![]() |
เบี้ยแก้ วัดนายโรง |
![]() |
เบี้ยแก้ วัดนายโรง |
![]() |
หลวงปู่รอด วัดนายโรง |
![]() |
เบี้ยแก้ วัดนายโรง |
![]() |
เบี้ยแก้ วัดนายโรง |
ผู้เขียนได้ติดตามศึกษาค้นคว้าหาข้อเท็จจริงมาเป็นเวลายาวนานพอสมควร เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตามความสัตย์จริง เพื่อนำมาเผยแพร่ให้ผู้อ่านได้ทราบนั้น ผู้เขียนขอนำความเรื่อง “ เบี้ยแก้ ” ซึ่งท่านบูรพาจารย์ที่ผู้เขียนมีความเคารพนับถือท่าน ได้เคยเขียนไว้มาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบความเป็นมาเบื้องต้น คือข้อเขียนของ “ อาจารย์ตรียัมปวาย ” ซึ่งท่านได้พรรณนาเรื่อง เบี้ยแก้ ไว้ในอีกทัศนะหนึ่ง ซึ่งน่าสนใจยิ่ง
![]() |
โบสถ์วัดนายโรง |
![]() |
เบี้ยแก้ วัดนายโรง |
![]() |
เบี้ยแก้ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว |
ในวรรณคดีเก่าของไทยกล่าวถึงการบน เบี้ย อันเป็นการแสดงว่าไทยนับถือ เบี้ย เป็นเทวดาศักดิ์สิทธิ์ เช่น ในเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนนางเทพทองเจ็บท้องจะคลอดขุนช้าง มีกลอนว่า
“บ้างก็เสกมงคลปรายข้าวสาร
เอา เบี้ย บนลนลานเหน็บฝาเกลื่อน”
และในเรื่องอิเหนา ตอนอิเหนาลอยไปหาจินตะหรา ก็มีคำประสันตาว่า
“ จะแต่งเครื่องสังเวยให้มากมาย
ข้าจะกินถวายเทวัญ
ว่าพลางทางแกว่งเบี้ยบน
ทำตามเล่ห์กลคนขยัน ”
หลักฐานกฎหมายไทยโบราณ ที่แสดงถึงความนิยมนับถือ เบี้ย จั่นของไทยแต่โบราณว่าเป็นสัญลักษณ์ของพระลักษมีนั้น ก็ได้มีปรากฏอยู่โดยของพระลักษมีนั้นไปอยู่ในกฎหมายโบราณ ซึ่งใช้คำเรียก เบี้ย จั่นว่า “ ภควจั่น ” ดังกล่าวความตอนหนึ่งว่า
“ จะแต่งบุตรและหลาน ก็ให้ใส่แต่ จี้เสมาภควจั่นจำหลัก ประดับพลอยแดงเขียวเท่านั้น อย่าได้ประดับเพชรถมยาราชาวดี ลูกประหล่ำเล่า ก็ให้ใส่แต่ลายแทงแลเกลี้ยงเกี้ยว อย่าให้มีกระจังประจำยามสี่ทิศ แลอย่าให้ใส่กระจับปิ้ง พริกเทศทองคำ กำไลทองใส่เท้า และห้ามอย่าให้ช่างหล่อทั้งปวงรับจ้างทำ จี้เสมาภควจั่นประดับเพชรถมยาราชาวดี และกระจับปิ้ง พริกเทศทองคำ กำไลเท้าและแหวนถมยาราชาวดีประดับพลอย ห้ามมิให้ซื้อขายเป็นอันขาดทีเดียว ถ้าข้าราชการผู้น้อยแลอาณาประชาราษฎร์ ช่างทองกระทำผิดถ้อยอย่างธรรมเนียม แต่ก่อนจะเป็นโทษอย่างหนัก.. ”


การสร้าง เบี้ยแก้ ก็คือการบรรจุปรอทที่ปลุกเสกแล้วเข้าไปในตัว เบี้ย จั่นแล้วหาวิธีอุดเอาไว้มิให้ปรอทหนีหายหรือออกมาข้างนอกได้ ฉะนั้นเกี่ยวกับการใช้ปรอทสร้าง เบี้ยแก้ จึงมีลักษณะตรงกันข้ามกับการทำ ลูกอมปรอท ลูกสะกดปรอท พระปรอท หรือ เมฆสิทธิ์ ลักษณะต่างๆ เช่น ทองแดง เงิน ตะกั่ว และ ทองคำ เป็นต้น บางทีก็เรียกว่า “ ปรอทที่ฆ่าตายแล้ว ” ซึ่งจะมีความหมายลึกซึ้งประการใดก็ยังไม่แน่ชัดนัก ส่วนปรอทที่ใช้บรรจุในตัว เบี้ย จั่นนั้นเป็น ปรอทเป็น หรือ ปรอทดิน เวลาเขย่า เบี้ยแก้ ใกล้ๆ หูจะได้ยินเสียงปรอทกระฉอกไปมาเสียงดัง “ ขลุกๆ ” ซึ่งเรียกกันว่า “ เสียงขลุก ” ของปรอท ดังชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ขึ้นอยู่กับปริมาณของปรอทที่บรรจุเอาไว้ ปริมาตรของโรงในท้อง เบี้ย และอุณหภูมิของฤดูกาลในขณะนั้นๆ ถ้าหากการสร้าง เบี้ยแก้ กระทำในฤดูร้อน บรรจุปรอทมากจนเต็มปริมาณของปริมาตร และเขย่าฟังเสียงในฤดูร้อนจะฟังเสียงไม่ค่อยได้ยิน แต่ เบี้ยแก้ ตัวนั้นลองเขย่าและฟังเสียงในฤดูหนาวที่อากาศเย็นๆ จะได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น
เมื่อนำปรอทมาปลุกเสกเรียบร้อยแล้ว ก็กรอกปรอทลงไปในท้อง เบี้ย จั่นพอประมาณ เอา ชันโรง ใต้ดินที่ปลุกเสกแล้วอุดยาบริเวณปากร่องใต้ท้อง เบี้ย ให้สนิทเรียบร้อย แล้วจึงหุ้มตะกั่วแล้วลงอักขระ จากนั้นจึงหุ้มด้วยผ้าสีแดงที่ลงอักขระเลขยันต์และปลุกเสกแล้ว เสร็จจากนั้นจึงเอาด้ายถักหุ้มเป็นลวดลายงดงาม แล้วลงรักปิดทอง เบี้ย ตอนหัวของ เบี้ย มักจะเอาลวดลายทองแดงขดเป็นห่วงเพื่อให้ใช้คล้องสร้อยแขวนคอหรือทำเป็น 2 ห่วง ไว้ใต้ท้อง เบี้ย โดยฝังไว้ใต้ลายของด้ายถักสำหรับร้อยเชือกคาดเอวก็มี
เบี้ยแก้ ของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ต่างกับ เบี้ยแก้ ของ หลวงปู่รอด วัดนายโรง ตรงที่ หุ้มผ้าแดงลงอักขระ เพราะของหลวงปู่รอด ใช้ตะกั่วหุ้ม แล้วจึงลงอักขระบนพื้นตะกั่วรอบตัวเบี้ย แต่ของหลวงปู่บุญนอกจากจะหุ้มตะกั่วและลงอักขระแล้ว ส่วนใหญ่จะหุ้มผ้าแดงลงอักขระห่อหุ้มอีกครั้งหนึ่งก่อนถักทับ การที่ทราบเช่นนี้ได้ก็เพราะมีผู้อุตริสอดรู้สอดเห็นบางคนเคยผ่า เบี้ยแก้ ของทั้ง 2 สำนักนี้ดู ยังได้ปรากฏหลักฐานการห่อหุ้มอิทธิวัตถุชั้นในภายใต้ด้ายถักลงรักซึ่งเป็นเปลือกหุ้มด้านนอกออกดูดังกล่าว
![]() |
หลวงปู่รอด วัดนายโรง |
เสียง “ ขลุก ” ของปรอทจากการสังเกต “ เสียงขลุก ” ของปรอทในขณะที่เขย่า เบี้ยแก้ ที่ริมหูจะได้ยินเสียงกระฉอกไปมาของปรอทภายในท้อง เบี้ย สำหรับของทั้งสองสำนักดังกล่าวจะมีเสียงขลุกคล้ายคลึงกันมาก กล่าวคือจะมีลักษณะเป็น เสียงกระฉอกของปรอท ซึ่งสะท้อนไปสะท้อนมาหลายทอด หรือหลายจังหวะ ชะรอยการบรรจุปรอทจะต้องมีเทคนิค หรือกรรมวิธีที่แยบคายบางประการ เช่น การบรรจุปรอทในปริมาณที่พอดีกับปริมาตรภายในท้อง เบี้ย คือให้เหลือช่องว่างไว้พอสมควร ให้ปรอทได้มีโอกาสกระฉอกไปมาได้สะดวกและแน่นอนเป็นการบรรจุปรอทที่มีจำนวนใกล้เคียงกันกับขนาดของเบี้ย
เบี้ยแก้ บางตัวจะมีเสียงขลุกไพเราะมาก เป็นเสียงขลุกที่มีหลายจังหวะ และหลายแบบ คือมีทั้งเสียงหนักและเสียงเบาสลับกันไป อุปมาเหมือนกับชั้นเสียง ส่วน เบี้ยแก้ บางตัวที่บรรจุปรอทน้อยเนื่องจากขนาดตัว เบี้ย ใหญ่ การกระฉอกของปรอทคล่องแคล่วดี แต่เสียงขลุกขาดความหนักแน่น ไม่เหมือนกับที่มีขนาดพอดี
กรรมวิธีในการทำ เบี้ยแก้ ทั้งของ วัดนายโรง และ วัดกลางบางแก้ว เหมือนกัน ผู้ที่ต้องการ เบี้ยแก้ จะต้องหาของที่ใช้ในการสร้างไปให้ครบ ดังนี้คือ
- ปรอทหนัก 1 บาท
- เบี้ย ( หอย ) บางรายจะนับให้ได้ฟัน 32 ซี่
- ชันโรงใต้ดิน
![]() |
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ การลงรักของ วัดนายโรง มักจะลงน้ำเกลี้ยงค่อนข้างบาง ไม่เคยพบชนิดหนามาก่อน บางอันใช้ด้ายสีเหลืองอ่อนถักโดยไม่ลงรักก็มี บางอันที่ใช้ย้อมยางมะพลับก็มีแต่เป็นส่วนน้อย
“ วิชาการทำ เบี้ยแก้ วัดนายโรง ” ได้เว้นช่วงไปหลังจาก “ หลวงปู่รอด ” มรณภาพ จะมีก็เพียง “ หลวงพ่อทัศ วัดคฤหบดี ” ศิษย์ของท่านที่สร้างไว้บ้างแต่ไม่แพร่หลายมากนัก ส่วน “ หลวงพ่อฉาย วัดบางบำหรุ ” ก็มีสร้างบ้างแต่น้อยมาก ผู้ที่เรียนไว้อีกองค์หนึ่งคือ “ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ” แต่ก็ไม่เคยได้สร้างไว้เลย มีเพียงครั้งหนึ่งผู้เขียนและคุณแล่ม จันทพิศาโล ไปขอให้สร้าง แต่ก็ไม่ได้มา บางคนว่า “ หลวงพ่อรัตน์ วัดบางบำหรุ ” เคยสร้างไว้น้อยมาก แต่ก็ไม่เคยเห็นและทราบแน่ชัด จน เบี้ยแก้ สาย วัดนายโรง เกือบจะสิ้นสูญไปแล้ว
ประวัติ วัดนายโรง สร้างโดย “ เจ้ากรับ ” เป็นสามัญชน แต่ที่ถูกเรียกขานเป็นถึงเจ้านั้น อาจด้วยบทบาทการแสดงที่โดดเด่นในฐานะเป็นตัวพระ ซึ่งตามท้องเรื่องในละครต้องเล่นเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เจ้ากรับแม้ว่าจะเป็นเพียงสามัญชน แต่ก็มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ทางการละครของกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงขนาดที่ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้สืบค้นเรื่องราวของเจ้ากรับ และบันทึกไว้ในส่วนหนึ่งของหนังสือ ตำนานเรื่องอิเหนา ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
เจ้ากรับ เกิดในรัชกาลที่ 1 เมื่อปีขาล พ.ศ.2349 บ้านเดิมอยู่หลังวัดระฆัง เดิมมีพี่ชายคนหนึ่ง ตกน้ำหายไปขณะที่แม่พาลงเรือพายขายขนม สร้างความเสียใจจนต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พายเรือผ่านจุดที่ลูกจมน้ำ ต่อมาหญิงเฒ่าชาวมอญรับทำวิทยาคมให้ได้ลูกคืนมา เมื่อแม่ตั้งครรภ์คลอดได้ทารกเพศชาย จึงตั้งชื่อว่า กลับ สมตามคำของยายมอญรับว่าจะได้ลูกคืนกลับมา
เด็กชายกลับ ได้เรียนรู้การละครจาก ครูทองอยู่ ตัวละครเอกในวังเจ้ากรมหลวงเทพบริรักษ์ ครูทองอยู่มีความชำนาญด้านแต่งกลอนและขับเสภา และยังเป็นผู้ร่วมประดิษฐ์ท่ารำทำบทถวายตามท้องเรื่องบทละครพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 2 เด็กชายกลับจึงน่าจะเคยผ่านการฝึกฝนท่ารำที่ครูได้ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นใหม่ และต้องรำถวายล้นเกล้ารัชกาลที่ 2 ทอดพระเนตรเพื่อทรงแก้ไข นับเป็นโอกาสดีที่เด็กชายกลับได้ร่ายรำและเรียนรู้ถึงขั้นตอนการคิดค้นสร้างต้นแบบแห่งลีลานาฏกรรมชั้นครู
ต่อมา เด็กชายกลับ ได้เข้าร่วมงานเป็นตัว ละครโรงของครูบุญยัง ( เสวกโท จมื่นมานิตย์นเรศ ) ซึ่งเป็นครูละครนอกผู้โด่งดังตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 1 ครูบุญยัง ตามประวัติคือผู้สร้างวัดละครทำ บ้านขมิ้น ( บริเวณสี่แยกพรานนก ) ด้วยเหตุนี้ จากท่วงท่าลีลาอันงามสง่าของละครหลวงที่เติบโตมา เด็กชายกลับต้องปรับเปลี่ยนวิถีนาฏกรรมเป็นแบบของละครนอกที่รวดเร็วเร้าใจในแบบพื้นบ้าน และสามารถพัฒนฝีมือจนประสบความสำเร็จ มีผู้คน ติด เพิ่มมากขึ้น จากเด็กชายกลับถึงวันนั้นก็ถูกเรียกขานนามใหม่ว่า เจ้ากรับ จนติดปากผู้คนสืบมา
เมื่อครูบุญยังถึงแก่กรรม เจ้ากรับได้รวบรวมและก่อตั้งคณะละครของตนขึ้น จึงมีฐานะเป็น นายโรง ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงฯได้ทรงอรรถาธิบายความหมายของ นายโรง ไว้ดังนี้
“ ละครนอกที่เล่นกันอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ก่อนมาต่างกันเป็น 2 อย่าง คือ เป็นละครมีเจ้าของอย่าง 1 เป็นละครประสมโรงอย่าง 1 ผู้เป็นเจ้าของละครมักเป็นโขนหรือเป็นละครของผู้อื่นอยู่ก่อน ครั้นเล่นดีมีชื่อเสียงแล้ว จึงแยกมารวบรวมพวกพ้องฝึกหัดเล่นเป็นละครขึ้นโรงหนึ่งต่างหาก ดังเช่นนายบุญยังเมื่อรัชกาลที่ 1 และเจ้ากรับเมื่อรัชกาลที่ 3 เป็นตัวอย่าง ตัวเจ้าของละครเป็นครูด้วย และเป็นตัวสำคัญในโรงนั้นด้วย คงมาแต่เหตุนี้จึงเรียกกันว่า นายโรง ”
เจ้ากรับได้ย้ายจากบ้านเดิมที่หลังวัดระฆัง ไปอยู่ที่ริมคลองบางกอกน้อย บริเวณปากคลองบางบำหรุ พร้อมๆ กับสมาชิกในคณะละคร มีผู้มาร่วมฝึกหัดเพิมเติมจนสามารถก่อตั้งละครโรงใหญ่ รับงานที่มีผู้มาหาไปเล่น ทั้งงานฉาก งานปลีก แต่ไม่รับงานเหมา
เจ้ากรับขยายกิจการละครของตนให้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีผู้คนที่มาฝึกฝนมากขึ้น สะสมเครื่องละครและปี่พาทย์ครบครัน จนสามารถรับงานละครได้ถึง 3 โรงพร้อมๆ กัน เจ้ากรับจึงมีฐานะร่ำรวย จนมีชื่อเสียงเป็นที่รับรู้ทั่วกรุงในยุคนั้น
ในปี พ.ศ.2397 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯให้มีการสมโภชฉลองเปิดคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งทรงโปรดฯให้ขุดเพื่อขยายรัศมีเพิ่มพื้นที่เมืองหลวงออกโดยรอบ งานสมโภชคลองผดุงฯซึ่งมีตลอด 3 วัน เจ้ากรับรับอาสาจัดละครร่วมการฉลองพร้อมกันถึง 7 โรง ตั้งกระจายตลอดความยาวของคลอง 137 เส้น ( ป5.5 กม.ป ) ซึ่งแสดงให้เห็นความรุ่งเรืองถึงขีดสุดในกิจกรรมละครนอกของเจ้ากรับ ในยุคสมัยที่ละครนอกคือสันทนาการที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อชีวิตชาวพระนคร
เจ้ากรับยังได้ผลักดันวัตกรรมการละคร จากเดิมละครนอกใช้นักแสดงทั้งหมดเป็นชาย เจ้ากรับได้พยายามฝึกผู้หญิงมาร่วมแสดงในละครนอกเป็นครั้งแรก แต่งานนี้มีอุปสรรค เพราะตัวละครหญิงที่ฝึกฝนจนมีฝีมือสามารถลงโรง ก็มักถูกผู้มีบรรดาศักดิ์ตัดหน้าขอเอาไปเป็นภรรยา ด้วยเหตุนี้งานละครที่ผสมโรงร่วมระหว่างนักแสดงชายจริงและหญิงแท้ จึงไม่เคยเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเจ้ากรับ
![]() |
จิตรกรรมฝาผนังที่วัดนายโรง |
เจ้ากรับถึงแก่กรรมในปีขาล พ.ศ.2409 รวมสิริอายุได้ 61 ปี
พระอารามที่เจ้ากรับสร้างขึ้นนี้ ถูกเรียกขานกันในหลากชื่อหลายนาม อาทิ วัดละครทำ วัดละครธรรม วัดนายโรง เจ้ากรับ และยังมีนามพระราชทานจากล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 4 ว่า วัดสัมมัชชผล ซึ่งแปลได้ว่า อารามที่เป็นผลผลิตจากการประกอบสัมมาชีพ อย่างไรก็ตาม นามพระราชทานก็ไม่ติดปากผู้คนในชุมชน วัดของเจ้ากรับรู้จักกันต่อมาและถูกจดทะเบียนอย่างเป็นทางการในนาม วัดนายโรง
บันทึกการเปลี่ยนแปลงชื่อเสียงเรียงนามแห่ง วัดนายโรง
กว่าที่วัดที่เจ้ากรับสร้าง ณ ปากคลองบางบำหรุ จะได้ชื่อว่า วัดนายโรง ได้ผ่านการเรียกขานอย่างสับสน ดังมีหลักฐานดังนี้
พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ มีบันทึกการตั้งและแปลงนามวัดต่างๆ ดังนี้
วัดเงิน แปลงว่า วัดรัชฎาธิฐาน
วัดดอกไม้ แปลงว่า วัดบุปผาราม
วัดตะเคียน แปลงว่า วัดมหาพฤฒาราม
วัดชีปะขาว แปลงว่า วัดศรีสุดาราม
วัดนายกรับลคร แปลงว่า วัดสัมมัชชผล
วัดอำแดงแฟง แปลงว่า วัดคณิกาผล
เจ้ากรับเป็นผู้มากบารมีและกำลังทรัพย์ มีความตั้งใจสร้างวัดให้งดงาม จึงจ้างช่างมาวาดจิตรกรรมไว้ในโบสถ์ โดยกลุ่มช่างเขียนโบสถ์จึงทุ่มเทสุดฝีมือสนองตอบ บวกกับความได้เปรียบที่ไม่ต้องติดในกรอบประเพณีเชิงช่างเช่นวัดหลวง ช่างเขียนมีอิสระที่จะคิดค้น สร้างสรรค์ นำรูปแบบศิลปะตะวันตกมาปรับใช้อย่างแนบเนียนและน่าสนใจ ซึ่งมีข้อสังเกตดังนี้
![]() |
พระอาจารย์สุรัฐ สิริปุญโญ |
แสงเงา จากจิตรกรรมไทยที่ไม่เน้นแสงเงา ภาพปราสาทราชวังมักแบนราบขาดมิติ ในขณะที่จิตรกรรม วัดนายโรง มีการใช้แสงเงาเข้าจับตัวอาคาร ป้อมค่าย ก่อเกิดปริมาตรที่ชัดเจน สร้างมิติในจินตภาพ ช่วยให้สามารถแยกแยะพื้นที่จำเพาะ จนรู้สึกได้ถึงขนาดของเมืองที่ถูกโอบจากกำแพงป้อมค่ายที่ถูกฉาบแสงเงา
ลีลาท่วงท่าของผู้คน จากจิตรกรรมจารีตนิยม ที่รูปบุคคลหยุดนิ่งหรือมีลีลาคงที่ ช่างเขียนแห่ง วัดนายโรง ได้นำเสนอลีลาท่วงท่าใหม่ สอดแทรกอย่างมีชั้นเชิง นับเป็นปรากฏการณ์ที่แหวกกฎเกณฑ์
ปุยเมฆ จากเมฆที่คล้ายก้อนวัตถุในจิตรกรรมจารีต วัดนายโรง ได้นำเสนอปุยเมฆที่บางเบาล่องลอย ปุยเมฆช่วยผลักภาพและเรื่องราวไปอยู่สุดขอบฟ้า เป็นวิธีสร้างมิติของระยะที่ล้ำยุคสมัย
อย่างไรก็ตาม จิตรกรรมแห่ง วัดนายโรง ยังรักษารูปแบบและเนื้อหาหลักของงานจิตรกรรมดั้งเดิมไว้ครบถ้วน แต่ได้เปิดพื้นที่สอดแทรก โดยดูดซับเอาเทคนิคและวิธีการทางศิลปะจากตะวันตกเข้าผสมผสาน โดยภาพรวมของวิถีจิตรกรรมแห่งงานช่างเขียนโบราณไม่ตกหล่นเสียหาย
จิตรกรรมแห่ง วัดนายโรง เป็นหลักฐานสำคัญของวิวัฒนาการช่างเขียนไทย ที่ได้คิดค้น ทดลอง และสร้างผลงานจริงอย่างเต็มภาคภูมิ โดยสามารถสื่อทั้งเนื้อหาและความงามได้เต็มประสิทธิภาพ ในงานศิลปะบนพื้นที่จิตรกรรมภายในพระอารามอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน และเต็มรูปแบบ
( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1143 ผู้สืบทอด เบี้ยแก้วัดนายโรง “ พระอาจารย์สุรัฐ สิริปุญโญ ” ปักษ์หลัง เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2557 ราคาปก 99 บาท )
วันนี้! อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้
สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า..