หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อ.บางไทร จ.อยุธยา “ อมตเถราจารย์ที่ไม่มีใครลืม ”

ภาพและเรื่องโดย..เกษม ศานติชนม์


หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก
พระเกจิอาจารย์อีกองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันชนิดไม่น้อยหน้าไปกว่าองค์ไหนๆ ได้แก่ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา และแม้ว่านับแต่ท่านมรณภาพจนถึงบัดนี้จะเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว แต่กระนั้นชื่อเสียงของท่านก็ไม่ได้สูญหายตายจากไปตามร่างกาย สังเกตได้จากกรณีที่ยังมีคนกล่าวขวัญถึงอยู่เสมอมาตราบปัจจุบัน ยิ่งกว่านั้นวัตถุมงคลที่ท่านสร้างเอาไว้ ก็เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายแทบทุกรุ่นทุกพิมพ์ ทั้งในหมู่คนอยุธยาเองและต่างจังหวัดไม่ว่าใกล้หรือไกล       

เหตุปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่เชื่อกันว่า น่าจะมีส่วนช่วยหนุนส่งให้ชื่อเสียงของท่านโด่งดังอย่างเป็นอมตะ ก็คือท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ 1 ใน 4 ยุคสงครามอินโดจีนหรือสงครามเอเชียมหาบูรพา ซึ่งมีสมญาเรียกขานกันอย่างคล้องจองคือ “ จาด จง คง อี๋ ” อันได้แก่ หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา ( ปราจีนบุรี ) หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ( พระนครศรีอยุธยา ) หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ( สมุทรสงคราม ) และ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ( ชลบุรี ) สมญาที่ว่านี้ถือเป็นเครื่องรับประกันความเก่งกล้าโดยปริยาย ทั้งยังช่วยให้จำชื่อท่านกันได้อย่างแม่นยำอีกต่างหาก เพราะถูกปากถูกหูคนไทยซึ่งมีนิสัยเจ้าบทเจ้ากลอน

หลวงพ่อจาด (พระครูสิทธิสารคุณ)
วัดบางกะเบา องค์แรกแห่งสมญา
“จาด จง คง อี๋”
 หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก
องค์ที่ 2 แห่งสมญา
“จาด จง คง อี๋”
หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม
องค์ที่ 3 แห่งสมญา
“จาด จง คง อี๋”
















หลวงพ่ออี๋ (พระครูวรเวทมุนี) วัดสัตหีบ
องค์ท้ายสุดแห่งสมญา “จาด จง คง อี๋”
แต่น่าแปลกตรงที่ประวัติของท่านหาอ่านค่อนข้างยาก นอกจากที่ “ สมศักดิ์ พงศ์พูนลาภ ” เคยเขียนเอาไว้ในนิตยสารพระเครื่องฉบับหนึ่งเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนแล้วไม่ค่อยได้พบเห็นที่ไหน แม้ในระยะหลังๆ มานี้จะมีคนอื่นเขียนอยู่บ้างเหมือนกัน แต่กระนั้นทั้งเนื้อหาและเนื้อความส่วนใหญ่ ก็คล้ายคลึงกันแทบทุกประโยคทุกบรรทัด ราวกับมีที่มาจากแห่งเดียวกัน ดังนั้นจึงเห็นว่าน่าจะลองอาสาเขียนเรื่องนี้อีกสักคนเป็นไร ในฐานะที่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของท่านมาไม่น้อย เพราะนอกจากจะมีพื้นเพเป็นคนอยุธยา ยังชอบศึกษาประวัติพระเกจิอาจารย์โดยเฉพาะองค์ที่ปู่ย่าตายายเคารพนับถือ โดยใช้วิธีสอบถามจากผู้หลักผู้ใหญ่บ้าง ค้นคว้าจากหนังสือหรือเอกสารที่เกี่ยวเนื่องบ้าง จึงย่อมคาดหวังเรื่องความหลากหลายได้พอประมาณ

ประวัติของท่านมีอยู่ว่า เกิดในตระกูลชาวนา ณ บ้านหน้าไม้ แขวงเสนาน้อย เมืองกรุงเก่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2415 ตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 4 ปีวอก บิดาชื่อ ยอด มารดาชื่อ ขลิบ ( ส่วนนามสกุลไม่ปรากฏ) มีพี่น้องทั้งหมดรวม 3 คน  ได้แก่

 เหรียญเสมาหลวงพ่อจง พิมพ์หน้าใหญ่
เนื้อทองแดง สร้างเมื่อ พ.ศ.2485
1. หลวงพ่อจง พุทฺธสโร
2. หลวงพ่อนิล ธมฺมโชติ
3. นางปลีก สุขสโมสร

แต่ก่อนจะกล่าวเรื่องอื่นต่อไป อยากให้ผู้อ่านทราบประวัติการจัดการปกครองของเมืองกรุงเก่าสักเล็กน้อย เพราะเข้าใจว่าน่าจะมีคนงุนงงสงสัยเรื่องแขวงเสนาน้อยที่ว่า ด้วยแต่ไหนแต่ไรมาเคยได้เห็นได้ยินแต่อำเภอบางไทร จึงใคร่อธิบายให้ละเอียดเสียเลยแล้วกัน กล่าวคือหลังการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยาเปลี่ยนมาเป็นกรุงธนบุรี มีการยุบรวมแขวงในกำแพงเมือง ( และปริมณฑล ) 4 แขวง อันได้แก่ แขวง ( ขุน ) ธรณีบาล แขวง ( ขุน ) โลกบาล แขวง (ขุน) ธราบาล และแขวง (ขุน) นราบาล รวมเป็นแขวงเดียวเรียกว่า แขวงรอบกรุง ส่วนแขวงนอกกำแพงเมืองอีก 3 แขวง ยังคงไว้ตามเดิมคือ แขวง ( ขุน ) นคร แขวง ( ขุน ) เสนา และแขวง ( ขุน ) อุทัย


เหรียญเสมาหลวงพ่อจง พิมพ์หน้าเล็ก
เนื้อทองแดง สร้างเมื่อ พ.ศ.2485
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ รัชกาลที่ 1 ทรงกำหนดให้ยกฐานะกรุงเก่าเป็นหัวเมืองชั้นจัตวา แต่แทนที่จะเรียกผู้ปกครองเมืองนี้ว่า “ ผู้ว่าราชการ ” เหมือนเมืองอื่นๆ กลับเรียก “ ผู้รักษากรุงเก่า ” (หรือเรียกสั้นๆ ว่า “ ผู้รักษากรุง ” ) ล่วงมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่ 3 ได้ซอยแบ่งแขวงนครเดิมออกเป็นแขวงนครใหญ่ แขวงนครน้อย และซอยแบ่งแขวงเสนาเดิมออกเป็นแขวงเสนาใหญ่ แขวงเสนาน้อย จึงทำให้มีแขวงทั้งหมด 6 แขวง ด้วยกัน

ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 พระยาไชยวิชิตสิทธิสาตรา ( สิงโต ศกุณสิงห์ ) ผู้รักษากรุงในขณะนั้น ได้ซอยแบ่งแขวงอุทัยเดิมออกเป็นแขวงอุทัยใหญ่ แขวงอุทัยน้อย จึงเพิ่มเป็น 7 แขวง ก่อนจะซอยแบ่งในคราวจัดระเบียบการปกครองท้องที่ใหม่จนกลายเป็น 12 อำเภอ เมื่อ พ.ศ.2438 ( ในรัชกาลเดียวกัน ) การซอยแบ่งครั้ง ( หลังสุด ) นั้นได้แก่ ส่วนของแขวงนครใหญ่และแขวงนครน้อย ซอยเพิ่มอีก 2 แขวง คือ แขวงนครกลางและแขวงนครใน ส่วนของแขวงเสนาใหญ่และแขวงเสนาน้อย ซอยเพิ่มอีก 2 แขวง คือ แขวงเสนากลางและแขวงเสนาใน แขวงอุทัยน้อยเดิมเปลี่ยนเป็นแขวงพระราชวัง และตั้งแขวงอุทัยน้อยขึ้นใหม่ โดยแบ่งแขวงอุทัยใหญ่รวมกับแขวงหนองแคบางส่วน


มณฑปประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้งรูปหลวงพ่อจง
(ถ่ายด้านหน้ามุมเฉียง)
มณฑปประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้ง
รูปหลวงพ่อจง (ถ่ายด้านหลัง)
ทั้ง 12 แขวง ซึ่งเปลี่ยนมาเรียก 12 อำเภอนี้ ส่วนใหญ่ได้ชื่อใหม่แทบทั้งสิ้น กล่าวคือแขวงรอบกรุงเปลี่ยนเป็นอำเภอกรุงเก่า ภายหลังเป็นอำเภอ พระนครศรีอยุธยา แขวงนครใหญ่ได้ชื่อว่าอำเภอมหาราช แขวงนครน้อยได้ชื่อว่าอำเภอท่าเรือ แขวงนครกลางได้ชื่อว่าอำเภอนครหลวง แขวงนครในได้ชื่อว่าอำเภอบางปะหัน แขวงเสนาใหญ่ได้ชื่อว่าอำเภอผักไห่ แขวงเสนาน้อยเปลี่ยนเป็นอำเภอราชคราม ภายหลังเป็นอำเภอบางไทร แขวงเสนากลางเปลี่ยนเป็นอำเภอเสนา แขวงเสนาในได้ชื่อว่าอำเภอบางบาล แขวงพระราชวัง ( อุทัยน้อยเดิม ) เปลี่ยนเป็นอำเภอบางปะอิน แขวงอุทัยใหญ่เรียกอำเภออุทัย แขวงอุทัยน้อย ( ใหม่ ) เปลี่ยนเป็นอำเภอวังน้อย


หุ่นขี้ผึ้งรูปหลวงพ่อจงภายในมณฑป
ภายหลังได้จัดตั้งอำเภอใหม่ขึ้นอีก 4 อำเภอ ( รวมเป็น 16 อำเภอ ตราบปัจจุบัน ) อันได้แก่ อำเภอภาชี ซึ่งแยกจากท้องที่ด้านเหนือของอำเภออุทัย อำเภอลาดบัวหลวงแยกจากท้องที่ด้านใต้ของอำเภอบางไทร อำเภอบางซ้ายแยกจากพื้นที่ด้านใต้ของอำเภอเสนา อำเภอบ้านแพรกแยกจากพื้นที่ด้านเหนือของอำเภอมหาราช


หลวงพ่อจงและหลวงพ่อนิล
ถ่ายบริเวณหน้าอุโบสถวัดหน้าต่างใน
อนึ่ง สำหรับชื่ออำเภอที่เปลี่ยนใหม่นี้ มีข้อสังเกตตรงที่ส่วนใหญ่ใช้ชื่อหมู่บ้านอันเป็นที่ตั้งตัวอำเภอเป็นหลัก ไม่ได้เกี่ยวกับสภาพหรือความเจริญของพื้นที่แม้แต่น้อยก็ว่าได้ ในสมัยผู้เขียนเข้ารับราชการใหม่ๆ ได้รับคำบอกเล่าจากข้าราชการคนหนึ่งซึ่งอยู่มาก่อนว่า ก่อนหน้านั้นมีตำแหน่งปลัดอำเภอใน อยุธยา ว่างอยู่ 2 ตำแหน่ง คือตำแหน่งปลัดอำเภอมหาราชและปลัดอำเภอเสนา ครั้นเรียกผู้ที่สอบคัดเลือกได้ไปรายงานตัวที่กรมฯ เพื่อส่งตัวมาบรรจุในตำแหน่งนั้น แต่ด้วยความที่ไม่รู้จักพื้นที่ของ 2 อำเภอที่ว่า คนที่ได้คะแนนดีกว่าซึ่งมีสิทธิเลือกก่อนตัดสินใจเลือกอำเภอมหาราช เพราะคาดเดาว่าน่าจะต้องเป็นอำเภอใหญ่โตหรือเจริญแน่ มิฉะนั้นคงจะไม่ได้ชื่ออย่างนั้น


หลวงพ่อจงและหลวงพ่อนิลถ่ายในคราวไป
เจริญพระพุทธมนต์ในงานทำขวัญนาค
ชื่อ “เปี๊ยก” ที่บ้านหน้าไม้
ทำให้คนที่ได้คะแนนต่ำกว่าต้องไปอยู่เสนาโดยปริยาย ทีแรกก็ไม่เต็มใจถึงกับจะขอสละสิทธิ์เพราะคิดว่าเป็นอำเภอเล็กๆ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าน่าจะลองไปอยู่ดูก่อน ถ้าลำบากจนทนไม่ไหวจึงค่อยลาออกภายหลัง ต่างจากคนได้คะแนนดีที่ออกอาการกระหยิ่มยิ้มย่องจนออกนอกหน้า ครั้นเมื่อทั้งคู่เดินทางมารายงานตัวกับผู้ว่าราชการจังหวัดที่ศาลากลาง คนที่ได้คะแนนดีถึงกับหน้าถอดสีกลายเป็นคนละคนไป ส่วนคนที่ได้คะแนนเป็นรองนั้นกลับยิ้มร่า หลังทราบว่าเสนานั้นเล็กหรือต่ำต้อยเพียงชื่อ แต่ถือเป็นอำเภอใหญ่อันดับสองรองจากอำเภอกรุงเก่า ส่วนมหาราชใหญ่แต่ชื่อก็ว่าได้ เพราะไม่เพียงเป็นอำเภอเล็กๆ อยู่ปลายเขตแดนด้านเหนือเท่านั้น การคมนาคมไปมาแต่ละครั้งยังแสนจะลำบากยากเย็นอีกด้วย


รูปเหมือนหลวงพ่อจง (ปั๊มครึ่งซีก)
เนื้อตะกั่วกะไหล่ทอง รุ่นกันภัย
สร้างเมื่อ พ.ศ.2502
อย่างไรก็ดี เรื่องที่เห็นควรกล่าวเป็นลำดับต่อไป ได้แก่ ประวัติของ หลวงพ่อจง เมื่อครั้งยังเยาว์ จากคำบอกเล่าของผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนล้วนตรงกันว่า ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตนจนกระทั่งเติบใหญ่ นอกจากร่างกายไม่ค่อยสมบูรณ์แข็งแรงเหมือนเด็กอื่น ยังเป็นคนขี้โรคเพราะเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ แบบสามวันดีสี่วันไข้ ปัญหาใหญ่ประการหนึ่งได้แก่อาการหูอื้อตาฟาง ซึ่งเกิดหลังป่วยหนักถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อเป็นตายเท่ากัน แม้จะรอดชีวิตมาได้แต่อาการที่ว่าก็สร้างปัญหาเรื่องการมองการฟังให้ “ เด็กชายจง ” ไม่น้อย เพราะฉะนั้นจึงทำให้ท่านไม่ค่อยอยากไปไหนมาไหน ต่างจากเด็กทั่วไปที่มักออกเที่ยวเตร่เฮฮากันอย่างรื่นเริงบันเทิงสุข แต่ท่านกลับหมดสนุกแม้กระทั่งมีลิเกมาแสดงใกล้ๆ บ้าน กระนั้นเรื่องหนึ่งที่ไม่ยอมพลาดคือการไปตักบาตรหรือฟังเทศน์ที่วัดกับผู้ใหญ่


รูปเหมือนหลวงพ่อจงแบบบูชา
(ขนาด 5 นิ้ว) สร้างเมื่อ พ.ศ.2491
ด้วยความเป็นเด็กติดบุญติดวัดอย่างว่า บิดา-มารดาจึงนำไปฝากเป็นศิษย์วัดหน้าต่างใน เมื่ออายุได้ประมาณ 12 ปี เพราะเป็นวัยที่สมควรศึกษาเล่าเรียนอักขรสมัยและศีลธรรมจรรยา ซึ่งก็ตรงกับความปรารถนาของท่านที่ต้องการอยู่ใกล้วัดใกล้พระมาแต่ไหนแต่ไร และได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดเดียวกัน ที่น่าอัศจรรย์ก็คือหลังจากได้ชื่อว่า “ เหล่ากอของสมณะ ” แบบเต็มตัวแล้ว นอกจากโรคภัยไข้เจ็บที่เกาะกุมอยู่จะอันตรธานไป สุขภาพกายใจและสติปัญญายังแกร่งกล้าปราดเปรื่องขึ้นอีกต่างหากด้วย ช่วยให้การเล่าเรียนศึกษาประสบความก้าวหน้าเกินคาดหมาย โดยเฉพาะหนังสือไทยและหนังสือขอมบั้นต้นนั้นอยู่ในขั้นแตกฉานแม่นยำ หนำซ้ำยังสวดมนต์สวดพรได้อีกหลายบทหลายตำนาน จนพระอาจารย์และญาติโยมทั่วไปต่างรักใคร่ศรัทธามาแต่ครั้งยังถือเพียงศีลสิบ

ขอสรุปเอาเป็นว่าครั้นล่วงมาถึงปีที่อายุครบกำหนด ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดหน้าต่างใน แห่งนั้น โดยมี เจ้าอธิการสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการอินทร์ วัดหน้าต่างนอก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอธิการโพธิ์ วัดหน้าต่างใน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับขนานนามฉายาว่า “ พุทธสโร ”


รูปหลวงพ่อจง (ประกอบยันต์)
ทำด้วยกระดาษ ซึ่งคนละแวกบางไทร
บางบาล และเสนา มักมีบูชา
ประจำบ้านแทบทุกหลังคาเรือน
สำหรับหลวงพ่อสุ่นองค์ที่ว่านี้ คงรู้จักกันดีเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้วกระมัง เพราะโด่งดังจากการเผยแพร่ชื่อเสียงเกียรติคุณโดย พระราชพรหมยาน ( วีระ ถาวโร ) วัดท่าซุง หรือที่รู้จักกันเป็นส่วนใหญ่ในชื่อ “ ฤาษีลิงดำ ” ศิษย์เอกของ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เนื่องจากว่าท่านองค์นี้ไม่เพียงมีฐานะเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปานเท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้อีกสารพัด โดยเฉพาะเรื่องกรรมฐานและการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อนำมาใช้ในการสงเคราะห์อนุเคราะห์หรือบำบัดรักษาญาติโยมทั่วไป

แต่น่าเสียดายอยู่ไม่น้อยตรงที่ ไม่มีผู้ใดทราบประวัติของท่าน ทั้งยังขาดหลักฐานที่จะใช้เป็นกุญแจสำหรับการศึกษาค้นคว้าให้กระจ่าง เพียงมีเค้าเงาลางๆ ตรงคำบอกเล่าที่กล่าวว่า อายุไล่เลี่ยกับ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลฯ โดยหลวงพ่อสุ่นน่าจะแก่กว่าประมาณ 5-6 ปี หากยึดเอาเค้านี้เป็นหลักก็อาจอนุมานได้ว่า ถ้าหลวงพ่อสุ่นไม่เกิดเมื่อ พ.ศ.2370 ก็คงเป็น พ.ศ.2471 กระมัง โดยใช้ปีเกิดหลวงพ่อปั้นเป็นตัวตั้ง คือ พ.ศ.2376


รูปหล่อหลวงพ่อจงบนหอสวดมนต์
วัดหน้าต่างนอก
อนึ่ง เมื่อเอ่ยถึง พ.ศ.2370 ขึ้นมา นึกได้ว่า หลวงพ่อม่วง วัดโบสถ์ ( มหาราช ) ก็เกิดปีนี้ ประกอบกับพอดีได้อ่านข้อเขียนของบางคนกล่าวถึงท่านทำนองว่า เคยท้าลองวิชากับ อาจารย์จาบ สุวรรณ เพราะอยากพิสูจน์เรื่องใครเหนือใคร จึงทำให้ใจนึกหวนไปที่ปีเกิดของหลวงพ่อม่วงโดยอัตโนมัติ ( ประเด็นนี้คนอื่นจะคิดอย่างไรไม่ทราบ แต่สำหรับผู้เขียนเห็นเป็นเรื่องเกินเชื่อ ในเมื่อหลวงพ่อม่วงแก่กว่าอาจารย์จาบถึง 50 ปีเศษ เรื่องทุเรศแบบนี้ท่านคงไม่ทำแน่ )

อย่างไรก็ดี หากทั้งสององค์นี้เกิดปีเดียวกัน ( หรืออ่อนกว่าปีหนึ่ง ) จริง แต่หลวงพ่อม่วงอายุยืนกว่า เพราะเพิ่งจะมรณภาพเมื่อ พ.ศ.2475 ขณะอายุ 105 ปี ส่วนหลวงพ่อสุ่นนั้นแม้ไม่ปรากฏหลักฐานแต่ก็พอมีเค้าให้คาดเดาได้ว่า น่าจะมรณภาพในช่วงปลาย พ.ศ.2450 หรือต้น พ.ศ.2451 กระมัง เพราะคงต้องเป็นหลังจากสิ้นท่านแล้ว หลวงพ่อปานถึงได้ไปขอเรียนกับหลวงพ่อเนียม วัดน้อย ด้วยเห็นว่ายังตักตวงวิชากรรมฐานจากหลวงพ่อสุ่นได้ไม่เท่าที่หวัง

ที่ค่อนข้างเชื่อว่าหลวงพ่อสุ่นมรณภาพในปีข้างต้น มีเหตุผลสนับสนุนอีกข้อก็คือ ในบันทึก ( เรื่อง ) ตรวจการศึกษาของ พระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ ( ม.ร.ว.เปีย มาลากุล ) หรือที่ต่อมาเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ระบุว่า

“ อังคารที่ ๒๖ ( มิถุนายน ร.ศ.๑๒๕ หรือ พ.ศ.๒๔๔๙ ) เช้าดูวัดทางเวียงหรือวัดหัวเวียง แล้วล่องเรือแจวเข้าคลองมโนรา แวะวัดบางปลาหมอ วัดช่างเหล็ก ค่ำนอนบางปะอิน

โน๊ต วัดหัวเวียง สมภารเก่าสำมะเลเทเมากับเมียเจ๊กโรงเลื่อยเลยหนีไปเมื่อเร็วๆ นี้ ทายกนิมนต์ ( พระ ) มหาพลอย วัดขุนยวน มาดูแลวัดอยู่ ท่าทางจะเป็นสมภารได้ดี


วิหารวัดหน้าต่างนอก (ตั้งอยู่ด้านหลังวัด)
วัดบางปลาหมอ ท่านสมภารวางโต ต้องประจบขอน้ำมนต์ ทำอุโบสถและสร้างพระนอนขึ้นใหม่เขียนหรู แต่เต็มที

วัดช่างเหล็ก พระสมุห์เอี้ยงเป็นสมภารและเป็นเจ้าคณะหมวด มีโรงเรียน มีบำรุง ครูอิน ครูมูลฝึกหัดฝั่งตะวันตก ( หมายถึงโรงเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ) เป็นครูอยู่ที่นั่น ”

บันทึกดังกล่าวนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าปี พ.ศ.2449 หลวงพ่อสุ่นยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เพราะแม้ไม่ได้ออกชื่อว่าสมภารองค์นั้นชื่อไร แต่มีนัยว่าต้องเป็นหลวงพ่อสุ่น ทั้งในเรื่องน้ำมนต์ เรื่องสร้างอุโบสถและพระนอน

นอกจากนี้ยังมีอีกสิ่งซึ่งแม้เพียงเป็นการเอ่ยถึงรูป ( หล่อ ) ของท่าน แต่กระนั้นก็ถือได้ว่าน่าสนใจไม่น้อยตรงที่ มีเนื้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงหลวงพ่อสุ่นว่า เป็นพระญาติกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ดังปรากฏอยู่ในพระราชนิพนธ์เรื่องเสด็จประพาสต้นครั้งที่สอง ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ตอนหนึ่งว่า


เรือยนต์ซึ่งมีผู้นำมาถวายหลวงพ่อจง
ไว้สำหรับใช้เป็นพาหนะ ในยาม
เดินทางไปกิจนิมนต์ไกลๆ
“ วันที่ ๔ ( สิงหาคม ร.ศ.๑๒๕ ) นอนดึกตื่นสายและท้องไม่สู้ปกติ กินข้าวกลางวันแล้วจึงได้ออกเรือบ่ายโมง ล่องลงมาเลี้ยวเข้าแควสีกุก ทำหนังสือไปบางกอก ฝนตกเรื่อยมาจนเวลาเย็นมีพายุ หางเสือเรือไม่กินน้ำปั่น จะไปต่อก็เห็นว่าฝนตกไม่หยุดและจะมืดค่ำจึงจอดนอนที่วัดสีกุก เวลาบ่ายกินขาวต้มเวลาหนึ่ง วันนี้จันทรุปราคาเห็นไม่ได้เพราะฝนตกจนหมดเวลา ที่วัดนี้มีมณฑปอยู่ตรงเรือจอด แต่ยังไม่รู้ว่าอะไรอยู่ในนั้น น้ำขึ้นมากน้ำท่วมจะขึ้นบกถึงต้องใช้เรือ

วันที่ ๕ เช้าโมง ๑ น้ำลดสะพานเดินได้ ขึ้นไปถ่ายรูปในมณฑปที่พูดเมื่อวานนี้ มีพระป่าเลไลยก์และรูปเจ้าอธิการวัดบางปลาหมอ ที่เขาเรียกในคำจารึก แต่ว่าพระอาจารย์วัดฯหมอ รูปร่างหน้าตางามขนาดเท่าตัว ท่านอาจารย์คนนี้เป็นหมอรักษาบ้า ว่าเป็นพระญาติสมเด็จพระปวเรศ เพราะเดินขึ้นไปไม่มีใครได้พระเจริญพร ( โดยไม่รู้จัก )... ”


( ที่มา : ลานโพธิ์  ฉบับที่  1062 กริ่งคลองตะเคียน พระกรุที่มีการสร้างล้อพิมพ์อย่างหลากหลาย ตอนที่ 1 ภาพและเรื่องโดย..เกษม ศานติชนม์ ปักษ์แรก เดือน มกราคม พ.ศ. 2554 ราคาปก 89 บาท )


วันนี้อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้ 


สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า.. 






Available Now!  You can read whenever, wherever with any device.

 BangkokSarn App on Google Play store    Lanpo App on Google play Store    Ookbee Book Shop   Meb Market Book Shop      

#ลานโพธิ์ #หลวงพ่อจง #วัดหน้าต่างนอก #จ.อยุธยา