วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ท่านพระครูภาวนากิตติคุณ (หลวงพ่อน้อย) วัดธรรมศาลา ผู้ยิ่งด้วยบารมี ตอนที่ 3 (จบ) เขียนโดย แสน วิชาชาญ

ในตอนที่แล้วได้เล่าถึง นะทรงแผ่นดิน มาจนถึงกุฏิของ หลวงพ่อน้อย ที่กรรมการวัดขอสร้างใหม่ แต่ท่านปฏิเสธ ในปี 2510 จะได้กล่าวถึงต่อไปในตอนนี้ หลวงพ่อคงจำพรรษาอยู่ในกุฏิเก่าต่อมาเรื่อยๆ จนต้นปี 2511 

คณะกรรมการวัดก็เข้าไปหาท่านอีกครั้ง ตอนนั้นหลวงพ่อกำลังนั่งพักผ่อนตามสบาย พอเห็นกรรมการวัดเข้าพบท่านก็ครองผ้าให้เรียบร้อย พอกรรมการวัดก้มลงกราบ ท่านก็บอกว่า

“มาเรื่องสร้างกุฏิใหม่อีกแล้วไง บอกว่าไม่ต้องหรอกสร้างอย่างอื่นดีกว่า ก็ไม่ฟังนี่นา”

กรรมการวัดจึงกราบเรียนว่า “กุฏิหลังนี้นอกจากหลวงพ่อจำวัดแล้ว ด้านล่างก็จะมีที่สำหรับพระจำวัดด้วย ประการแรก รองรับพระบวชใหม่ให้ใกล้ชิดหลวงพ่อ พระที่เคยเป็นอุปัฏฐากหลวงพ่อก็จะได้คอยดูแลใกล้ชิดเวลาหลวงพ่ออาพาธ มิใช่เพียงหลวงพ่อจะใช้เท่านั้น เป็นประโยชน์ทั่วไปด้วย”

หลวงพ่อน้อยนิ่งอยู่นาน ก่อนจะกล่าวกับคณะกรรมการด้วยเสียงที่ทำให้ทุกคนถึงกับนิ่งอึ้ง

“เมื่อจะสร้างเพื่อเป็นถาวรวัตถุอเนกประสงค์ก็ไม่ว่าอะไร แต่รู้กันไว้เลยนะว่า สร้างแล้วฉันก็จะอยู่อีกไม่นาน วาระของฉันนั้นใกล้จะหมดแล้ว จะได้ให้ผู้อยู่ข้างหลังได้อาศัยต่อไปเป็นทาน แล้วทุนล่ะจะหาจากที่ไหนกัน เงินวัดไม่มีดอกนะ เพราะสร้างไปจนไม่มีเหลือแล้ว”

กรรมการวัดจึงกราบเรียนว่าเป็นการออกทุนกันเองในหมู่ผู้เป็นศิษย์ เพื่อเป็นสังฆบูชาแก่หลวงพ่อเป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณ หลวงพ่อจึงออกปากอนุญาต ระหว่างที่กำลังสร้างกุฏิหลวงพ่อก็อยู่ในกุฏิเดิมตลอดมาเหมือนที่เคยเป็นมา แม้ว่าสุขภาพของหลวงพ่อจะไม่ค่อยดีนัก แต่วี่แววของการที่ชีวิตหลวงพ่อจะสิ้นนั้นยังไม่ปรากฏ ทุกคนต่างคิดว่าหลวงพ่อก็บ่นปรารภความตายเหมือนกับคนแก่ทั่วไปที่ระลึกว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดาโลก

กุฏิก่อสร้างไปตามลำดับ และเมื่อใกล้เสร็จกรรมการวัดก็ไปนมัสการหลวงพ่อว่าให้ตั้งชื่อ หลวงพ่อน้อย ท่านก็บอกว่า 

“ไปตั้งกันเอาเองเถิด แล้วแต่จะเห็นสมควรก็แล้วกัน ฉันไม่ว่าอะไร เพราะฉันฉลองศรัทธาพวกคุณได้ไม่มากมายอะไรแล้ว เวลาของฉันใกล้หมดเต็มทีแล้ว”

คณะกรรมการ รวมทั้งผู้ช่วยเจ้าอาวาสขณะนั้นลงความเห็นว่า นามฉายาทางพระของหลวงพ่อว่า “อินทสโร” กุฏิจึงควรใช้ชื่อว่า “กุฏิอินทสร”

เมื่อนำเรื่องไปนมัสการเรียนให้ทราบ หลวงพ่อก็บอกว่า สาธุ! ขอให้ดำเนินการไปตามแต่จะเห็นสมควร กุฏิสร้างเสร็จในปี พ.ศ.2512 ฉลองแล้วนิมนต์หลวงพ่อน้อย ขึ้นจำวัดบนกุฏิ หลวงพ่อก็ขึ้นไปอยู่เพื่อฉลองศรัทธา 

ทุกคนคิดว่าคำพูดของหลวงพ่อน้อย คงจะเป็นเรื่องที่ไม่มาในเวลาอันใกล้ แต่แล้วทุกคนก็ประจักษ์ว่าหลวงพ่อพูดความจริงทั้งหมด

ต้นปี 2513 หลวงพ่อน้อย ก็อาพาธหนักจนต้องนำส่งโรงพยาบาล และแพทย์พยายามช่วยเหลือจนสุดความสามารถ แต่หลวงพ่อก็ถึงแก่มรณภาพด้วยความสงบสมกับเป็นนักปฏิบัติ 
รวมเวลาอยู่บนกุฏิได้ประมาณ 1 ปี และนับจากวันที่ขออนุญาตสร้าง และหลวงพ่อน้อยปลงอายุสังขารได้ 2 ปีเศษ เหมือนกับที่ท่านบอกไว้ว่า

“รู้ไว้เลยนะว่า สร้างแล้วฉันอยู่ได้อีกไม่นาน วาระของฉันใกล้หมดแล้ว”

สรีระของหลวงพ่อน้อย ไม่ได้ฉีดยากันเน่า แต่ให้อยู่ตามสภาพ หลังจากครบ 100 วัน ที่เก็บไว้ ก็นำสรีระของหลวงพ่อออกมาจะประกอบพิธี ก่อนขอพระราชทานเพลิงศพต่อไป ปรากฏว่าไม่เน่า แต่กลับคงเดิมและแข็งเป็นหิน เส้นเกศาและเล็บยาวออกมาได้เหมือนกับว่ามีชีวิต

ทางกรรมการวัดจึงหาทุนซื้อโลงแก้วมาประดิษฐานร่างของหลวงพ่อน้อยไว้ให้ได้สักการะ หลังจากการประชุมกรรมการวัดมีมติให้เก็บร่างของหลวงพ่อไว้ โดยไม่ขอพระราชทานเพลิงศพจนทุกวันนี้

ครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อน้อย ได้แสดงอภินิหารในระหว่างที่ท่านไม่มรณภาพคือ การปลุกเสก รูปหล่อรุ่นแรก ของหลวงพ่อ อันเป็นรูปหล่อขนาดบูชาและขนาดเล็กติดตัว หลวงพ่อน้อยให้จัดพิธีพุทธาภิเษก หลวงพ่อบอกว่าจะได้ขลัง แล้วหลวงพ่อจะปลุกเสกเดี่ยวซ้ำ

งานนั้นหลวงพ่อน้อยนั่งปรกด้วย ปรากฏว่าช่างภาพ น.ส.พ. ฉบับหนึ่งผู้เขียนจำไม่ได้แล้ว ถ่ายภาพหลวงพ่อไว้หลายภาพ แต่ปรากฏว่าภาพทุกภาพที่ถ่ายพระเกจิที่มาร่วมพิธีติดชัดเจนหมด แต่พอมาถึงที่หลวงพ่อน้อย นั่งปรากฏว่ามีแต่ที่นั่ง ทำเอาช่างภาพขนหัวลุก นำภาพมาให้หลวงพ่อดูแล้วบอกกรรมการวัดด้วยความตื่นเต้น แต่หลวงพ่อน้อยกลับหัวเราะแล้วบอกว่า

“ฟิล์มไม่ดีกระมัง แหม! นี่ถ้าทุกรูปถ่ายแล้วเสียหมด อย่างนี้งานนี้คงไม่มีใครเชื่อว่า มีพระมานั่งปรก แต่คิดว่าคงจะไม่มีใครมาร่วมงานทีหลังดูกล้องให้ดีๆ ก่อน”

เรื่องแพร่ออกไป รูปหล่อขนาดเล็กห้อยคอ รุ่นแรก ก็หมดเกลี้ยงเพียงไม่นานนัก ต้องทำรุ่น 2-3 มาให้หลวงพ่อปลุกเสกเดี่ยว เพราะคนต้องการมาก รูปหล่อรุ่นแรก ตอนนี้สวยๆ หลักหมื่นต้น คนก็ยังต้องการ
เชื่อกันว่า รูปหล่อรุ่นแรก ของหลวงพ่อน้อย นอกจากจะป้องกันอันตรายแล้วยังมีความขลังด้านกำบังตาหรือลวงตาศัตรู เพราะตอนที่ถ่ายภาพหลวงพ่อน้อย อาจจะกำลังอธิษฐานจิตด้านกำบังตาอยู่ก็เป็นได้

หลวงพ่อน้อย ท่านเล่าเรียนวิชาอาคมจากสำนักของพระอุปัชฌาย์ของท่านคือ หลวงพ่อนวม อดีตเจ้าอาวาส วัดธรรมศาลา หลวงพ่อนวมองค์นี้เล่าลือกันว่ามีวิชาอาคมสามารถแปลงร่างเป็นเสือ หรือแปลงหน้ามิใครจำได้ (เรียกว่านารายณ์แปลงรูป) และยังมีวิชากำบังตาหายตัวที่เรียกว่า (วิชาวิรุณจำบัง) ถ่ายทอดให้หลวงพ่อน้อยทั้งหมด

หลวงพ่อนวมองค์นี้ หลวงปู่บุญ ท่านเจ้าคุณพระพุทธวิถีนายก ขันธโชติ นับถือนัก เล่าให้ หลวงปู่เพิ่ม ฟังว่า เป็นพระเกจิที่มีวิชา 8 ประการ และอภิญญา 16 ทำอะไรเหนือธรรมชาติได้ทุกอย่าง

นอกจากความหยั่งรู้แล้ว หลวงพ่อยังได้มีวิชาและศึกษาอาคมจากตำรับต่างๆ จนเชี่ยวชาญ วันหนึ่งมีผู้นำแร่สีดำๆ มาให้ท่านถึงที่วัด ท่านรับมาพิจารณาแล้วพูดว่า

“เป็นของดีมีเทวดารักษาอยู่ในกลางทะเล ไปได้มาอย่างไรกัน ให้กลับไปเอามาอีก”

เจ้าของแร่สีดำๆ ขนลุก ยังไม่ได้บอกรายละเอียดเลยว่า เป็นแร่อะไร มาจากไหน แต่ท่านรู้ จึงกราบเรียนไปว่า

“เป็นแร่เกาะล้านอยู่กลางทะเลจริงๆ มีผู้ไปนำมาแล้วมอบให้กระผมจึงนำมาถวาย”

แร่เกาะล้านนี้เป็นแร่วิเศษอยู่ในถ้ำท้ายเกาะล้าน ปากถ้ำเวลาน้ำทะเลขึ้นจะท่วมมิดปากถ้ำ เวลาน้ำลงพอจะเดินเข้าไปได้ ด้านในจะมีสินแร่สีดำติดอยู่กับผนังถ้ำ ต้องไปตัดเอามา ตอนแรกมีผู้นำมาโดยขอพลีจากเจ้าของถ้ำ นำมาตัดแบ่งกันติดตัว มีผู้เกิดประสบการณ์ถูกแทงไม่เข้า ถูกยิงไม่เข้า เพราะมีก้อนแร่เกาะล้านติดตัว เลยมีผู้ไปบอกกล่าวขอกันเป็นประจำ เป็นที่รู้กันว่าใครก็ตามหากหยิบแร่ไปโดยไม่ได้ขอไม่ได้บอกกล่าว พอเรือออกจากเกาะจะถูกพายุถล่มจมอยู่ใต้ทะเลทุกรายไป

วันดีคืนดีก็จะมีคนพบเห็นสตรีหรือชีปะขาวเข้าออกถ้ำสลับกัน เชื่อว่าเป็นเทพยดาที่รักษาแร่เอาไว้ วัตถุมงคลเนื้อโลหะของหลวงพ่อจึงมีแร่เกาะล้านนี้ผสมอยู่ด้วย โดยจะมองเห็นเป็นสีดำๆ แทรกอยู่บนผิวและในเนื้อ หลวงพ่อบอกว่าเทวดาเขาจะคอยคุ้มครองคนที่มีแร่ติดตัวให้พ้นอันตรายต่างๆ ได้

หลวงพ่อน้อย ท่านเป็นห่วงการศึกษามาก มักจะหาทุนให้กับโรงเรียนวัดธรรมศาลา ดังเช่นพระยอดธงที่หลวงพ่อดำริให้สร้าง เพื่อให้บูชาเป็นการหาทุนบำรุงโรงเรียนโดยครูใหญ่เป็นผู้จัดสร้าง เป็นพระยอดธง เนื้อโลหะผสม มีเดือย ที่เดือยตะไบให้แบนแล้วตอกโค้ด ร.เรือ สองตัว เว้นวรรคห่างกัน หลายคนไม่รู้คิดว่าเป็นอักขระตัว อะ หรือ อัง

พระยอดธงรุ่นนี้ หลวงพ่อน้อย ปลุกเสกเดี่ยวจนจุใจ จึงให้กลับมาเปิดให้บูชา และตกค้างอยู่ที่โรงเรียนจำนวนหนึ่ง ตอนหลังผู้คนรู้เข้าก็ไปที่โรงเรียนวัดธรรมศาลาบูชาไป จนกระทั่งโรงเรียนได้เงินเข้าบำรุงโรงเรียนอีกมากมาย เป็นมรดกที่หลวงพ่อน้อยได้เมตตาทิ้งไว้ให้กับการศึกษาของเด็กชาวธรรมศาลาได้เป็นทุนในการเล่าเรียน

หลวงพ่อน้อย เป็นพระสมถะ มีความพอดุจเดียวกับที่ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม บอกกับชาวธรรมศาลาที่ไปหาท่านว่า

“หลวงพ่อน้อย ท่านเป็นพระแท้ เก่งกว่าฉันเสียอีก ฉันไม่ได้ครึ่งท่านหรอก”

กับที่หลวงปู่เพิ่มได้พูดกับชาวธรรมศาลาที่ไปหาท่านว่า

“พวกคุณทิ้งพระดีไว้ที่วัดธรรมศาลาแล้วละ”

หากท่านจะเดินทางไปนมัสการสรีระของหลวงพ่อน้อย ก็เชิญได้ที่วัด ทางวัดเปิดให้นมัสการทุกวัน จะเปิดเวลา 08.00 น. และปิดตอน 18.00 น. การเดินทางก็ง่าย ใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-นครปฐม พอถึงบ้านธรรมศาลา มองทางซ้ายจะเห็นป้ายบอกว่า วัดธรรมศาลา มีซุ้มประตูมองเห็นง่าย เลี้ยวรถเข้าไปก็ถึงแล้ว หากไปรถประจำทาง กรุงเทพฯ-นครปฐม ก็บอกกระเป๋าว่าจอดวัดธรรมศาลา เป็นไม่หลงทางแน่นอน

ที่มา: ลานโพธิ์ ฉบับที่ 890 เหรียญพ่อท่านซัง วัดวัวหลุง นครศรีธรรมราช พ.ศ.2480 [ คุณ ประกอบ กำเนิดพลอย เอื้อเฟื้อภาพ ] วางแผง เดือนพฤศจิกายน 2546 ราคาปก 50 บาท แจกฟรี โปสเตอร์ชุดที่ 3 รวมมงคลวัตถุ มหาอิทธิกฤตยาวัตถุ พระครูภาวนากิตติคุณ หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา อำเภอเมือง นครปฐม ; คอลัมน์ : ท่านพระครูภาวนากิตติคุณ (หลวงพ่อน้อย) วัดธรรมศาลา ผู้ยิ่งด้วยบารมี ตอนที่ 3 เขียนโดย แสน วิชาชาญ

#ลานโพธิ์ #หลวงพ่อน้อย #วัดธรรมศาลา #นครปฐม #พระครูภาวนากิตติคุณ(หลวงพ่อน้อย) #เหรียญพ่อท่านซัง #วัดวัวหลุง  #นครศรีธรรมราช