา ) ก็ได้ เพราะ “ จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ” ได้บันทึกไว้ว่า “ รัชกาลที่ 5 ” ได้จัดงานพระราชทานทั้งสององค์นี้ ที่พระราชวังบางปะอินเหมือนกัน และพระองค์ท่านได้โปรดฯให้อาราธนา “ พระราชาคณะ ฐานานุกรมเปรียญ และเจ้าอธิการในกรุงเก่า ไปสวดพระพุทธมนต์ถวายพระธรรมเทศนา และรับพระราชทานฉัน ” และที่สำคัญในงานดังกล่าวนี้ นอกเหนือจากจะมีจตุปัจจัยไทยธรรมเหมือนทั่วไป ยังได้พระราชทาน “ พัดรอง ” ที่ระลึกแก่บรรดาพระสงฆ์อีกต่างหากด้วย

นอกจากนี้ยังรวม วัตถุมงคล ที่มีรูป หลวงพ่อกลั่น ซึ่งสร้างในรุ่นหลังๆ ทั้งของ วัดพระญาติ และวัดอื่นๆ มากมาย มารวมไว้ในเล่มนี้
พระเกจิอาจารย์ ร่วมสมัย หลวงพ่อกลั่น ที่มีความสัมพันธ์กันมีกี่องค์นำมารวมไว้ทั้งหมด อ่านเล่มเดียว รู้เรื่องเกจิอาจารย์ อยุธยา ชั้นยอดเกือบทั่วเมือง พิมพ์สี่สีทั้งเล่ม เย็บกี่อย่างดี ปกอ่อนราคา 399 บาท
ป้องกันการพลาดหวัง สั่งซื้อได้ที่ นิตยสาร ลานโพธิ์ 912/2 ซอยพระรามหกที่ 21 ถนนพระรามหก แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทร.0-2613-7140-8 ธนาณัติสั่งจ่าย ไปรษณีย์อุรุพงษ์ 10405 ระบุชื่อผู้รับเงิน นิตยสาร ลานโพธิ์
อ่านแล้วคุ้มค่า คุ้มราคา ไม่เสียเวลาอ่าน
( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1029 พระอุปัชฌาย์กลั่น ธมฺมโชติ วัดพระญาติการาม จ.อยุธยา สุดยอดพระเกจิแห่งเมืองกรุงเก่า ตอนที่ 1 ภาพและเรื่องโดย..เมธี ไทยนิกร ปักษ์หลัง เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2552 ราคาปก 50 บาท )
วันนี้! อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้
สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า..