![]() |
พระกริ่งคลองตะเคียนซึ่งนิยมเรียกกันว่า พิมพ์หน้าใหญ่ไหล่ยก เนื้อค่อนข้างดำเป็นมัน (องค์นี้ส่วนบนเป็นปลีเรียวแหลม) |
ที่อยากจะเขียนถึงพระกรุนี้ ไม่เพียงมีเหตุบันดาลใจจากเรื่องราคาแค่ประการเดียวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันกับเรื่องอื่นๆ อีกอย่างน้อย ๒ ข้อ กล่าวคือ
ข้อแรกพระกรุนี้มีการสร้างล้อพิมพ์อย่างหลากหลาย เท่าที่นึกได้ตอนนี้ก็อย่างเช่น หลวงพ่อเนียม วัดน้อย หลวงพ่อโบ้ย วัดมะนาว ( สุพรรณบุรี ) หลวงพ่อกลึง วัดคูยาง ( กำแพงเพชร ) เป็นต้น ซึ่งทั้งนี้ย่อมหมายความว่า บรรดาพระเกจิอาจารย์เหล่านี้ต้องมีความเลื่อมใสในพระกรุดังกล่าวอย่างมาก หรือหากจะกล่าวให้ชัดแต่ละองค์คงทราบประวัติ หรืออาจเคยประจักษ์ในอิทธิคุณมาก่อนหน้า
ข้อต่อมาได้แก่กรณีที่แม้จะมีคนเขียนถึงพระกรุนี้กันมาก หากแต่ดูเหมือนยิ่งอ่านก็ยิ่งสับสนไปใหญ่ เพราะแต่ละรายต่างก็เขียนไปคนละทางสองทาง อย่างเช่นรายหนึ่งเขียนว่า “ ในต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หลวงพ่อเลื่อง สุสีโล เจ้าอาวาส ได้สืบทอดตำราการสร้างพระกริ่งต่อมาจนถึงสมัยหลวงพ่อม่วง ซึ่งนอกจากจะสร้างพระกริ่งคลองตะเคียนแล้ว ยังสร้างพระเปิมพระรอดเนื้อผงเข้าดินดิบอีกด้ว ย”
แต่ขณะเดียวกันก็วิเคราะห์วิจารณ์เกี่ยวกับพระกรุนี้ว่า เหตุที่มีการจารยันต์ไว้ด้านหลังนั้นเป็นเพราะในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาบ้านเมืองไม่สงบ มีการรบราฆ่าฟันกัน ผู้สร้างพระจึงต้องการให้นำไปใช้ป้องกันตัว
![]() |
พระกริ่งคลองตะเคียน พิมพ์หน้าใหญ่ไหล่ยก เนื้อสีดำอมน้ำตาล (องค์นี้ส่วนบนโค้งมน คล้ายพระสกุลลำพูน) |
![]() |
พระกริ่งคลองตะเคียน พิมพ์หน้าใหญ่ไหล่ยก เนื้อสีดำอมน้ำตาล (องค์นี้ส่วนบนโค้งมน คล้ายพระสกุลลำพูนเช่นกัน) |
![]() |
พระกริ่งคลองตะเคียน พิมพ์ใหญ่ เนื้อดิน |
ในฐานะที่เป็นคนละแวกเวียงเหล็กซึ่งอยู่ไม่ห่างจากคลองตะเคียนเท่าไหร่ จึงใคร่จะลองเขียนเรื่องนี้ดูสักครั้งแล้วกัน แม้จะไม่ขั้นสว่างกระจ่างใจนักก็ขอให้ถือเสียว่า อย่างน้อยก็ยังดีกว่าทนอ่านเรื่อง พระกริ่งคลองตะเคียน ซ้ำๆ ซากๆ เนื่องจากไม่ค่อยมีใครยอมลงทุนออกมาศึกษาค้นคว้าถึงแหล่ง ได้แต่แสดงตนเป็นผู้รู้อยู่ในหน้าหนังสือหรือหน้าเว็บไซต์อย่างเดียว
![]() |
พระกริ่งคลองตะเคียน เนื้อสีดำ |
เหตุที่เปลี่ยนชื่อนั้นเล่ากันว่า เนื่องมาจากปากคลองด้านใต้มีต้นตะเคียนใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง จึงเรียกกันว่า คลองตะเคียน ตามชื่อต้นไม้ แต่ในหลักฐานของชาวฝรั่งเศสเรียก คลองน้ำยา ซึ่งไม่แน่ว่าเนื่องมาจากเข้าใจผิดหรืออย่างไร เพราะไปซ้ำกับชื่อของอีกคลองหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับวัดบรมวงศ์ฯ ) เล่ากันว่าที่เรียกอย่างนั้นก็เพราะหมู่บ้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องทำน้ำยา ( ส่วนที่ อ.เสนา ถนัดเรื่องทำขนมจีนซึ่งเป็นของคู่กัน )
![]() |
พระกริ่งคลองตะเคียน พิมพ์ใหญ่ไหล่ยก |
แม้จะเป็นคลองนอกพระนครก็ตามที แต่มีหลักฐานที่ชวนให้เข้าใจได้ว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตราบกระทั่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งสองฝั่งของคลองนี้น่าจะมีบ้านเรือนปลูกอยู่อย่างหนาแน่นตลอดสาย ส่วนหนึ่งเป็นคนไทยนับถือศาสนาพุทธ อีกส่วนหนึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายแขกนับถือศาสนาอิสลาม ดังมีความปรากฏใน “ นิราศพระบาท ” ของ สุนทรภู่ ตอนหนึ่งว่า
“ ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่ม
![]() |
สภาพคลองตะเคียนช่วงใต้วัดโคกจินดาราม (ซึ่งเป็นอีกกรุหนึ่งที่มีผู้พบพระดังกล่าว) |
ถึงเกาะเรียนโอ้เรียมยิ่งเกรียมใจ
ที่เพื่อนไปเขาก็โจษกันกลางเรือ
ว่าคุ้งหน้าท่าเสือข้ามกระแส
พี่แลแลหาเสือไม่เห็นเสือ
ถ้ามีจริงก็จะวิ่งลงจากเรือ
อุทิศเนื้อให้เป็นภักษ์พยัคฆา
ไม่เคยตายเขาบ่ายนาวาล่อง
เข้าในคลองตะเคียนให้โหยหา
ระยะย่านบ้านช่องในคลองมา
ล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง
ดูหน้าตาก็ไม่น่าจะชมชื่น
พี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง
ที่เพื่อนเราร้องหยอกกันออกอึง
จนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียน
เห็นวัดวาอารามตามตลิ่ง
![]() |
สภาพคลองตะเคียนช่วงใกล้ปากคลองด้านใต้ (ซึ่งบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยา) |
พระเจดีย์ดูกลาดคาษเดียร
การเปรียญโบสถ์กุฏิ์ชำรุดพัง
ถึงวัดธารมาใหม่ใจระย่อ
ของพระหน่อสุริย์วงศ์พระวังหลัง
อุตส่าห์ทรงศรัทธามาประทัง
อารามรั้งหรือมาง่ามอร่ามทอง
สังเวชวัดธารมาที่อาศัย
ถึงสร้างใหม่ชื่อยังธารมาหมอง
เหมือนทุกข์พี่ถึงจะมีจินดาครอง
มงกุฎทองสร้อยสะอิ้งมาใส่กาย
อันตัวงามยามนี้ก็ตรอมอก
แสนวิตกมาตามแควกระแสสาย
ถึงคลองสระปทุมานาวาราย
น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา
ทั้งวังหลวงวังหลังก็รั้งรก
เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา
ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา
ดั่งป่าช้าพงชัฏสงัดคน ”
เหตุผลที่คัดมาอย่างยืดยาวไม่ใช่อะไร เพราะอยากให้คนที่ไม่รู้จัก คลองตะเคียน มองภาพออกว่า ถ้ามาจากกรุงเทพฯคลองนี้จะอยู่ด้านซ้าย ( เหนือเกาะพระและบ้านเสือข้าม ) ครั้นเลี้ยวเข้าปากคลองด้านใต้ไปเรื่อยๆ จะโผล่ที่ปากคลองด้านเหนือ ( ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับเกาะเมือง )
![]() |
พระกริ่งคลองตะเคียน เนื้อดิน สีดำ |
![]() |
พระกริ่งคลองตะเคียน เนื้อสีแดง |
เจ้านายองค์นี้ทรงเป็นโอรสของ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ( หรือที่ สุนทรภู่ เรียกในนิราศว่า “ พระวังหลัง ” ) ซึ่งถือเป็นองค์แรกและองค์เดียวในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะหลังจากนั้นไม่ได้ทรงสถาปนาองค์ใดให้ทรงดำรงตำแหน่งนี้ คงมีแต่ “ พระวังหน้า ” รวม ๕ รัชกาลด้วยกัน ( ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงโปรดฯให้ปรับเปลี่ยนเป็นตำแหน่ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร แทน และถือเป็นธรรมเนียมสืบต่อมาตราบปัจจุบัน องค์แรกนั้นได้แก่ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ( พระราชปิตุลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) องค์ที่ 2 ได้แก่ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ( พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ) และองค์ที่ 3 ได้แก่ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ )
![]() |
สภาพปากคลองคูจามด้านใต้ซึ่งบรรจบกับคลองตะเคียน ในท้องที่หมู่ 11 ต.คลองตะเคียน (จุดบรรจบกับคลองตะเคียน เหลือร่องรอยเป็นลำรางอยู่ตรงโคนต้นมะพร้าว) |
![]() |
สภาพคลองตะเคียนช่วงใกล้กับบริเวณ อันเป็นที่ตั้งมัสยิดกุฎีช่อฟ้า |
ดังนั้น วัดธรรมาฯจึงถือได้ว่าเป็นวัดของตระกูลนี้ ภายหลังจากที่ ท่านทองอิน ได้รับยศศักดิ์ในรัชกาลที่ ๑ จึงได้ย้อนกลับมาเป็นเจ้าภาพในการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ จนทำให้พลิกฟื้นคืนดีตราบจนปัจุบัน ( เพราะก่อนหน้านั้นได้รับผลกระทบจากศึกสงครามจนกลายเป็นวัดร้าง ( หรือที่ สุนทรภู่ ใช้คำว่า “ รั้ง ” ) อยู่ระยะหนึ่ง เมื่อพระโอรสเสด็จผ่านเมืองกรุงเก่าในคราวนั้น จึงทรงถือโอกาสแวะไปเยี่ยมวัดและพระประยูรญาติฝ่ายพระบิดาด้วยประการฉะนี้
( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1071 กริ่งคลองตะเคียน พระกรุที่มีการสร้างล้อพิมพ์อย่างหลากหลาย ตอนที่ 1 ปักษ์หลัง เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ราคาปก 60 บาท )
วันนี้! อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้
สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า..