เรื่องโดย ขวัญทอง สอนศิริ (โจ้ พิษณุโลก) “ คนดีศรีพิษณุโลก ”
ภาพโดย ธนากร บุญสุวรรณโณ และ ปัญญา จูจันทร์

พิษณุโลก หรือ เมืองสองแคว แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนประวัติ ศาสตร์ ราชธานีสองแผ่นดิน ชาวพิษณุโลกมีวิถีชีวิตอันดีงามที่ผูกพันอยู่กับแม่น้ำ 6 สาย คือ สายน้ำน่าน หรือเรียกกันว่า แควใหญ่, แม่น้ำยม, แม่น้ำวังทอง (ลำน้ำเข็ก แม่น้ำ สายน้ำตกงาม 7 แห่ง), แม่น้ำชมพู ( คลองวังชมพู ), แม่น้ำเหือง ( พรมแดนไทยกับลาว ที่ อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก และ อ.นาแห้ว จ.เลย ) และ แม่น้ำแควน้อย หรือเรียกว่า แม่น้ำน้อย ปรากฏความตอนหนึ่งในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ ( เจิม ) ว่า “ ในเดือนยี่ ปี พ.ศ.๒๓๑๓ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จนมัสการและทรงเปลื้องพระภูษาจากพระองค์ทรงพระชินราชเจ้า แล้วเสด็จประทับแรม 9 ราตรี ทรงรับสั่งให้ทัพบกพระยายมราชยกไปตีไปปราบ ชุมนุมเจ้าพระฝาง ( เรือน ) เมืองพระฝางสวางคบุรี ( ต.ผาจุก อ.เมืองอุตรดิตถ์ ) แล้วทรงตัดว่าเราจะยกทัพเรือขึ้นไป บัดนี้น้ำยังน้อยตลิ่งสูงยังอยู่สูง อ้ายพวกเหล่าร้ายจะได้ท่วงทีลอบยิงเอา แต่ว่าไม่ช้าดอก แล้วพอทัพบกข้ามแม่น้ำน้อยเสียได้ สามวันน้ำก็เกิดขึ้น เดชะบารมีบรมโพธิสมภาร ครั้นถึงสามวันน้ำก็เกิดมากเสมอตลิ่งบ้าง ล้นตลิ่งประดุจตรัสไว้นั้น ”
 |
รูปหล่อโบราณหลวงพ่อแจง วัดเกาะแก้ว พ.ศ.2493 (1 อุด) |
 |
รูปหล่อโบราณหลวงพ่อแจง วัดเกาะแก้ว พ.ศ.2493 (2 อุด พิมพ์นิยม) |
หรือเรียกว่า แม่น้ำโทก ใน ศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม สมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นที่ 77 ได้กล่าวถึงทำเนียบเมือง 194 เมืองว่า ทิศเหนือ “ ...เมืองชาตกาล เมืองนครไทย และเมืองด่านซ้าย สุดน้ำโทก... ” หรือใน นิราศเมืองหลวงพระบาง ซึ่ง นายร้อยเอกหลวงทวยหาญรักษา ( เพิ่ม ) แต่งขึ้น เมื่อคราวรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้ จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ( เจิม แสง-ชูโต ) เมื่อครั้งเป็น เจ้าหมื่นไวยวรนาถ แม่ทัพใหญ่ ไปปราบฮ่อเมืองหลวงพระบาง รัตนโกสินทร์ศก 104 พุทธศักราช 2428 แต่งเป็นคำกลอนกล่าวถึงการเดินทัพพรรณนาสถานที่ เหตุการณ์ต่างๆ ปรากฏความตอนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับคำว่า ปากโทก ว่า “ ... ถึงปากโทกมีทางลัดท้องนที ไปธานีนครไทยได้ดังจง... ” แม่น้ำแควน้อย มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหลวงพระบาง และเทือกเขาเพชรบูรณ์ ในเขตอำเภอนครไทย จ.พิษณุโลก ซึ่งเชื่อกันว่าคือ เมืองบางยาง ของ พ่อขุนบางกลางท่าว ภายหลังอ่านใหม่ ในปี พ.ศ.2519 ว่า พ่อขุนบางกลางหาว หรือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พระปฐมกษัตริย์ผู้สร้างอาณาจักรสุโขทัย สถาปนาความเป็นไทยอย่างเป็นทางการ
 |
รูปหล่อโบราณหลวงพ่อแจง วัดเกาะแก้ว พ.ศ.2493 (3 อุด) |
 |
รูปหล่อโบราณเปียกทอง หลวงพ่อแจง วัดเกาะแก้ว พ.ศ.2493 ไม่มีอุด |
ในปี พ.ศ.1792 ไหลมาบรรจบกับ แควใหญ่ หรือในภายหลังเรียกว่า แม่น้ำน่าน ที่ ปากโทก บริเวณ หน้าวัดเกาะ ซึ่งมีบุ่งน้ำ หรือแนวคลอง ลำรางธรรมชาติ ที่เกิดจากร่องที่ชาวบ้านต้อนฝูงวัว ฝูงควายลงไปกินน้ำที่ท่าเหนือวัด จนเกิดเป็นร่องยาวขนาดใหญ่ ยามน้ำหลากก็เอ่อล้นเข้ามาในร่อง หรือฝนตกชุกก็จะมีน้ำขังจนลึก เป็นเสมือนคลองล้อมเกือบรอบวัด บริเวณวัดจึงมีลักษณะคล้ายเป็นเกาะ จึงเรียกว่า วัดเกาะ ภายหลังเรียกเป็น วัดเกาะแก้ว หมู่ 4 บ้านปากโทก ต.จอมทอง ( ดนตรีพื้นบ้าน วงมังคละ ลือชื่อ ) อ.เมืองพิษณุโลก แล้วไหลรวมกันกลายเป็น แม่น้ำน่าน ไหลผ่านใจกลางเมือง พิษณุโลก แบ่งตัวเมืองออกเป็นสองฟากฝั่ง จึงเป็นภูมินามของเมือง พิษณุโลก อีกนามว่า “ เมืองอกแตก ” มาจนทุกวันนี้
 |
บานประตู หน้าต่าง ลายรดน้ำ และปูนปั้น ซุ้มประตูรูปพญานาค และวิหคสกุณา อันงดงาม |
เมืองพิษณุโลก เคยเป็นราชธานีของสยามประเทศถึง 2 สมัย กล่าวคือ ในรัชสมัย พระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือ พระยาลิไท กรุงสุโขทัย เสด็จมาประทับที่ เมืองสรลวงสองแคว เพื่อป้องกันมิให้อาณาจักรทางตอนใต้ ( อยุธยา ) มารุกรานกรุงสุโขทัย เป็นเวลา 7 ปี ( พ.ศ.1905-1912 ) และในรัชสมัย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสด็จมาประทับ ณ เมืองพิษณุโลก นาน 25 ปี (พ.ศ.2006 ถึง 2031) เพื่อป้องกันศึกจาก พระเจ้าติโลกราช ล้านนา มารุกรานเมืองเชียงชื่น ( หรือ เมืองเชลียง หรือ เมืองศรีสัชนาลัย ) และทรงเปลี่ยนชื่อเมืองจาก สรลวงสองแคว ตามจารึกสุโขทัย เป็น เมืองพระพิศณุโลก พิษณุโลก เป็น ถิ่นพระราชสมภพของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ พระราชวังจันทน์ ในปี พ.ศ.2098 พิษณุโลกเป็นเมืองนักรบกล้ามาแต่โบราณกาล ความดำรงอยู่ของ พิษณุโลก คือ ความมั่นคงปลอดภัยของกรุงศรีอยุธยามาแต่อดีต พิษณุโลกเป็นเมืองที่มีพระบรมราชานุสาวรีย์ และพระบรมรูปพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า 100 กว่าแห่ง พิษณุโลก เป็นดินแดนต้นกำเนิดสกุลพระกริ่งนเรศวรของประเทศไทย พิษณุโลก เป็นเมืองที่มีธรรมชาติอันงดงามของป่า เขา ถ้ำ และน้ำตกอันหลายหลาก รวมทั้งชาว พิษณุโลก มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสืบต่อกันมานับแต่ยุคทวาราวดีสืบมา
 |
ภาพเก่าแม่น้ำน่านไหลผ่านใจกลางเมืองพิษณุโลก มีเรือ และเรือนแพจอดเรียงรายสองฟากฝั่ง |
จวบจนปัจจุบันกาล พิษณุโลก จึงเป็นเมืองที่มีโบราณวัตถุ โบราณสถาน ศิลปวัตถุ อันได้แก่ พระเครื่อง พระพิมพ์ อันเป็น อุเทสิกเจดีย์ในพระพุทธศาสนา บรรจุกรุอยู่ในพุทธสถาน อารามต่างๆ กว่า 30 กรุ ที่ขึ้นชื่อลือชา คือ พระพิมพ์นางพญา พระพุทธชินราชใบเสมา พระลีลาอัฏฐารส เป็นต้น และ พิษณุโลก เป็นเมืองที่มี พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไป รวม 9 อำเภอ กว่า 108 อาราม โดยเฉพาะ พระพุทธชินราช สุดยอดพระพุทธปฏิมากรศักดิ์สิทธิ์ที่มีพุทธลักษณะงดงามเป็นหนึ่งในสยาม รวมทั้งพิษณุโลกยังเป็นเมืองที่มี พระเกจิอาจารย์ พระเถราจารย์ ผู้ทรงวิทยาคุณ ผู้เป็นรัตตัญญู เป็นที่เจริญศรัทธาปสาทนีย ของพุทธศาสนิกชนทั่วไปมาแต่อดีต สืบต่อกันมาจวบจนปัจจุบันหลายรูป ตลอดจนมีพระเครื่อง อันเป็นรัตนมงคล และมงคลวัตถุที่พระเถราจารย์เมืองพิษณุโลกสร้างและเสกไว้เป็น ศิลปวัตถุสำคัญ ในพระพุทธศาสนา อันเป็นมรดกวัฒนธรรมของเมืองที่น่าภาคภูมิใจเป็นยิ่งนัก อันบ่งบอกถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ เป็นพื้นฐานของศิลปวัฒนธรรมอันดีงามในวิถีชีวิตไทยอีกวิถีทางหนึ่ง
 |
ปากน้ำแควน้อยไหลบรรจบแม่น้ำน่าน หน้าวัดเกาะแก้ว |
 |
แม่น้ำแควน้อย (สีขุ่น) ไหลบรรจบแม่น้ำน่าน (สีใส) ที่หน้าวัดเกาะแก้ว |
หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ หมวดแจง ธมฺมโชโต วัดเกาะแก้ว ปากโทก พิษณุโลก
หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์หมวดแจง ธมฺมโชโต เป็นพระอมตเถราจารย์ผู้มีบุญฤทธิ์จิตตานุภาพยิ่งรูปหนึ่งของเมือง พิษณุโลก เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนในย่านสองลุ่มน้ำ คือ ลุ่มน้ำน่าน และ ลุ่มน้ำแควน้อย ทั้งเขต จังหวัดพิษณุโลก และใกล้เคียงเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตะกรุดพวงสาม ที่หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์แจง ธมฺมโชโต ท่านได้สร้างและเสกขึ้น มีชื่อเสียงเกียรติคุณเป็นที่ปรากฏกล่าวขานเลื่องลือในความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์มาเป็นเวลายาวนานกว่า 90 ปี ถือ ว่าเป็นสุดยอดตะกรุดดังของเมือง พิษณุโลก ที่มากด้วยประสบการณ์ พุทธคุณเป็นที่ประจักษ์ในด้านแคล้วคลาดคงกระพันเป็นยิ่งนัก มีอัตลักษณ์เฉพาะตนโดยเฉพาะ จึงเป็นที่นิยมแสวงหาและหวงแหนกันมากของผู้มีไว้สักการบูชาเป็นยิ่งนัก จึงมีตะกรุดพวงสามของฝีมือออกแพร่ระบาดกันมากในเมือง พิษณุโลก มายาวนาน และ หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์หมวดแจง ธมฺมโชโต มีศิษย์ผู้สืบทอดพุทธาคมเป็นพระเกจิอาจารย์มีชื่อเสียงทั้งในเขต จังหวัดพิษณุโลก และสุโขทัยจำนวนหลายองค์
 |
ตะกรุดพวงสาม หลวงพ่อแจง วัดเกาะแก้ว (บุรุษ) |
หลวงพ่อแจง ธมฺมโชโต เกิดวันพฤหัสบดี ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2425 ( เกิดปีเดียวกับ หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา มรณภาพ พ.ศ.2507 และ พระสุเมธีวรคุณ หลวงพ่อเปี่ยม จนฺทโชโต วัดเกาะหลัก จ.ประจวบคีรีขันธ์ มรณภาพ พ.ศ.2492 ) เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวนพี่น้อง 6 คน ของ นายเทียน นางเรียบ ทองถื่อน ภูมิลำเนาเดิม บ้านปากโทก หมู่ 4 ต.จอมทอง อ.เมืองพิษณุโลก ( ซึ่งแต่เดิม บ้านปากโทก ขึ้นกับ ตำบลบ้านปากโทก เนื่องจากอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน ในภายหลัง พระราชรัตนรังษี ( ทองปลิว โสรโต ) เจ้าคณะ จังหวัดพิษณุโลก และเจ้าอาวาสวัดจอมทอง จึงเดินเรื่องขอโอนย้าย บ้านปากโทก และ บ้านท่าตะเคียน ( แสงดาวตะวันตก ) ให้มาขึ้นอยู่ในเขต ตำบลจอมทอง
 |
ตะกรุดพวงสาม หลวงพ่อแจง วัดเกาะแก้ว พิษณุโลก |
 |
มหากระดอนพวงสาม หลวงพ่อแจง เทียบกับ พวงสาม หลวงพ่อเทพ (ศิษย์) |
ส่วน ตำบลบ้านปากโทก ปัจจุบันคงเหลือแค่ ตำบลปากโทก ( ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน ) ซึ่งเป็นบริเวณปากทางสามแยกของ แม่น้ำแควน้อย ไหลมาบรรจบกับ แม่น้ำแควใหญ่ หรือ แม่น้ำน่าน ก่อให้เกิดเป็น ตำนานเมืองสองแคว เป็นชุมทางเส้นทางคมนาคมทางน้ำจาก พิษณุโลก ไปตามแม่น้ำน่านขึ้นเหนือไปสู่ อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก และ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ หรือแยกไปตามแม่น้ำแควน้อยไปสู่บ้านไผ่ค่อม ( หลวงพ่อเขียน มธุรส ) บ้านทองหลาง ต.มะขามสูง บ้านแควน้อย ต.หอกลอง อ.พรหมพิราม อ.วัดโบสถ์ ถึงเขตพื้นที่ตำบลคันโช้ง ก่อนถึงที่ตั้งเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน แล้วต้องขึ้นบกเดินเท้าต่อ เนื่องจากเป็นเขาสูงมีแก่งหินขวาง เรือเดินต่อไปไม่ได้ อาทิ แก่งเจ็ดแคว แก่งคันนา แก่งเดาเหล็ก เป็นต้น จนพ้นเขาสูงจึงลงสู่ที่ราบจึงไปลงเรือ หรือเดินเท้าต่อไปยังอำเภอชาติตระการ-อำเภอนครไทย หรือเมืองบางยาง โยมบิดา-มารดาของหลวงพ่อแจงมีเรือมอญ ค้าขายพืชผลการเกษตรและทำนา คาดว่าบรรพชนของท่านน่าจะย้ายมาจากลุ่มน้ำภาคกลาง มาตั้งรกรากใหม่ที่ปากโทก เนื่องจากเป็นปากน้ำชุมทางการสัญจรของคน 2 ลุ่มน้ำมาแต่โบราณกาล จึงมีเรือมอญมาจอดซื้อข้าวเปลือกกันเป็นจำนวนมาก ยาวไปจนเกือบถึงบ้านจอมทอง ซึ่งมีโรงสี 1 แห่ง และมีคนจีนอพยพมาอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมี กุลี หรือ กรรมกร แบกข้าวขึ้นเรือในย่านนั้นมาก
 |
อุโบสถวัดเกาะแก้ว ที่หลวงพ่อแจงสร้างขึ้น และได้รับการบูรณะใหม่คู่กับวิหารและเจดีย์ 4 ทิศ |
 |
มณฑปรูปหล่อหลวงพ่อแจง วัดเกาะแก้ว พิษณุโลก |
สามเณรแจง เหล่ากอของสมณะ
ในปฐมวัย โยมบิดา-มารดาได้พาไปบรรพชาเป็นสามเณรศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นที่สำนัก พระครูเลี่ยม วัดแสงดาว ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน ต.บ้านปากโทก เมืองพิษณุโลก ( ภายหลังปรับเป็น ต.ปากโทก จนปัจจุบัน ) จริงแล้ว พระครูเลี่ยม ตามคำเรียกขานของชาวบ้านสืบต่อกันมา มีสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร 1 ใน 4 รูปของเมืองพิษณุโลก ปรากฏนามพระสมณศักดิ์ใน หนังสือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ( พระชินราช ) ของ พระราชมุนี ( เข้ม ธมฺมสโร ป.ธ.6 ) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์กรุงเทพฯ ลงวันที่ 8 สิงหาคม ร.ศ.120 (พ.ศ.2444) ถึง เจ้าคุณพระยาวุฒิการบดี ศรีสุทธิสาสนวโรประการอธิบดีกรมสังฆการี แลปลัดทูลฉลอง กระทรงธรรมการ
กล่าวถึงรายนามพระสงฆ์สมณศักดิ์เมืองพิษณุโลก 28 รูป ที่ พระราชมุนี (เข้ม พุทธสโร) มาตุภูมิเดิม บ้านโรงช้าง พิจิตร ในพระราชปรารภ รัชกาลที่ 5 ทรงกล่าวว่า
 |
หลวงพ่อสำริด พระประธาน อุโบสถเก่าวัดแสงดาว ที่หลวงพ่อแจงอุปสมบท พ.ศ.2445 |
“ ...ได้นิมนต์ พระราชมุนี ( เข้ม ) เป็นประธานดำเนินการฝ่ายสงฆ์ที่เมืองพิษณุโลกในการปั้นหุ่นและถ่ายแบบหล่อพระพุทธชินราชจำลองนั้น ทั้งนี้ให้ขึ้นมาอยู่จำพรรษาที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก พร้อมพระเปรียญ 3 รูป พระพิธีธรรม 1 รูป รวมเป็น 5 รูป และ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอธิษฐาน ถวายเทียนชนวนให้ พระราชมุนี ( เข้ม ) จุดเทียนไชย ในวันที่ 17 ตุลาคม ร.ศ.120 ( พ.ศ.2444 ) เวลาเช้า ย่ำรุ่ง 52 นาที ) และ พระปรากรมุนี ( เปลี่ยน ) เจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ( วัดใหญ่ ) และเจ้าคณะใหญ่เมืองพิษณุโลก ได้ร่วมกันคัดเลือก และซักซ้อม พระสงฆ์สมณศักดิ์ ที่จะเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญท้องภาณ ในการพระราชพิธีหล่อพระพุทธชินราช ( จำลอง ) จำนวน 28 รูป ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพระราชพิธี เพื่ออัญเชิญไปประดิษฐานที่พระอุโบสถหินอ่อน วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพฯ
 |
หลวงพ่อดำ พระพุทธรูปเสี่ยงทายศักดิ์สิทธิ์ สมัยอยุธยา คู่วัดแสงดาว |
ในระหว่างวันที่ 16 ถึง 20 ตุลาคม พ.ศ.2444 ดังนี้ คือ ลำดับที่ 1 คือ พระครูสังฆปาโมกข์ ( พ่วง ) วัดน้อย ลำดับที่ 2 พระครูสังฆานัติกพิษณุโลกาจารย์ ( ตุ้ม ) เป็น เจ้าอาวาสวัดราชบูรณ ( ภายหลังเขียน วัดราชบูรณะ ) ลำดับที่ 3 พระครูอักษรเนติพิสัย ( อ่อน ) วัดนางพระยา ( พระครูอ่อน สำนักเดิมอยู่ วัดอนงคาราม ธนบุรี เป็นพระเชี่ยวชาญในการสอนภาษาไทย สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้นิมนต์พระครูอ่อนขึ้นมาตั้งโรงเรียนภาษาไทยที่มณฑลพิศณุโลก ในปี พ.ศ.2438 เรียกว่า โรงเรียน ก ข นะโม ตั้งครั้งแรกที่วัดนางพระยา และยกฐานะเป็น โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลพิศณุโลก ในปี พ.ศ.2442 และพัฒนามาเป็น โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ในปัจจุบัน และในภายหลังได้สมณศักดิ์ที่ พระครูโลภเชษฐชินราชบริบาล คณาจารย์พิษณุโลก ที่สังฆปาโมกข์ เป็น เจ้าคณะใหญ่เมืองพิศณุโลก ต่อจาก พระปรากรมมุนี ( เปลี่ยน ) ในสมัยรัชกาลที่ 5 ( ปรากฏในเอกสารหนังสือตำนานพระอาราม และ ทำเนียบสมณศักดิ์ พิมพ์แจกในงานศพ เจ้าพระยาวิชิตวงษ์วุฒิไกรฯ ( ม.ร.ว.คลี่ สุทัศน์ ) องค์มนตรี และรัฐมนตรี พ.ศ.2457 )
และลำดับที่ 4 พระครูพรหมพิรามพิทักษ์ ( เลี่ยม ) วัดแสงดาว
 |
รูปหล่อหลวงพ่อแจง วัดเกาะแก้ว พิษณุโลก หล่อก่อนมรณภาพ |
 |
รูปหล่อหลวงพ่อแจง วัดเกาะแก้ว ที่หลวงพ่อลงแผ่นเงินและแผ่นทองเหลือง รวม 5 แผ่น ให้เจ้าคุณพระราชรัตนรังษี นำไปหล่อที่โรงหล่อกรุงเทพฯ ก่อนมรณภาพในปี พ.ศ.2493 |
ชุมชนแสงดาว ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน ใต้บ้านปากโทกมาในราว 1 กิโลเมตร เป็นชุมชนโบราณและรกร้างไป เนื่องจากเป็นเส้นทางเคลื่อนทัพจากเมืองเหนือมาตีเมือง พิษณุโลก มาแต่อดีต อาทิ พ.ศ.2310 ชุมนุมเจ้าพระฝาง (เรือน) หรือ พระยากุลเถร เมืองพระฝางสว่างคบุรี ยกทัพมาล้อมตีเมือง พิษณุโลก ( พระอินทร์อากร น้องชาย พระยาพิษณุโลก ( เรือง ) เจ้าชุมนุมพิษณุโลก ) นาน 7 เดือน และยกทัพมาตีครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2312 เป็นต้น จึงทำให้วัดและชุมชนโบราณริมน้ำน่านตอนเหนือเมืองพิษณุโลกได้รับผลกระทบ ชุมชนเบาบางรกร้างไปในบางห้วงเวลา
 |
ความงดงามของปูนปั้น ลงสีฝุ่นประดับเครื่องถ้วย รูปวิหคสกุณา และนาค ที่วิหารวัดเกาะแก้ว |
 |
ปูนปั้นลงสีฝุ่นประดับกระเบื้องสี ตอน พระพุทธเจ้าเปิดโลก ที่หน้าบันวิหารโบราณ ที่หลวงพ่อแจงสร้าง |
ต่อมาในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จึงมี ชาวเวียงจันทน์ อพยพผ่าน เมืองนครไทย หรือ เมืองบางยาง ( ตามจารึกสุโขทัย หลักที่ 2 หรือจารึกวัดศรีชุม บรรทัดที่ 22 ) ซึ่งเป็นชุมชนโบราณที่ปรากฏร่องรอยความเจริญของมนุษย์สืบต่อกันมานับแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ยุคหิน ปรากฏพบ ขวานหินกะเทาะ ขวานหินขัด ( ขวานฟ้า ) จำนวนมาก และปรากฏพบ ศิลปะผนังถ้ำ ยุคโลหะ ในเขตอำเภอนครไทย-ชาติตระการ มากถึง 4 แห่ง ซึ่งเป็นการพบ ศิลปะผนังถ้ำมากที่สุดในประเทศไทย และพบหลักฐานทางโบราณคดีร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาจนยุคทวารวดี ยุคลพบุรี และยุคก่อนสถาปนากรุงสุโขทัย ในปี พ.ศ.1791 มีคูน้ำคันดินสามชั้น เป็น ตรีบูร บนพื้นที่ 142 ไร่ ริมแม่น้ำแควน้อยมีป่ายางอุดมสมบูรณ์ มี น้ำมันยาง, ไต้ และ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากต้นยาง เป็นสินค้าพื้นเมืองมาแต่โบราณ ) เมืองนครไทย เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญระหว่าง กรุงศรีอยุธยา กับ กรุงศรีสัตนาคนหุต ( สปป.ลาว ) มานับแต่โบราณกาล
 |
พระบรมราชานุสาวรีย์ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก |
 |
พระบรมรูป พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) วัดพระศรีรัตนมหาธาตุฯ พิษณุโลก |
 |
พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระราชวังจันทน์ พิษณุโลก |
 |
ภาพหลวงพ่อแจง วัดเกาะแก้ว สมัยบรรพชาเป็น สามเณร |
ชาวเวียงจันทน์ได้อพยพลงมาตามลำน้ำแควน้อย มาตั้งชุมชนที่บริเวณวัดร้างชุมชนโบราณที่ราบลุ่มริมแม่น้ำน่านแห่งนี้ ซึ่งเป็นบริเวณสามารถมองเห็นแสงดาวในยามราตรีได้แจ่มชัด เห็นดวงดาวสุกสกาวสว่างแจ่มใสสวยงามยิ่ง เสมือนอยู่ใกล้จนแทบจะสามารถเอามือไขว่คว้าดวงดาวได้ จึงเรียกกันว่า บ้านแสงดาว มาจนทุกวันนี้ และมีการบูรณะสร้างวัดประจำชุมชนขึ้น ทั้งสองฝั่งแม่น้ำน่านเรียกว่า วัดแสงดาว กับ วัดแสงดาวตะวันตก ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น วัดท่าตะเคียน จนปัจจุบัน
 |
ภาพปากโทก ปากน้ำหน้าวัดเกาะแก้ว ในปี พ.ศ.2500 ยังปรากฏมีเรือจอดเรียงราย |
และมีการพบพระพุทธรูปโบราณลักษณะ พระศรีอริยเมตไตรย ขนาดหน้าตัก 7 นิ้ว หนักประมาณ 16 กิโลกรัม เนื้อโลหะสำริด มีคราบรักสีดำตลอดทั้งองค์ จึงนิยมเรียกกันว่า หลวงพ่อดำ มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นยิ่งนัก ( ภายหลังพัด หรือตาลปัตรในมือ ขวาสูญหายไป ) มีมุขปาฐะ ที่คนแต่โบราณเล่าขานว่า เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อธิษฐานยกเสี่ยงทายความสำเร็จมาแต่ครั้งสมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเป็นพระอุปราชครองเมือง พิษณุโลก นับแต่ปี พ.ศ.2114 และหลวงพ่อดำได้ถูกขโมยไปจากวัดแสงดาวถึง 5 ครั้ง แต่ให้มีเหตุอาถรรพ์ให้โจรนำมาทิ้งคืน และได้คืนทุกครั้งไป เป็นที่อัศจรรย์เป็นยิ่งนัก จึงเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไปมาสักการบูชาได้ลาภยศกันเป็นนิจ และพบ พระพิมพ์ยอดธงพุทธศิลป์สกุลอยุธยา เนื้อทองคำ เนื้อเงิน จำนวนหนึ่งที่เนินอิฐเจดีย์เก่าวัดแสงดาว ในราวปี พ.ศ.2520
ในปฐมวัยหลวงพ่อแจงได้ตามบิดา-มารดา ซึ่งมี เรือมอญ ซื้อข้าวหรือพืชผลการเกษตรล่องไปที่ปากน้ำโพ และลุ่มน้ำเจ้าพระยา แล้วบรรทุก โอ่ง อ่าง และสินค้าอื่นๆ กลับมาขาย นับแต่ก่อนบรรพชาเป็นสามเณร และขณะเป็นสามเณร ท่านจึงได้มีโอกาสแวะกราบขอพร หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ แห่งสำนัก วัดบางคลาน อำเภอบางคลาน เมืองพิจิตร ซึ่งมีชื่อเสียงเกียรติคุณยิ่งในลุ่มน้ำน่าน ลุ่มน้ำยมในย่านนั้น ในสมัยนั้นหลวงพ่อเงิน บางคลาน น่าจะมีอายุในราวๆ 70 ถึง 80 ปีเศษๆ จึงนับว่าเป็นบุญของหลวงพ่อแจงที่ได้มีโอกาสกราบนมัสการขอพรหลวงพ่อเงิน บางคลาน สุดยอดพระอมตเถราจารย์แห่งยุค เป็นพื้นฐานเบื้องต้นของความเจริญรุ่งเรืองในธรรมสมณเพศมาแต่ครั้งปฐมวัย
( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1152 ปักษ์แรก เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 : หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์หมวดแจง ธมฺมโชโต วัดเกาะแก้ว ปากโทก ตำบลจอมทอง อำเภอเมืองพิษณุโลก เรื่องโดย ขวัญทอง สอนศิริ (โจ้ พิษณุโลก) “ คนดีศรีพิษณุโลก ” ภาพโดย ธนากร บุญสุวรรณโณ และ ปัญญา จูจันทร์ )
วันนี้! อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้
สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า..
Available Now! You can read whenever, wherever with any device.
#ลานโพธิ์ #หลวงพ่อแจง #วัดเกาะแก้ว #อ.เมือง #จ.พิษณุโลก