ผู้วิเศษแห่งภูตะแบง หลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน ผู้มีความศักดิ์สิทธิ์เลื่องลือ (เหลือเชื่อ)

ภาพและเรื่องโดย สุธน ศรีหิรัญ
หลวงปู่สรวง เป็นผู้วิเศษแห่งภูตะแบง ที่รู้จักกันดีของชาวบ้านแถบชายแดนเขมร-ไทย ท่านเดินลัดเลาะอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร และมีชีวิตอยู่ตามกระท่อมร้างปลายนา ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย บางวันใส่จีวร บางวันห่มขาว อีกบางวันถึงนุ่งกางเกงก็มี ในฤดูร้อนท่านจะห่มผ้าและนั่งผิงไฟ ใครให้อะไรก็โยนเข้ากองไฟ โดยมิได้สนใจว่าเป็นของมีค่าหรือเงินทองมากน้อย เมื่อถึงฤดูหนาว ท่านจะนั่งถอดเสื้อผ้าเปลือยกายด้านบน ใช้ผ้าน้อยที่สุด และชอบอาบน้ำบ่อยๆ นานหลายวันอาจฉันอาหารบ้างเล็กน้อย เมื่อเข้าป่าท่านก็รูดใบไม้เป็นอาหาร 

หลวงปู่สรวง อายุเท่าใดไม่มีใครรู้ คนเฒ่าอายุ 90 ปี บอกว่าพ่อของเขาเกิดมาก็เห็นมีสภาพเช่นนี้ บางวันท่านอยู่แถบกันทรลักษณ์ อีกบางวันใกล้กันนั้นมีคนเห็นท่านอยู่ที่พนมเปญ ท่านชอบไปสนทนาธรรมกับ หลวงพ่อเจียม วัดกะมอล บ่อยๆ บางครั้งก็ให้คนขับรถของหลวงพ่อเจียมไปส่ง แต่ท่านลงกลางทาง พอขับรถไปอีกข้างหน้า ท่านกลับยืนคอยอยู่ก่อนรถจะไปถึง 

หลวงปู่สรวง เป็นพระเถระผู้ทรงศีล หรือดาบส หรือ ฤาษี หรือผู้วิเศษ ไม่มีใครตอบได้
หลวงปู่สรวง ที่เรารู้จักกันในนามนี้ในปัจจุบันนั้น เมื่อก่อนชาวบ้านในท้องถิ่นอำเภอขุขันธ์ กันทรลักษณ์ และอำเภอใกล้เคียง ที่มีภูมิลำเนาอยู่แถบชายแดน ตามเชิงเขาพนมดงรัก (พนมดองแร็ก) ซึ่งเป็นแนวเขตแดนระหว่างกัมพูชากับประเทศไทย มักจะเห็นท่านเป็นผู้ทรงศีลปฏิบัติธรรม พักอาศัยอยู่ตามกระท่อมในไร่นาของชาวบ้านโคก และเวียนไปที่นั่นที่นี่บ้าง นานๆ จะกลับมาเห็นในที่เดิมอีก 

ในสายตาและความเข้าใจของชาวบ้านในสมัยนั้นมองท่านในฐานะผู้มีคุณวิเศษ เหนือคนทั่วไป และเรียกขานว่า ลูกเอ็าวเบ๊าะ หรือ ลูกตาเบ๊าะ (เป็นภาษาเขมร หมายถึง พระดาบส ที่เป็นผู้รักษาศีลอยู่ตามถ้ำเขาลำเนาไพร) 

ในสมัยนั้นยังมีป่าพรรณไม้อุดมสมบูรณ์ และสัตว์ป่านานาพันธ์ ได้มีลูกศิษย์ติดตามหลวงปู่เดินธุดงค์ตามป่าเขาแถบชายแดนไทย และตลอดจนถึงประเทศเขมร แต่ก็อยู่กับหลวงปู่ได้ไม่นานจำต้องกลับบ้าน เนื่องจากทนความยากลำบากไม่ไหวหลวงปู่จึงเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ ตามลำพังเป็นส่วนมาก
ไม่มีใครทราบถิ่นกำเนิดและอายุของ หลวงปู่สรวง ที่แท้จริง ได้รู้แต่ว่าหลวงปู่เป็นชาวเขมรต่ำ บางกระแสก็บอกว่าท่านเกิดที่ เสียมเรียบ บางกระแสว่าท่านเกิดแถบ ภูตะแบง และได้เข้ามาในประเทศไทยนานแล้ว คนแก่คนเฒ่าผู้สูงอายุที่เคยเห็นท่านเล่าบอกว่า ตั้งแต่เป็นเด็กๆ เกิดมาก็เห็นท่านในสภาพลักษณะเหมือนที่เห็นในปัจจุบัน ถ้าผิดจากเดิมไปบ้างก็เล็กน้อยเท่านั้น ประกอบด้วยหลวงปู่เป็นคนพูดน้อย และไม่เคยเล่าประวัติส่วนตัวให้ใครฟัง จึงไม่มีใครที่จะสามารถรู้อายุและประวัติที่แท้จริงของท่านได้
ชาวบ้านแถบนี้พบเห็นหลวงปู่บ่อยๆ ที่ชายป่าบ้านตะเคียนราม วัดตะเคียนราม อำเภอภูสิงห์ บ้านลุมพุก บ้านโคกโพน กันทรลักษณ์ กันทรารมย์ ขุขันธ์ โดนอาว์ และหมู่บ้านอื่นๆ เกือบทุกหมู่บ้านในบริเวณตลอดแนวชายแดน ท่านจะเดินทางไปมาอยู่ในบริเวณแถบนี้โดยตลอด แต่ก็จะไม่อยู่เป็นประจำในที่แห่งเดียวเป็นเวลานานๆ บางทีหลวงปู่จะหายไปนานถึงสองสามปีถึงจะกลับ มาใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าหลวงปู่ไปอยู่ไหนมา ในช่วงหลังมานี้พบหลวงปู่จำอยู่ในกระท่อมในนาบริเวณต้นโพธิ์บ้านขยอง, วัดโคกแก้ว, บ้านโคกเจริญ, กระท่อมกลางนาระหว่างบ้านละลมกับบ้านจะบก, กระท่อมบ้านรุน (อำเภอบัวเชด) และมักไปสนทนาธรรมกับหลวงพ่อเจียม วัดกะมอล เสมอ และบ้านอื่นๆ อีกในท้องถิ่นเดียวกันนี้
ในระยะหลังนี้ได้มีผู้ปวารณาเป็นลูกศิษย์อาสาขับรถให้หลวงปู่ ได้เดินทางไปในที่ต่างๆ ทำให้มีผู้รู้จักหลวงปู่มากขึ้น ไปเกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย ในแต่ละวันจะมีผู้เดินทางเข้ามากราบไหว้หลวงปู่เป็นประจำและมีจำนวนมาก จึงทำให้บางคนก็สมหวังได้มีโอกาสกราบนมัสการ บางคนก็มาไม่พบต้องคอยหลวงปู่เป็นเวลานานกว่าหลวงปู่จะกลับมาถึง แม้จะต้องพบกับความลำบากเพียงใด ลูกศิษย์ก็ทนรอได้ เพียงขอให้ได้มีโอกาสกราบนมัสการ หลวงปู่สรวง สักครั้งในชีวิต
หลวงปู่สรวง เป็นพระที่มักน้อย สันโดษ สมถะ มีความอุเบกขาสูงสุดให้ความเมตตากับผู้ที่ได้พบเห็นทุกคน ให้ความสำคัญกับทุกคนเท่ากันหมด ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนยากจน เป็นเศรษฐี คนเข็ญใจ หรือรู้จักหลวงปู่มานาน ก่อนหลังหรือได้ติดตามรับใช้หลวงปู่มานานๆ ก็ตาม ท่านไม่เคยเอ่ยปาก หรือให้สิทธิพิเศษแก่คนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะแม้แต่ครั้งเดียว ทุกคนจะได้รับความเมตตาจากหลวงปู่เท่ากัน จึงทำให้มีผู้มากราบไหว้หลวงปู่เป็นประจำ และจะกลับมากราบไหว้หลวงปู่อีก เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ความเป็นอยู่ของ หลวงปู่สรวง ท่านจะอยู่อย่างเรียบง่าย จำวัดอยู่ตามกระท่อมปลายนาหลังเล็กๆ มีไม้กระดานเพียงไม่กี่แผ่น บางครั้งก็มีเพียง 2-3 แผ่น พอนอนได้เท่านั้นทุกแห่งที่หลวงปู่จำวัดอยู่จะมีเสาไม้ไผ่สูงๆ ปักอยู่ มีเชือกขึงระหว่างกระท่อมกับเสาไม้ หรือต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ มีว่าวขนาดใหญ่ทำด้วยจีวรหรือกระดาษผูกไว้เป็นสัญลักษณ์ และที่สำคัญคือ หลวงปู่จะก่อกองไฟไว้เสมอ บางครั้งลูกศิษย์เอาของไปถวาย หลวงปู่ก็จะโยนเข้ากองไฟ ฉะนั้น ถ้าเห็นว่ากระท่อมใดมีสิ่งของดังกล่าว ก็หมายความว่าที่แห่งนั้นหลวงปู่เคยจำวัดหรือเคยอยู่มาก่อน
อาจารย์จำเริญ ดวงใจ แห่งบ้านไพรพัฒนา ช่องสะงำ เล่าประวัติเรื่อง หลวงปู่สรวง พาสามเณรออกธุดงค์ให้ฟังว่า ชีวิตชาวนาในภาคอีสาน ในอดีตเมื่อ 50 ปีก่อนของชนบทที่อยู่ห่างไกลความเจริญของอีสานนั้น เป็นชีวิตที่สงบเงียบมีความสุขสบาย ไม่มีปัญหาเดือดร้อนในเรื่องค่าครองชีพเหมือนในปัจจุบัน ประกอบอาชีพทำไร่ไถนา หักร้างถางพงปลูกฟักแฟงแตงร้าน เก็บผักตามป่าตามทุ่งตามริมห้วยมากินกัน ป่ายังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยไม้ป่านานาพรรณ ห้วยหนองคลองบึงยังมีปูปลา ทุ่งนาก็เขียวชอุ่มไปด้วยผืนหญ้า และสลับสีสันด้วยดอกหญ้านานาชนิด
วันหนึ่งได้มีชายแปลกหน้าวัยกลางคน นุ่งขาวห่มขาวอุ้มไก่ชนมาขอพักที่บ้านครูสุวรรณ ดวงจันทร์ ครูใหญ่บ้านลุมพุก ต.กันทรารมย์ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ มีชาวบ้านไปมุงดูกันเต็ม เพราะไม่เคยเห็นคนที่โกนหัวนุ่งขาวห่มขาว ถือศีลปฏิบัติธรรมกันในแถบถิ่นนั้น ชาวบ้านจึงเห็นเป็นเรื่องแปลกเป็นที่น่าสนใจอยากจะรู้ว่าเป็นใครมาจากไหนมาทำไม จากปากต่อปากบอกต่อๆ กันชาวบ้านทั้งหญิงชายจึงมามุงดูกันเต็มลานหน้าบ้านครูสุวรรณไปหมด ด้วยกิริยาท่าทางซื่อๆ ผอมโซ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ชุดผ้าขาวสีมอๆ จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านที่มามุงดูไปต่างๆ นานา บางคนก็ว่าน่าจะเป็นคนบ้าไม่เต็มเต็ง คนดีเขาไม่อุ้มไก่เดินมาอย่างนี้หรอก บ้างก็ว่าคงจะเป็นผีบ้าผีบุญแปลงตัวมาจะจับเด็กไปกินตับ หรือเป็นสายลับมาสืบข่าวคราวของบ้านเมือง ต่างก็โจษจันกันไปทั่ว เพราะไม่รู้ว่าชายคนนี้คือใคร มาบ้านลุมพุกคราวนี้ด้วยจุดประสงค์อะไร
นายเวิ้ก เป็นคนบ้านเจ็ก อำเภอขุขันธ์ บ้านอยู่ใกล้ตลาด มาได้เมียอยู่บ้านลุมพุก ถือว่าตัวเองเป็นคนในเมืองมีความรู้เหนือกว่าคนในหมู่บ้าน ได้อวดศักดาให้คนที่อยู่ในที่นั้นดูว่า ตัวเองเป็นคนเก่ง เป็นคนกล้ากว่าใครๆ ได้ไปยืนค้ำหัวชายแปลกหน้าและขู่ตะคอกให้ยกไก่ให้
เอาไก่มานี่ ให้หรือไม่ให้ ถ้าไม่ให้ต้องเห็นดีกัน
เมือน ยืง ยืงมันออยเกือด เต ออยเกือด ยืงบานเอ็ย (ไก่ฉัน ไม่ให้หรอก ถ้าให้ท่าน ฉันจะมีอะไร คือคำตอบที่หลุดออกมาจากชายแปลกหน้าคนนั้น เป็นคำพูดที่วิงวอนขอความเห็นใจ)
แต่ก็ไม่ทำให้นายเวิ้กใจอ่อนหรือสงสารแม้แต่นิดเดียว กลับทำให้โกรธยิ่งขึ้น ได้ใช้สองมือยื้อแย่งจะเอาไก่เป็นของตัวให้ได้ ชายคนนั้นก็ไม่ยอม พยายามจะยุดเอาไว้ เมื่อไม่ได้ดังใจก็ใช้สองมือจับศีรษะโขกกับเสาเรือนที่ชายแปลกหน้านั่งพิงอย่างแรง ถึง 3 ครั้ง จนต้องยอมยกไก่ให้แก่นายเวิ้กไป ทำให้เป็นที่สลดหดหู่ใจและรู้สึกสงสารเห็นใจของผู้ที่อยู่ในที่นั้นยิ่งนัก โดยเฉพาะ นายเลียด เสาศิลา ที่ไปยืนดูกับเขาด้วยในวันนั้น (นายเวิ้กคนที่ทำร้ายนี้มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานก็ตาย ไก่ที่แย่งเอาไปก็ตายด้วย)
นายเลียด จึงได้พาชายแปลกหน้าไปพักที่บ้านจัดการหายาให้ตามมีตามเกิด เจ้าของร้านค้าของชำภายในหมู่บ้าน ชื่อเจ็กเอี๊ยะ แซ่ตั้ง และนางอ้อมภรรยา เห็นสภาพเกิดความสงสารได้ให้ผ้าขาว 2 ผืน เพื่อเอาไว้ใช้ผลัดเปลี่ยนกับชุดขาวที่นุ่งห่มติดตัวมาเพียงชุดเดียว นายเลียดและนางมาลัยภรรยาซึ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ยังไม่มีบุตร ได้ให้ที่พักพิงอาศัยอยู่กับตน

ชายแปลกหน้าได้บอกชื่อตัวเองว่าชื่อ สรวง และเรียกนายเลียดว่า เกอ (ไม่ได้เรียกว่าเกลอ) แต่นายเลียดก็เรียกท่านว่า ลูกตา  หรือ ลูกเอ็อวเบ๊าะ (พระดาบส)
รุ่งเช้าลูกตาได้พานายเลียดถือมีดถือครุไปถากเอาเปลือกต้นสมอและเปลือกต้นเค็งในทุ่งนาข้างหมู่บ้าน ได้มาเต็มครุเอามาสับใส่ในครกตำข้าว ตำให้แหลกละเอียดแล้วตักเอามาใส่ในครุไม้ (สานด้วยไม้ไผ่เอาชันไม้ผสมน้ำมันยางทากันน้ำไม่ให้รั่ว) ตักน้ำใส่ให้เต็ม ทิ้งไว้นานพอประมาณน้ำเปลือกไม้ออกเป็นสีดำทั่ว แล้วก็ตักเอากากเปลือกไม้ออก เอาผ้าที่เจ็กเอี๊ยะ-ยายอ้อมให้มาแช่ไว้แทน หลังจากนั้นท่านได้ถามว่าที่ไหนมีโคลนตมบ้าง นายเลียดบอกว่าโคลนตมมีอยู่ในห้วยในหนองเท่านั้น จึงได้พากันหิ้วครุที่แช่ผ้าพากันไปที่ห้วยข้างหมู่บ้าน โดยไม่ลืมแบกแหเอาไปด้วย
เมื่อมาถึงห้วยจัดการเอาผ้าที่แช่ในครุไว้มาย่ำในโคลน เมื่อย่ำจนโคลนติดทั่วถึงกันดีแล้ว ซึ่งใช้เวลานานพอสมควร หยิบผ้าเอาขึ้นมาดูเห็นว่ามันดำดีได้ที่ดีแล้วก็เอามาล้างโคลนตมออก โดยล้างกันคนละผืน สีดำของผ้าที่ย้อมฝาดที่เหยียบโคลนตมถูกล้างออกเป็นสีดำแผ่กระจายออกเป็นวงกว้างทีเดียว ล้างเสร็จเรียบร้อยก็นำมาตากไว้ริมห้วย นายเลียดได้ถามว่าย้อมทำไมไม่เอาไว้นุ่ง ท่านบอกว่าเอาไว้รองนั่งไม่ให้เปื้อน

ขณะที่รอให้ผ้าแห้ง นายเลียดได้เอาแหมากางรอปลาขึ้นฮุบ (โผล่ขึ้นหายใจเหนือน้ำ) เพื่อจะนำไปเป็นอาหารเย็น ลูกตาบอก จุดยืนรอปลา
เออ ยืนขยับไปตรงนั้นหน่อย เดี๋ยวปลาจะขึ้นมาเอง
นายเลียดขยับไปยืนกางแหรอตรงที่ลูกตาบอก อีกสักพักปรากฏว่าปลาขึ้นมาโผล่หายใจฮุบน้ำแล้วมุดลงเป็นวงกระจายกว้างทีเดียว ไม่รอช้านายเลียดจัดการเหวี่ยงแหทอดลงไปทันที แล้วก็รีบโดดลงไปในน้ำจัดการเหยียบตีนแหเอาไว้ไม่ให้ปลาออก มุดงมดูพบปลาช่อนใหญ่ดิ้นหาทางออกไปมาอยู่ในแห แต่น้ำตรงนั้นเป็นบริเวณน้ำลึก เมื่อหยั่งดูประมาณ 6 ศอก จึงไม่สามารถที่จะจับปลาได้ง่าย ข้างๆ แหเป็นแอ่งลึกมีตอไม้อยู่ข้างๆ เป็นตอไม้ขนาดใหญ่จมอยู่ในน้ำ งมอยู่เป็นเวลานานก็จับปลาไม่ได้สักที เพราะน้ำลึกต้องกลั้นลมหายใจมุดควานหาปลาไปทั่วแห นายเลียดรู้สึกเหนื่อยและก็หนาวด้วย จึงขึ้นมาบนฝั่งจัดการมวนยาใบตองสูบเพื่อให้อุ่นชื่น กะว่าหายเหนื่อยแล้วจะจัดการมุดไปงมใหม่ รอให้ปลาที่อยู่ในแหมันเหนื่อยขาดอากาศหายใจแล้วจะทำให้จับได้สะดวกขึ้น
พอนั่งสักพักหลวงตาบอกให้นั่งรอท่านจะลงไปงมเอง
ยืง นึง มุจ แอง ท่านบอกจะลมเอง
ว่าแล้วก็โดดลงไปในน้ำทันที นายเลียดนั่งสูบยามองดูลูกตามุดงมปลาตั้งนานไม่โผล่มาสักที ชักจะเอะใจขึ้นมา ทำไมไม่เห็นโผล่มาสักที ท่าจะยังไงเสียแล้ว หรือจะไปติดรากไม้จมอยู่ในน้ำตายเสียแล้วละกระมัง จะลงไปดูก็ชักเกิดอาการกลัวขึ้นมา ถ้ามุดลงไปผีลูกตาจับเราเอาไว้คงจะตายตามไปอีกคน มองหาใครสักคนที่อยู่ในบริเวณแถวนั้นก็ไม่มี ได้แต่นั่งรอด้วยความกระวนกระวายใจ จะกลับไปบ้านคนเดียวก็กลัวคนอื่นจะหาว่าลวงลูกตาไปฆ่า นั่งรออยู่ริมฝั่งเป็นเวลานาน ประมาณจากเที่ยงถึงบ่ายสองทีเดียว ตัดสินใจเป็นไงเป็นกันจะต้องลงไปงมดูในน้ำให้รู้แท้แน่นอนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับลูกตาเบ๊าะ
พอมุดลงไปในน้ำถึงบริเวณที่หว่านแหเอาไว้ ลืมตาในน้ำดูปรากฏว่าเห็นลูกตาเบ๊าะนั่งอยู่บนขอนไม้ รอบๆ ตัวท่านเป็นโพรงน้ำคล้ายถ้ำกว้าง เป็นที่ว่างเปล่า ข้างบนก็เป็นน้ำ ข้างๆ ก็เป็นน้ำ คล้ายกับท่านนั่งอยู่ในห้องที่ว่างเปล่าอย่างไรก็อย่างนั้น ท่านได้กวักมือให้เข้าไปนั่งบนขอนไม้ด้วยกัน มองดูเนื้อตัวท่านไม่เห็นเปียกน้ำเลย ดูที่แหก็เห็นปลาช่อนตัวใหญ่นอนนิ่งอยู่ไม่ไหวติง ได้แต่มองดูด้วยความอัศจรรย์ใจ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่เพิ่งได้พบเห็นครั้งนี้เป็นครั้งแรก สักพักหนึ่งก็พูดขึ้นว่า
กำ ม็อง ยัว ตึก มัวออย กระปูร เมือด ละ 
ท่านบอกให้ใช้มือทั้งสองกอบน้ำเอาให้ท่านล้างปากหน่อย
นายเสียดได้ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปเพื่อจะกอบเอาน้ำที่อยู่บริเวณข้างเอาไปให้ แต่ยื่นมือเข้าไปหาน้ำเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที ขยับเดินเข้าไปหาน้ำยิ่งไกลถอยห่างออกไปทุกที จนใจไม่สามารถที่จะเอาน้ำมาให้ท่านได้ จึงหันมาบอกกับท่านว่า

เอาไม่ได้หรอกลูกตา จับเอาเองเถิด
( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 918 เดือนมกราคม 2548 : ผู้วิเศษแห่งภูตะแบง หลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน ผู้มีความศักดิ์สิทธิ์เลื่องลือ (เหลือเชื่อ) โดย : สุธน ศรีหิรัญ )

ลิขสิทธิ์ 2010 ลานโพธิ์ - สำนักพิมพ์บางกอกสาส์นสงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งหมด.  Copyright Bangkoksarn Publishing 2010. 

วันนี้อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้ 
 BangkokSarn App        Lanpo        OokBee       Meb market       AiS Bookstore      OokBee Buffet 


#ลานโพธิ์ #918 #ผู้วิเศษแห่งภูตะแบง #หลวงปู่สรวง