![]() |
พระพุทธรูปนาคปรกบูชา |
พุทธศิลป์อันงดงามและมีคุณค่าดังกล่าวได้รับการถ่ายทอดจำลองออกมาได้งดงามประดุจเดียวกัน พร้อมด้วย “ พระกริ่งบาเก็ง ” ซึ่งสร้างในนครวัดสมัยพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงได้รับมาเมื่อปี พ.ศ.2458 ก็ได้นำมาถอดแบบจากองค์จริง ซึ่งทรงบูชาประจำพระองค์มายาวนาน
![]() |
พระพุทธรูปนาคปรกดำรงราชานุภาพ เนื้อทองคำ |
พระประวัติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ “บุคคลสำคัญของโลก ผู้ทรงงานตลอดพระชนม์ชีพ”
![]() |
พระพุทธรูปนาคปรกดำรงราชานุภาพ เนื้อนวะ |
ปี พ.ศ.2420 ได้ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก ได้รับพระราชทานยศเป็นนายร้อยตรี และต่อมาเป็นนายทหารราชองครักษ์ ในปี พ.ศ.2430 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบกคนแรกของกองทัพไทย
พระกรณียกิจด้านการปกครอง สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นองค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ระหว่างปี พ.ศ.2435 ถึง พ.ศ.2458 ทรงมีบทบาทอันสำคัญยิ่งในการปฏิรูปการจัดระเบียบการปกครอง และการบริหารราชการของกระทรวงมหาดไทย
![]() |
พระพุทธรูปนาคปรกดำรงราชานุภาพ เนื้อสัมฤทธิ์ |
นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงรับพระภารกิจในการปรับปรุงกิจการด้านต่างๆ อาทิ การป่าไม้ การสาธารณสุข งานด้านสรรพากร และงานอุตสาหกรรมโลหกิจ ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาประเทศมาจนถึงปัจจุบัน
ทางด้านศิลปกรรม ทรงริเริ่มและวางรากฐานการดำเนินงานของกิจการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติและหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ทรงพระนิพนธ์หนังสือตำราต่างๆ ในด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี อันเป็นมรดกทางปัญญาของชาวโลก จนได้รับพระสมัญญานามเป็น “ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ” และทรงได้รับการประกาศยกย่องจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมสหประชาชาติ ( UNESCO ) ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกคนแรกของประเทศไทย ในปี พ.ศ.2505
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงประกอบพระกรณียกิจด้านต่างๆ อันเป็นคุณูปการในการบริหารบ้านเมือง ผลงานของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ต่อมหาชนทุกยุคสมัย ทรงเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตรัสยกย่องว่าทรงเป็นประดุจ “ เพชรประดับมหามงกุฎ ”
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สิ้นพระชนม์ ณ วังวรดิศ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2486 รวมพระชนมายุ 81 พรรษา
ความเป็นมาในการจัดสร้าง
![]() |
สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ |
1. พระนาคปรกดำรงราชานุภาพ (ศิลปะศรีวิชัย)
คณะกรรมการมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้จัดสร้าง พระนาคปรก ปางมารวิชัย โดยจำลองจากพระพุทธรูปสัมฤทธิ์นาคปรก ปางมารวิชัย สมัยศรีวิชัย ซึ่ง “ กรมพระยาดำรงฯ ” ได้พบที่ วัดเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พระพุทธรูปองค์ดังกล่าวจัดว่าเป็น พระพุทธรูปนาคปรก ที่งดงามที่สุดองค์หนึ่งของประเทศไทย ทั้งนี้นอกจากพระนาคปรกจะเป็นพระประจำวันเสาร์ อันเป็นวันที่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระประสูติกาลแล้ว พระพุทธรูปนาคปรก ปางมารวิชัย ยังแสดงถึงการบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอันสูงสุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกด้วย
ประวัติพระพุทธรูปสัมฤทธิ์นาคปรก ปางมารวิชัย สมัยศรีวิชัย องค์นี้ หม่อมเจ้า สุภัทรดิศ ดิศกุล ได้บันทึกไว้ว่า
ทางฝ่ายไทยซึ่งปกตินับถือพุทธศาสนาลัทธิเถรวาท มักเชื่อกันว่า พระพุทธรูปนาคปรก ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำวันเสาร์นั้น หมายถึงว่าในสัปดาห์ที่เจ็ด หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ได้เสด็จไปประทับบำเพ็ญสมาธิใต้ต้นจิก ขณะนั้นเกิดพายุใหญ่ พระยานาคมุจลินท์ซึ่งอาศัยอยู่ในสระใหญ่ข้างเคียง จึงขึ้นมาปกป้องพระพุทธองค์โดยใช้ขนดนาครองรับพระพุทธองค์และแผ่พังพานขึ้นเหนือพระเศียร
![]() |
พระกริ่งดำรง (บาเก็ง) เนื้อทองคำ |
![]() |
พระกริ่งดำรง (บาเก็ง) เนื้อนวะ |
![]() |
พระกริ่งดำรง (บาเก็ง) เนื้อสัมฤทธิ์ |
จากบันทึกในนิราศนครวัด ซึ่งกล่าวไว้อย่างชัดเจนถึงการพบพระกริ่งปทุมสุริยวงศ์นั้น เป็นพระกริ่งอย่างเดียวกันกับที่เราเรียกว่า พระกริ่งบาเกง บาเก้ง บาเค็ง หรือ บาเคง ก็สุดแต่ใครจะออกเสียง แต่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯ ออกเป็นว่า ( บาเกง ) ในบันทึกวันที่ 30 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2467 เวลาเช้า ความตอนหนึ่งว่า
“ อนึ่ง เรามาเที่ยวนี้ ได้ตั้งใจสืบสวนกาลเรื่องหนึ่งคือ เรื่องพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ซึ่งเรียกกันว่า พระกริ่ง เป็นของที่นับถือ และขวนขวายหากันในเมืองเรามาแต่ก่อน กล่าวกันว่าเป็นของพระเจ้าประทุมสุริยวงศ์ สร้างไว้เพราะได้ไปจากเมืองเขมรทั้งสิ้น
เมื่อครั้งรัชกาลที่ 4 พระอมรโมลี ( นพ ) วัดบุปผาราม สั่งมหาปาน ราชาคณะธรรมยุทธในกรุงกัมพูชาองค์แรก ซึ่งต่อมาได้เป็น สมเด็จพระสุคนธ์ นั้นมาได้ พระกริ่ง ขึ้นไปให้คุณตา ( พระยาอัพภันตริกามาตย์ ) ท่านให้แก่เราแต่ยังเป็นเด็กองค์หนึ่ง เมื่อเราบวชเป็นสามเณร นำไปถวายเสด็จพระอุปัชฌาย์ ( สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ) ทอดพระเนตร ท่านตรัสว่าเป็นกริ่งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์แท้ และทรงอธิบายต่อไปว่า พระกริ่งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ นั้นมี 2 อย่าง เป็น สีดำ อย่างหนึ่ง เป็น สีเหลือง องค์ย่อมลงมากว่าเป็นสีดำอย่างหนึ่ง แต่อย่างสีเหลืองนั้นเราไม่เคยเห็น ได้เห็นของคนอื่นก็เป็นสีดำทั้งนั้น
ต่อมาเมื่อเราอยู่กระทรวงมหาดไทย ( พ.ศ.2435-245 ) พระครูเมืองสุรินทร์เข้ามากรุงเทพฯ เอา พระกริ่ง มาให้อีกองค์หนึ่ง ก็เป็นอย่างสีดำ ได้พิจารณาเทียบเคียงกันดูกับองค์ที่คุณตาให้เห็นเหมือนกันไม่ผิดเลย จึงเข้าใจว่าพระกริ่งนั้นเดิมเห็นจะตีพิมพ์ทีละมากๆ รูปสัณฐานเห็นว่าเป็นพระพุทธรูปอย่างจีน มาได้หลักฐานเมื่อเร็วๆ นี้ ด้วยราชทูตต่างประเทศคนหนึ่งเคยไปอยู่ปักกิ่ง ได้พระกริ่งของจีนมาองค์หนึ่งขนาดเท่ากัน แต่พระพักตร์มิใช่พิมพ์เดียวกับพระกริ่งเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ถึงกระนั้นก็เป็นหลักฐานว่า พระกริ่ง เป็นของจีน คิดแบบอย่างตามตำราในฝ่ายมหายานเรียกว่า “ ไภษัชยคุรุ ” เป็นพระพุทธรูปทรงถือเครื่องบำบัดโรคคือบาตรขีดน้ำมนต์ หรือผลสมอ เป็นต้น สำหรับบูชาเพื่อป้องกันสรรพโรคาภาธ และอัปมงคลต่างๆ เพราะฉะนั้น พระกริ่ง จึงเป็นพระสำหรับทำน้ำมนต์ เรามาเที่ยวนี้จึงตั้งใจจะสืบหาหลักฐานว่า พระกริ่ง นั้น หากันได้ที่ไหนในเมืองเขมร ครั้นมาถึงเมืองพนมเปญ พบพระสงฆ์ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ลองไต่ถามก็ไม่มีใครรู้เรื่อง หรือเคยเห็น พระกริ่ง ( เรื่องพระเจ้าปทุมนั้นรู้กันแต่ในคำให้การของชาวกรุงเก่า ชาวเขมรอาจจะไม่รู้เรื่อง ) มีออกญาจักรีบอกว่า สักยี่สิบปีมาแล้วได้เคยเห็นองค์หนึ่งเป็นของชาวบ้านนอก แต่ก็หาได้เอาใจใส่ไม่ ครั้นมาถึงพระนครวัด จึงมาได้ความจากเมอซิเออร์ เออมาเชล ผู้จัดการรักษาโบราณสถานว่า เมื่อสัก 2-3 เดือนมาแล้ว เขาขุดซ่อมเทวสถาน ซึ่งแปลงเป็นวัดพระพุทธศาสนาบนยอดเขาบาแค็ง พบพระพุทธรูปเล็กๆ อยู่ในหม้อใบหนึ่งมีหลายองค์ เอามาให้เราดู เห็นเป็นพระกริ่งพระเจ้าสุริยวงศ์ ทั้งนั้น มีอย่างดำและอย่างเหลือง ตรงกับที่สมเด็จพระอุปัชฌาย์ทรงอธิบาย จึงเป็นอันได้ความแน่ว่า พระกริ่ง ที่ได้ไปยังประเทศเราแต่ก่อนนั้นเป็นของหาได้ในกรุงกัมพูชาแน่ แต่จะทำมาจำหน่ายจากเมืองจีน หรือพวกขอมจะเอาแบบพระจีนมาคิดหล่อขึ้นในประเทศขอม ข้อนี้ทราบไม่ได้ ”
![]() |
“กรมพระยาดำรงฯ” เสด็จที่พนมบาเก็ง ประเทศเขมร |
จากการที่ท่านเป็นนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีนี่เอง ที่บรรดาวัตถุโบราณของดีมีค่ามักจะผ่านสายพระเนตรของพระองค์ท่านตลอดเวลา และหนึ่งในบรรดาของดีของวิเศษนั่นก็คือ พระกริ่ง ธิเบตและ พระกริ่งบาเก็ง ซึ่งได้นำมาถอดแบบจากองค์ที่ใช้ประจำมาเป็นต้นแบบในการสร้างครั้งนี้
วัตถุประสงค์
ด้วย มูลนิธิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2523 เพื่อสืบสานพระปณิธานในสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ได้ทรงประกอบพระกรณียกิจในด้านต่างๆ อันเป็นคุณูปการแก่ประเทศชาติทั้งด้านการปกครอง การทหาร การศึกษา ตลอดจนด้านวิชาการทั้งทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี
เนื่องจากสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสนพระทัยและมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ทรงศึกษาค้นคว้าและรวบรวมโบราณวัตถุซึ่งมีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมไว้เป็นอันมาก มูลนิธิฯจึงเห็นควรจัดสร้างวัตถุมงคลในพระนามคือ พระกริ่งดำรง ( พิมพ์บาเก็ง ) และ พระนาคปรกดำรงราชานุภาพ (ศิลปะศรีวิชัย) ทั้งนี้เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ และรำลึกในพระกรุณาธิคุณ โดยเงินที่ได้รับจากการบริจาคบูชาในครั้งนี้จะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ดังนี้
1. เพื่อสมทบทุนมูลนิธิสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในการส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าทุกสาขาวิชาในทุกระดับ และการให้ทุนการศึกษาแก่ผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์
2. เพื่อสนับสนุนงบประมาณในการทำนุบำรุงศาสนสถาน และภัตตาหารแก่พระภิกษุและสามเณร วัดนิเวศธรรมประวัติ อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
3. เพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลแก่หอสมุดแห่งชาติ สมุดดำรงราชานุภาพ และพิพิธภัณฑ์วังวรดิศ
4. เพื่อประกอบกิจกรรมอันเป็นสาธารณประโยชน์ร่วมกับองค์กรการกุศลต่างๆ
( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 917 พุทธศิลป์เลิศล้ำ พิธีกรรมยอดเยี่ยม พระพุทธรูปนาคปรกดำรงราชานุภาพ, พระกริ่งดำรง (บาเก็ง) ปักษ์หลัง เดือน ธันวาคม 2547ราคาปก 50 บาท )
วันนี้! อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้
สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า..