![]() |
หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก |
เหตุปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่เชื่อกันว่า น่าจะมีส่วนช่วยหนุนส่งให้ชื่อเสียงของท่านโด่งดังอย่างเป็นอมตะ ก็คือท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ 1 ใน 4 ยุคสงครามอินโดจีนหรือสงครามเอเชียมหาบูรพา ซึ่งมีสมญาเรียกขานกันอย่างคล้องจองคือ “ จาด จง คง อี๋ ” อันได้แก่ หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา ( ปราจีนบุรี ) หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ( พระนครศรีอยุธยา ) หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ( สมุทรสงคราม ) และ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ( ชลบุรี ) สมญาที่ว่านี้ถือเป็นเครื่องรับประกันความเก่งกล้าโดยปริยาย ทั้งยังช่วยให้จำชื่อท่านกันได้อย่างแม่นยำอีกต่างหาก เพราะถูกปากถูกหูคนไทยซึ่งมีนิสัยเจ้าบทเจ้ากลอน
![]() |
หลวงพ่อจาด (พระครูสิทธิสารคุณ) วัดบางกะเบา องค์แรกแห่งสมญา “จาด จง คง อี๋” |
![]() |
หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก องค์ที่ 2 แห่งสมญา “จาด จง คง อี๋” |
![]() |
หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม องค์ที่ 3 แห่งสมญา “จาด จง คง อี๋” |
![]() |
หลวงพ่ออี๋ (พระครูวรเวทมุนี) วัดสัตหีบ องค์ท้ายสุดแห่งสมญา “จาด จง คง อี๋” |
ประวัติของท่านมีอยู่ว่า เกิดในตระกูลชาวนา ณ บ้านหน้าไม้ แขวงเสนาน้อย เมืองกรุงเก่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2415 ตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 4 ปีวอก บิดาชื่อ ยอด มารดาชื่อ ขลิบ ( ส่วนนามสกุลไม่ปรากฏ) มีพี่น้องทั้งหมดรวม 3 คน ได้แก่
![]() |
เหรียญเสมาหลวงพ่อจง พิมพ์หน้าใหญ่ เนื้อทองแดง สร้างเมื่อ พ.ศ.2485 |
2. หลวงพ่อนิล ธมฺมโชติ
3. นางปลีก สุขสโมสร
แต่ก่อนจะกล่าวเรื่องอื่นต่อไป อยากให้ผู้อ่านทราบประวัติการจัดการปกครองของเมืองกรุงเก่าสักเล็กน้อย เพราะเข้าใจว่าน่าจะมีคนงุนงงสงสัยเรื่องแขวงเสนาน้อยที่ว่า ด้วยแต่ไหนแต่ไรมาเคยได้เห็นได้ยินแต่อำเภอบางไทร จึงใคร่อธิบายให้ละเอียดเสียเลยแล้วกัน กล่าวคือหลังการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยาเปลี่ยนมาเป็นกรุงธนบุรี มีการยุบรวมแขวงในกำแพงเมือง ( และปริมณฑล ) 4 แขวง อันได้แก่ แขวง ( ขุน ) ธรณีบาล แขวง ( ขุน ) โลกบาล แขวง (ขุน) ธราบาล และแขวง (ขุน) นราบาล รวมเป็นแขวงเดียวเรียกว่า แขวงรอบกรุง ส่วนแขวงนอกกำแพงเมืองอีก 3 แขวง ยังคงไว้ตามเดิมคือ แขวง ( ขุน ) นคร แขวง ( ขุน ) เสนา และแขวง ( ขุน ) อุทัย
![]() |
เหรียญเสมาหลวงพ่อจง พิมพ์หน้าเล็ก เนื้อทองแดง สร้างเมื่อ พ.ศ.2485 |
ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 พระยาไชยวิชิตสิทธิสาตรา ( สิงโต ศกุณสิงห์ ) ผู้รักษากรุงในขณะนั้น ได้ซอยแบ่งแขวงอุทัยเดิมออกเป็นแขวงอุทัยใหญ่ แขวงอุทัยน้อย จึงเพิ่มเป็น 7 แขวง ก่อนจะซอยแบ่งในคราวจัดระเบียบการปกครองท้องที่ใหม่จนกลายเป็น 12 อำเภอ เมื่อ พ.ศ.2438 ( ในรัชกาลเดียวกัน ) การซอยแบ่งครั้ง ( หลังสุด ) นั้นได้แก่ ส่วนของแขวงนครใหญ่และแขวงนครน้อย ซอยเพิ่มอีก 2 แขวง คือ แขวงนครกลางและแขวงนครใน ส่วนของแขวงเสนาใหญ่และแขวงเสนาน้อย ซอยเพิ่มอีก 2 แขวง คือ แขวงเสนากลางและแขวงเสนาใน แขวงอุทัยน้อยเดิมเปลี่ยนเป็นแขวงพระราชวัง และตั้งแขวงอุทัยน้อยขึ้นใหม่ โดยแบ่งแขวงอุทัยใหญ่รวมกับแขวงหนองแคบางส่วน
![]() |
มณฑปประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้งรูปหลวงพ่อจง (ถ่ายด้านหน้ามุมเฉียง) |
![]() |
มณฑปประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้ง รูปหลวงพ่อจง (ถ่ายด้านหลัง) |
![]() |
หุ่นขี้ผึ้งรูปหลวงพ่อจงภายในมณฑป |
![]() |
หลวงพ่อจงและหลวงพ่อนิล ถ่ายบริเวณหน้าอุโบสถวัดหน้าต่างใน |
![]() |
หลวงพ่อจงและหลวงพ่อนิลถ่ายในคราวไป เจริญพระพุทธมนต์ในงานทำขวัญนาค ชื่อ “เปี๊ยก” ที่บ้านหน้าไม้ |
![]() |
รูปเหมือนหลวงพ่อจง (ปั๊มครึ่งซีก) เนื้อตะกั่วกะไหล่ทอง รุ่นกันภัย สร้างเมื่อ พ.ศ.2502 |
![]() |
รูปเหมือนหลวงพ่อจงแบบบูชา (ขนาด 5 นิ้ว) สร้างเมื่อ พ.ศ.2491 |
ขอสรุปเอาเป็นว่าครั้นล่วงมาถึงปีที่อายุครบกำหนด ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดหน้าต่างใน แห่งนั้น โดยมี เจ้าอธิการสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการอินทร์ วัดหน้าต่างนอก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอธิการโพธิ์ วัดหน้าต่างใน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับขนานนามฉายาว่า “ พุทธสโร ”
![]() |
รูปหลวงพ่อจง (ประกอบยันต์) ทำด้วยกระดาษ ซึ่งคนละแวกบางไทร บางบาล และเสนา มักมีบูชา ประจำบ้านแทบทุกหลังคาเรือน |
แต่น่าเสียดายอยู่ไม่น้อยตรงที่ ไม่มีผู้ใดทราบประวัติของท่าน ทั้งยังขาดหลักฐานที่จะใช้เป็นกุญแจสำหรับการศึกษาค้นคว้าให้กระจ่าง เพียงมีเค้าเงาลางๆ ตรงคำบอกเล่าที่กล่าวว่า อายุไล่เลี่ยกับ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลฯ โดยหลวงพ่อสุ่นน่าจะแก่กว่าประมาณ 5-6 ปี หากยึดเอาเค้านี้เป็นหลักก็อาจอนุมานได้ว่า ถ้าหลวงพ่อสุ่นไม่เกิดเมื่อ พ.ศ.2370 ก็คงเป็น พ.ศ.2471 กระมัง โดยใช้ปีเกิดหลวงพ่อปั้นเป็นตัวตั้ง คือ พ.ศ.2376
![]() |
รูปหล่อหลวงพ่อจงบนหอสวดมนต์ วัดหน้าต่างนอก |
อย่างไรก็ดี หากทั้งสององค์นี้เกิดปีเดียวกัน ( หรืออ่อนกว่าปีหนึ่ง ) จริง แต่หลวงพ่อม่วงอายุยืนกว่า เพราะเพิ่งจะมรณภาพเมื่อ พ.ศ.2475 ขณะอายุ 105 ปี ส่วนหลวงพ่อสุ่นนั้นแม้ไม่ปรากฏหลักฐานแต่ก็พอมีเค้าให้คาดเดาได้ว่า น่าจะมรณภาพในช่วงปลาย พ.ศ.2450 หรือต้น พ.ศ.2451 กระมัง เพราะคงต้องเป็นหลังจากสิ้นท่านแล้ว หลวงพ่อปานถึงได้ไปขอเรียนกับหลวงพ่อเนียม วัดน้อย ด้วยเห็นว่ายังตักตวงวิชากรรมฐานจากหลวงพ่อสุ่นได้ไม่เท่าที่หวัง
ที่ค่อนข้างเชื่อว่าหลวงพ่อสุ่นมรณภาพในปีข้างต้น มีเหตุผลสนับสนุนอีกข้อก็คือ ในบันทึก ( เรื่อง ) ตรวจการศึกษาของ พระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ ( ม.ร.ว.เปีย มาลากุล ) หรือที่ต่อมาเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ระบุว่า
“ อังคารที่ ๒๖ ( มิถุนายน ร.ศ.๑๒๕ หรือ พ.ศ.๒๔๔๙ ) เช้าดูวัดทางเวียงหรือวัดหัวเวียง แล้วล่องเรือแจวเข้าคลองมโนรา แวะวัดบางปลาหมอ วัดช่างเหล็ก ค่ำนอนบางปะอิน
โน๊ต วัดหัวเวียง สมภารเก่าสำมะเลเทเมากับเมียเจ๊กโรงเลื่อยเลยหนีไปเมื่อเร็วๆ นี้ ทายกนิมนต์ ( พระ ) มหาพลอย วัดขุนยวน มาดูแลวัดอยู่ ท่าทางจะเป็นสมภารได้ดี
![]() |
วิหารวัดหน้าต่างนอก (ตั้งอยู่ด้านหลังวัด) |
วัดช่างเหล็ก พระสมุห์เอี้ยงเป็นสมภารและเป็นเจ้าคณะหมวด มีโรงเรียน มีบำรุง ครูอิน ครูมูลฝึกหัดฝั่งตะวันตก ( หมายถึงโรงเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ) เป็นครูอยู่ที่นั่น ”
บันทึกดังกล่าวนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าปี พ.ศ.2449 หลวงพ่อสุ่นยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เพราะแม้ไม่ได้ออกชื่อว่าสมภารองค์นั้นชื่อไร แต่มีนัยว่าต้องเป็นหลวงพ่อสุ่น ทั้งในเรื่องน้ำมนต์ เรื่องสร้างอุโบสถและพระนอน
นอกจากนี้ยังมีอีกสิ่งซึ่งแม้เพียงเป็นการเอ่ยถึงรูป ( หล่อ ) ของท่าน แต่กระนั้นก็ถือได้ว่าน่าสนใจไม่น้อยตรงที่ มีเนื้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงหลวงพ่อสุ่นว่า เป็นพระญาติกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ดังปรากฏอยู่ในพระราชนิพนธ์เรื่องเสด็จประพาสต้นครั้งที่สอง ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ตอนหนึ่งว่า
![]() |
เรือยนต์ซึ่งมีผู้นำมาถวายหลวงพ่อจง ไว้สำหรับใช้เป็นพาหนะ ในยาม เดินทางไปกิจนิมนต์ไกลๆ |
วันที่ ๕ เช้าโมง ๑ น้ำลดสะพานเดินได้ ขึ้นไปถ่ายรูปในมณฑปที่พูดเมื่อวานนี้ มีพระป่าเลไลยก์และรูปเจ้าอธิการวัดบางปลาหมอ ที่เขาเรียกในคำจารึก แต่ว่าพระอาจารย์วัดฯหมอ รูปร่างหน้าตางามขนาดเท่าตัว ท่านอาจารย์คนนี้เป็นหมอรักษาบ้า ว่าเป็นพระญาติสมเด็จพระปวเรศ เพราะเดินขึ้นไปไม่มีใครได้พระเจริญพร ( โดยไม่รู้จัก )... ”
( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1062 กริ่งคลองตะเคียน พระกรุที่มีการสร้างล้อพิมพ์อย่างหลากหลาย ตอนที่ 1 ภาพและเรื่องโดย..เกษม ศานติชนม์ ปักษ์แรก เดือน มกราคม พ.ศ. 2554 ราคาปก 89 บาท )
วันนี้! อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้
สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า..