หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง ซึ่งเกรียงไกรในวัตถุมงคลนั้น เป็นศิษย์องค์หนึ่งของหลวงพ่อพ่วง ความแตกฉานด้านพุทธาคมของหลวงพ่อพ่วง ลึกล้ำซ่อนเร้นอยู่ในปลายคลองบางขุนเทียน ปรากฏเพียงวัตถุมงคลของท่านที่มีประสบการณ์เป็นเยี่ยม และยังไม่รู้จักแพร่หลายกันมากนัก
พระเครื่องส่วนใหญ่ของท่าน คนนำเอาไปใส่ให้เป็นพระเครื่องของหลวงพ่อโหน่ง วัดดอนมะดัน สุพรรณบุรี ทั้งนี้คงด้วยยังไม่มีใครเคยได้ทราบกิตติคุณของท่านมาก่อน เพราะตลอดชีวิตของหลวงพ่อถือสันโดษยึดเอาความสงบเป็นที่ตั้ง และท่านเป็นเถระที่ฉันเจตลอดชีวิต มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย เยี่ยงบรรพชิตผู้บริสุทธิ์ด้วยศีล
คลองบางขุนเทียนครั้งนั้น มีอุปัชฌาย์อยู่เพียง 2 องค์ คือ พระภาวนาโกศลเถระ (เอี่ยม) วัดหนัง และ หลวงพ่อพ่วง วัดกก ต่อมาจึงมี หลวงพ่อมุ้ย วัดราชโอรส
เมื่อใดที่ พระภาวนาโกศล (เอี่ยม) ติดธุระไปเป็นอุปัชฌาย์ไม่ได้ ท่านจะต้องให้คนไปนิมนต์ หลวงพ่อพ่วง วัดกก ไปแทนเสมอ แสดงถึงความไว้วางใจหลวงพ่อพ่วงอยู่เสมอมา
โอกาสนี้จึงขอนำเรื่องราวของท่านมาเผยแพร่ เพื่อให้กิตติคุณของหลวงพ่อพ่วงได้ลือชาปรากฏต่อไป เพราะท่านเป็นพระที่ทรงศีลอันอุดม พระเครื่องของท่านก็มีพุทธคุณเป็นเยี่ยม หากแต่ว่ายังไม่มีใครได้แนะนำมาให้รู้จักกันเท่านั้น
วัดกก ตั้งอยู่ที่ตำบลจอมทอง อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพฯ เป็นวัดที่เก่าแก่มาแต่โบราณ เล่ากันว่าสร้างโดย เสนากก, เสนาเทพศักดิ์, เสนาเทพราช ทั้งสามเสนานี้เป็นผู้มีจิตอันเป็นกุศลที่จะทำการสร้างวัดเพื่อสืบอายุพระศาสนา
การสร้างวัดครั้งนั้น มี เสนากก เป็นหัวแรงที่สำคัญในการก่อสร้าง จึงได้ให้ชื่อว่า “วัดกก” ยุคสมัยที่สร้างนั้นตรงกับปลายสมัยอยุธยา สังเกตได้จากพระพุทธรูปประธานในพระอุโบสถ มีศิลปะแบบอยุธยายุคปลาย
กุฏิและสิ่งก่อสร้างบางอย่างยังคงแสดงให้เห็นว่า มีศิลปะแบบอยุธยา ส่วนพระอุโบสถนั้นได้มีการซ่อมแซมสร้างเสริมกันตลอดมา จึงมีลักษณะเปลี่ยนไป แต่ภายในพระอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างงดงาม กรมศิลปากรได้อนุรักษ์เอาไว้ และเป็นฝีมือช่างจิตรกรรมซึ่งวาดขึ้นภายหลังคือ เมื่อประมาณต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ ขณะนี้ชำรุดทรุดโทรมลงไปมาก เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะฝาผนังด้านในปูนได้กะเทาะล่อนร่วงลงมาเป็นจำนวนมาก
ขณะที่พระกำลังทำสังฆกรรมก็ไม่สะดวกสบายเช่นกาลก่อน ต้องคอยระมัดระวัง หลบหลีกการร่วงหล่นของเศษปูนอยู่เสมอ นับว่าน่าที่จะได้มีผู้มีจิตอันเป็นกุศลจะได้ช่วยกันทำนุบำรุงเพื่อความวัฒนาของพระพุทธศาสนาให้จำเริญต่อไป
ส่วนเจ้าอาวาสเท่าที่ผ่านมานั้น มีอยู่มากมายหลายองค์ แต่เท่าที่สืบเสาะขึ้นไปได้ รู้เพียง 6 องค์ ดังนี้คือ
1. หลวงพ่อคง
2. หลวงพ่อดิษ
3. หลวงพ่อพ่วง
4. พระครูวิเศษมงคลกิจ (มิ่ง)
5. หลวงพ่อเลื่อม ธมปาโล
6. หลวงพ่อน้อม ญาณสุทธิ
หลวงพ่อคง นั้น เล่ากันว่าท่านเป็นพระวิปัสสนาที่มีความแตกฉานทางด้านญาณสมาธิ และพุทธาคมเป็นอย่างยิ่ง เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในครั้งอดีตมาก มีความศักดิ์สิทธิ์นานาประการ สามารถเสกสิ่งต่างๆ ให้เห็นได้จริง
นับเป็นพระเถระที่ทรงคุณทางด้านวิปัสสนา เป็นเอกในย่านบางขุนเทียนยุคเก่า
ท่านมีศิษย์ผู้สืบสายพุทธาคมและวิปัสสนาธุระอยู่สององค์ คือ “หลวงพ่อดิษ” และ “หลวงพ่อพ่วง”
“หลวงพ่อดิษ” มีอาวุโสสูงกว่าหลวงพ่อพ่วง จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดกก สืบต่อจากหลวงพ่อคง แต่ หลวงพ่อดิษ ท่านเป็นอยู่ได้ไม่นานก็ลาสิกขาไป
ขณะหลวงพ่อดิษยังเป็นเจ้าอาวาสวัดกกนั้น เล่ากันว่าท่านสร้างอิทธิมงคลไว้หลายอย่าง มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ โดยเฉพาะ เหรียญตะกั่ว ซึ่งลงถมหลายครั้ง แล้วเทเป็นแผ่นกลมลงอักขระเอาไว้
เหรียญตะกั่วดังกล่าวนี้ เคยมีคนทดลองยิงด้วยปืนไม่ออกหลายครั้ง และ คุณปู่เยื้อน บุญฟัก บ้านอยู่ข้างวัดกก ขณะนั้นอายุได้ 81 ปี เล่าว่าเคยเอาเหรียญตะกั่วนั้นมาวาง แล้วเอาดินปืนมาจุดรอบๆ จุดเท่าใดดินปืนก็ไม่ยอมติด เป็นเหรียญที่มีพุทธคุณเยี่ยมยอดยิ่งนัก
เมื่อครั้งที่ หลวงพ่อดิษ ได้ลาสิกขาไป เหรียญดังกล่าวนี้ยังมีเหลืออยู่ในพระอุโบสถ ภายหลังได้มีคนนำเอาไปจนหมดสิ้น มีหลายคนที่นำไปใช้ได้รับประสบการณ์ต่างๆ นานา ก็ปรากฏผลดีเสมอมา
ขณะนี้เหรียญนี้หาได้ยากยิ่ง ความศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวยืนยันได้ว่า เวทวิทยาคมที่หลวงพ่อดิษได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงพ่อคงนั้นวิเศษยิ่งนัก และแสดงว่า พุทธาคมจากองค์ปรมาจารย์คือ หลวงพ่อคง นั้นเข้มขลังเช่นกัน
ศิษย์ของหลวงพ่อคง ผู้ที่รับการถ่ายทอดวิชามาอย่างอุดมสมบูรณ์ที่สุด และครองเพศบรรพชิตตลอดมานั้น มีพุทธาคมเข้มขลังเป็นที่ประจักษ์แจ้งกันทั่วไปนั้นคือ “ หลวงพ่อพ่วง ” ซึ่งบำเพ็ญเพียรทางวิปัสสนาตลอดชีวิตของท่าน และท่านเป็นพระเถระที่บริสุทธิ์ด้วยศีลจริงๆ
แม้อาหาร ท่านฉันเจตลอดชีวิต ยากจะหาพระเถระใดปฏิบัติได้เช่นกัน เคยมีคนแอบเอาป้านน้ำชาของท่านไป ท่านก็ได้ตัดใจละการดื่ม “ น้ำชา ” ตลอดชีวิตด้วย นับว่าท่านมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวจริง
เคยมีคนถามท่านถึงเรื่องนี้ ท่านเล่าว่า กิเลสอย่างง่ายๆ เช่นการดื่มน้ำชาแค่นี้ หากตัดไม่ได้แล้ว จะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร และท่านกล่าวเป็นการตลกว่า
“เมื่อเขาไม่ให้เราดื่ม เราจะไปดื่มอีกทำไม”
ซึ่งหมายถึงคนแอบขโมยป้านน้ำชาของท่านไปแล้ว ท่านก็ไม่สนใจที่จะหาใหม่ หรือจะดื่มอีกนั่นเอง
“หลวงพ่อพ่วง” ท่านเป็นชาวบางขุนเทียนโดยกำเนิด เกิดที่ตำบลแสมดำ บิดาชื่อ นายพุ่ม มารดาชื่อ นางพุ่ม เหมือนกันทั้งบิดา-มารดา ภายหลังมีการใช้นามสกุล จึงได้ตั้งชื่อสกุลว่า “พุ่มพยุง” มีญาติพี่น้องท้องเดียวกัน 7 คน ท่านเป็นคนโต วันเดือนเกิดของท่านไม่มีใครทราบ เพราะสมัยนั้นไม่มีใครกล้าถามท่าน
ท่านเป็นเถระที่สงบเงียบ ไม่ค่อยพูด จึงไม่มีใครกล้า นึกว่าท่านดุ แต่โดยแท้จริงท่านเป็นพระที่มีเมตตา คนใกล้ชิดจึงจะทราบดีว่าท่านเมตตาสูงจริงๆ จึงรู้เพียงว่าท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ.2400
ท่านมีน้องชายของท่านอยู่คนหนึ่งชื่อ “รอด” ภายหลังอุปสมบทแล้วเป็นเจ้าอาวาสวัดแสมดำ ชาวบ้านเรียกท่านว่า “หลวงพ่อรอด” เป็นพระที่มีคนนับถือมากองค์หนึ่ง
ส่วนหลวงพ่อพ่วงนั้น เมื่ออายุครบบวช ก็ได้ทำการอุปสมบทที่ วัดกก โดยมี หลวงพ่อวัดหัวกระบือ เป็นอุปัชฌาย์ ชื่ออะไรผู้เขียนยังไม่ได้ไปสืบถาม แต่คนแถววัดไม่มีใครรู้จักหรือจำชื่อได้เลย และ หลวงพ่อคง วัดกก เป็นคู่สวด ได้รับฉายาว่า “ธมฺโชติก” หรือ ธรรมโชติ นั่นเอง หมายถึง ผู้มีธรรมอันสว่างไสว เข้าใจธรรมได้กระจ่างแจ้ง
หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้ศึกษาทางวิปัสสนากับหลวงพ่อคง และอุปัชฌาย์ของท่านที่วัดหัวกระบือ จนชำนิชำนาญอยู่หลายพรรษา จึงได้ออกธุดงค์ไปเพื่อแสวงหาความสงบวิเวก เป็นการทดสอบพลังจิต และฝึกฝนวิชาการต่างๆ ที่ได้ศึกษามา
ท่านไปหลายแห่งตามขุนเขาลำเนาไพร หลายปีจึงกลับมาวัด ก็ทราบว่า หลวงพ่อคง มรณภาพแล้ว หลวงพ่อดิษ เป็นเจ้าอาวาส ท่านจึงได้เคารพศพอาจารย์แล้วก็ออกธุดงค์ต่อไปอีกครั้ง เป็นเวลานานหลายปี จนมีจิตใจที่กล้าแข็ง สามารถบำเพ็ญวิปัสสนาได้ชำนาญทั้งด้านพุทธาคมก็เข้มขลัง เพราะต้องใช้ทดสอบอยู่เสมอ
ในระหว่างการเดินทาง พบอุปสรรคปัญหานานาชนิด ก็เอาตัวรอดมาได้ พบอาจารย์ดีที่ไหนก็ขอศึกษาถ่ายทอดวิชาเอาไว้ เพราะท่านเป็นพระที่สนใจทางด้านการศึกษา มีนิสัยถ่อมตนอยู่เสมอ ใครมีอะไรดี ท่านก็ขอไต่ถามทดสอบเรียนรู้เอาไว้
สิ่งใดดีท่านก็นำมาใช้ เลือกเอามาปฏิบัติ เช่นนี้จัดว่าเป็นผู้มีความชาญฉลาดคือ ฟังมากกว่าพูด ยิ่งฟังได้มากเท่าใด ก็ฉลาดมากขึ้นเท่านั้น เพราะผู้ฟังเป็นผู้ได้เปรียบ ข้อใดไม่ทราบก็ได้ทราบ ข้อใดที่รู้แล้วก็เป็นการทบทวนใหม่
ดังนั้น คนที่เห็นว่าพูดน้อยหรือไม่ยอมพูดนั้น อย่าประมาท เขาคือผู้ฉลาด เลือกจะฟังเอาความรู้ แต่ก็มีเหมือนกันที่ไม่พูดเพราะไม่รู้ แต่ไม่พูดเพราะไม่รู้ก็ยังดีกว่าคนที่พูดทั้งที่ไม่รู้ เป็นการขยายความโง่ให้คนอื่นเขาหยั่งได้ เมื่อเขาหยั่งได้ ต่อไปก็เหยียบได้
อ่านต่อฉบับหน้า
สุธน ศรีหิรัญ