พระวิสุทธิสารเถร (หลวงพ่อถิร ) วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี

ภาพและเรื่องโดย  เอกลักษณ์ เพริศพริ้ง

หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ เป็นพระก่ออิฐถือปูน
ขนาดใหญ่ มีความสูงถึง 23.47 เมตร
หลวงพ่อโตเดิมน่าจะเป็นพระพุทธรูป
ปางปฐมเทศนา สร้างไว้กลางแจ้ง
เหมือนวัดพนัญเชิงในสมัยแรกๆ
พระวิสุทธิสารเถร (หลวงพ่อถิร)
ในยุคสมัยก่อนไล่ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๐ ย้อนขึ้นไป หากวัดไหน “ จัดงาน ” แล้ว “ พวกนักเลงโต ” หรือ “ พวกขาโจ๋ ” ทั้งหลายไม่ตีกัน หรือถ้ามี “ พระ ” ย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดใหญ่ๆ รูปใหม่ แต่ไม่โดนลองดีหรือถูกต่อต้านจากเจ้าถิ่นทั้งพระทั้งฆราวาสที่มีผลประโยชน์ภายในวัดนั้นๆ “ ให้ฟันธงได้เลยว่าสมภารรูปนั้นเป็นผู้มีบารมีแก่กล้า ”

คำว่า “ ผู้มีบารมีของพระสงฆ์องค์เจ้า ” นั้น ปัจจุบันมีการตีความกันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่า “ ท่านเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ที่มีวัตรปฏิบัติงดงามบารมีธรรมสูงส่ง ” ส่วนบางคนว่า “ ท่านเป็นผู้เสียสละทำงานเพื่อพระศาสนาและเพื่อชาวบ้านอย่างแท้จริง ” บ้างก็ว่า “ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมขลัง ” แต่ก็มีบางพวกที่ตีความต่างออกไป แนวๆ ว่า “ ผู้มีบารมีคือผู้มีอิทธิพลที่มีสมัครพรรคพวกมาก หรือมีลูกศิษย์ลูกหาเป็นพวกนักเลงอันธพาลหรือพวกเสือสางทั้งหลาย ”

เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อถิร
เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง พ.ศ.2506
สำหรับ “ หลวงพ่อถิร แห่งวัดป่าเลไลยก์ ”  มีชาวบ้านหลายคนมองว่า “ ท่านเป็นผู้มีบารมีในทุกๆ แบบที่ว่ามา ” นั่นจึงทำให้ “ พวกเก๋าๆ ” หรือ “ พวกเจ้าที่เจ้าทาง ” ที่เฮี้ยนๆ ทั้งหลายไม่กล้าหือกล้าอือ ต้องเงียบกริบไม่กล้ายุ่งกับท่าน บ้างก็พากันหลบลี้หนีหน้าไม่อยู่สร้างปัญหาอีกต่อไป

แต่กว่าที่พวก “ เสือ สิงห์ กระทิง แรด ” ทั้งหลายจะยอมรับนับถือหรือยอมลงให้ “ หลวงพ่อถิร ” ท่านต้องผ่านการพิสูจน์มาแบบนับครั้งไม่ถ้วนจนเป็นที่เชื่อถือว่า ท่านแน่จริง เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล

รูปถ่ายหลวงพ่อโต พ.ศ.2493
(จารลายมือหลวงพ่อถิร)
จะขอกลับมาที่ วัดป่าเลไลยก์ อีกครั้งหนึ่ง วัดป่าเลไลยก์ นับว่า “ มีเจ้าที่เจ้าทางแรง ” ทำให้ “ พระครูโพธาภิรัต ( โต๊ะ ) อดีตเจ้าอาวาสอยู่ไม่ได้ต้องขอลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสแล้วก็ย้ายออกไป ” แต่พอ หลวงพ่อถิร ย้ายมาดำรงตำแหน่งรักษาการณ์เจ้าอาวาสก็ไม่เกิดปัญหาใดๆ ขึ้นอีก นั่นเพราะท่านเป็นอาจารย์ของหัวหน้าชุมเสือก๊กต่างๆ อย่างเช่น “ เสือฝ้าย ” “ สือมเหศวร ” และ “ เสือใบ ” โดยเสือทั้ง ๓ กับพวกเสือในชุม ต่างก็มาขอ “ ของขลังจากท่านไปคุ้มตัว ทำให้รอดตายจากคมกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมานักต่อนัก โดยเสือเหล่านี้เป็นลูกศิษย์ของท่านมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ท่านยังอยู่ที่วัดสุวรรณภูมิ ”


เมื่อ หลวงพ่อถิร ย้ายมายัง วัดป่าเลไลยก์  “ ๓ เสือนามกระเดื่อง ” ต่างก็พากันประกาศก้องต่อหน้าผู้คนว่า “ ใครหน้าไหนอย่าได้มารบกวนการสร้าง การพัฒนาวัดของ หลวงพ่อถิร ให้เดือดเนื้อร้อนใจเป็นเด็ดขาด หาไม่แล้วเป็นได้เจอกัน ” ฟังดูเสือเหล่านี้ก็มีคุณธรรม รักพระศาสนาดีทีเดียว และด้วยเหตุนี้นี่เองทำให้มีผู้คน ( พวกที่เสียผลประโยชน์ ) กล่าวหาท่านว่า หลวงพ่อถิร เลี้ยงเสือ  เลี้ยงโจร ” ซึ่งท่านก็ตอบด้วยอารมณ์ขันว่า “ ข้าไม่ได้เลี้ยงพวกมันหรอก มันเลี้ยงข้าตะหาก ” ( ต่างหาก )
หากจะกล่าวว่า หลวงพ่อถิร คือพระผู้มีบารมีแก่กล้าตัวจริง ก็กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ” เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล...

ล็อกเกตหลวงพ่อถิร พ.ศ.2516
หลังตะกรุดสามกษ้ตริย์
อนึ่ง หลังจาก พระครูรักขิตวันมุนี ( สมุห์พร ) มรณภาพลง พระครูโพธาภิรัต ( โต๊ะ ) เจ้าอาวาสวัดสุวรรณภูมิ และเจ้าคณะ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี และท่านยังเป็นพระอุปัชฌาย์ “ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาส วัดป่าเลไลยก์ แทนที่
หลวงปู่โต๊ะ ได้ทำการปรับพื้นที่ ปฏิสังขรณ์เสนาสนะหลายอย่าง และสร้างโรงเรียนประชาบาลขึ้น ต่อมา “ ได้ขอพระ ราชทานพระบรมราชานุญาตลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาส ” เนื่องจากเจ้าที่เจ้าทางแรง ซึ่งในขณะที่ หลวงปู่โต๊ะ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ก็มีปัญหาเรื่อยมาจนกระทั่งท่านทนไม่ไหวและได้ขอลาออกไปตามที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น 

ในช่วงเวลาดังกล่าว วัดป่าเลไลยก์ กำลังเสื่อม เหลือพระภิกษุจำนวน ๒ รูป กับเณรอีก ๑ รูป ของสงฆ์และสมบัติต่างๆ ถูกโจรผู้ร้ายลักลอบเอาไปเป็นจำนวนมาก เป็นเช่นนี้ถึง ๓ เดือน ก็ยังหาเจ้าอาวาสไม่ได้ ” ( ไม่มีใครอยากมาเป็นเพราะกลัวเจ้าที่ ) ครั้นถึงวันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๔ “ พระเทพเวทีประธานคณะกรรมการมณฑลราชบุรี วัดมงกุฎกษัตริยาราม ” ได้ทรงรับพระบัญชาจาก สมเด็จพระสังฆราช ( แพ ) วัดสุทัศน์ ให้ย้ายพระถิร น.ธ.เอก ครูสอนพระปริยัติธรรม วัดสุวรรณภูมิ ไปเป็นผู้รักษาการณ์เจ้าอาวาส วัดป่าเลไลยก์ และแล้วตำนานความยิ่งใหญ่ของ วัดป่าเลไลยก์ จึงเริ่มขึ้น ”


วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร

วัดป่าเลไลยก์เป็นวัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่า
มีอายุราว 1200 ปี ตั้งอยู่ริมถนนมาลัยแมน
ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าวัดป่า
ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต
ปางป่าเลไลยก์ “หน้าบัน” ของวิหารมีเครื่องหมาย
พระมหามงกุฎอยู่ระหว่างฉัตรคู่ บ่งบอกให้ทราบว่า
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เสด็จธุดงค์มาพบสมัยยังทรงผนวชอยู่
เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วจึงทรงมาปฏิสังขรณ์
“ วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ” เป็นวัดเก่าแก่สันนิษฐานว่ามีอายุราว ๑,๒๐๐ปี อยู่ที่ริมถนนมาลัยแมน ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ สุพรรณบุรี ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “ วัดป่า ” “ ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร ในสมัยรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๒ ” ต่อมาได้สร้างพระอุโบสถขึ้นอีกหลังหนึ่งโดยความร่วมมือกันของชาวบ้าน, ผู้ว่าราชการจังหวัดพร้อมด้วยข้าราชการน้อยใหญ่  และ “ หลวงพ่อสอน ” อดีตเจ้าอาวาส วัดป่าเลไลยก์ ผู้ยิ่งใหญ่

วัดป่าเลไลยก์ มีเนื้อที่ ๘๒ ไร่ ๑ งาน มีโบราณสถานอันเป็นประธานของวัดคือ “ พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ” ชาวบ้านเรียก “ หลวงพ่อโต ” จึงเป็นที่มาของ “ หลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ ที่ หน้าบันของวิหาร มีเครื่องหมาย “ พระมหามงกุฎอยู่ระหว่างฉัตรคู่ ” ซึ่งเป็นตราพระราชลัญจกรของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ สำหรับที่มาที่ไปของตราสัญลักษณ์นี้ก็เนื่องมาจาก “ ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ในขณะที่ยังทรงผนวชได้เสด็จธุดงค์มาพบ วัดป่าเลไลยก์ ในสภาพวัดร้าง ทรงเห็นว่าเป็นวัดโบราณล้ำค่า จึงปฏิสังขรณ์หลังจากที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ”

พระหลวงพ่อโต หลวงพ่อถิร
เนื้อทองเหลือง พ.ศ.2505
ในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า “ พระเจ้ากาแล ” ทรงให้มอญน้อยมาบูรณะ ในปี พ.ศ. ๑๗๒๔ วัดป่าเลไลยก์ เป็นที่คุ้นของผู้คนทั่วไปเนื่องจากปรากฏอยู่วรรณคดีเรื่อง “ ขุนช้าง ขุนแผน ” เมื่อ ขุนแผน ยังเยาว์ได้มาบวชเรียนที่วัดแห่งนี้ในชื่อ “ เณรแก้ว ” ความสำคัญของ วัดป่าเลไลยก์ ตามที่พรรณนาไว้ใน “ เสภาเรื่องขุนช้าง ขุนแผน ” ทำให้ด้านหน้าวิหารมีรูปปั้นของ ขุนแผน และ นางพิม ตั้งไว้ อีกทั้งภายในวัดก็ยังมี “ เรือนขุนช้างขุนแผนให้ผู้คนได้เข้าไปเที่ยวชม ”


หลวงพ่อโต  วัดป่าเลไลยก์

พระขุนแผน พิมพ์ไข่ผ่า หลวงพ่อถิร
มีเข็ม พ.ศ.2483
“ หลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ เป็นพระพุทธรูปคู่เมือง สุพรรณบุรี มาตั้งแต่โบราณ กาล “ หลวงพ่อโตเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองขนาดใหญ่ปางปาลิไลยก์ ตั้งอยู่กลางแจ้ง สูง ๒๓.๒๑ เมตร รอบองค์ขนาด ๑๑.๑๙ เมตร สร้างตามแบบศิลปะอู่ทองยุคที่ ๒ ซึ่งเป็นศิลปะฝีมือสกุลช่างอู่ทองขนานแท้ ”

และเนื่องจาก หลวงพ่อโต ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการชำรุดเสียหาย คือ พระหัตถ์ข้างขวาหัก ช่างได้สร้างวิหารครอบไว้ โดยให้ผนังวิหารชิดกับพระหัตถ์ขวา ส่วนทางพระหัตถ์ซ้ายให้มีที่ว่าง ด้านหลังองค์พระชิดกับผนังวิหารเพื่อความแข็งแรง 


พระกลีบบัว หลวงพ่อถิร เนื้อชิน พ.ศ.2505
มีผู้สันนิษฐานว่า หลวงพ่อโต เดิมเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประทับนั่งอยู่กลางแจ้งเพื่อให้มองเห็นได้ไกลๆ เหมือนกับ หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง ในสมัยแรกๆ ( ก่อนมีวิหารครอบ ) ประมาณว่า “ ระยะเวลาที่สร้างขึ้นอย่างต่ำสุดก็ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ( ก่อนปี พ.ศ.๑๘๙๓ ) อย่างสูงสุดก็สร้างในสมัยทวาราวดีตอนต้น ( ปี พ.ศ.๑๒๐๐ ) ”


พระเนื้อผง หลวงพ่อถิร พ.ศ.2505
กาลเวลาทำให้พระกรทั้ง ๒ ข้างหักหายไป ผู้ที่มาบูรณะใหม่ได้ทำเป็นปางปาลิไลยก์ ลักษณะประทับห้อยพระบาท พระหัตถ์ซ้ายวางคว่ำบนพระชานุข้างซ้าย ส่วนพระหัตถ์ขวาก็วางหงายบนพระชานุข้างขวาในท่าทรงรับของถวาย 

พระวิหารที่สร้างครอบองค์พระสร้างขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ภายในพระพุทธรูปนี้บรรจุ “ พระบรมสารีริกธาตุ ” ที่ได้มาจาก “ พระมหาเถรไลยลาย จำนวน ๓๖ พระองค์ ”
รูปหล่อหลวงพ่อถิร รุ่นแรก (รุ่นเดียว) พ.ศ.2522

พระวิสุทธิสารเถร ( หลวงพ่อถิร )

หลวงพ่อถิร มีนามเดิมว่า ถิร เกิดวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๔๔๕ ณ บ้านพลูหลวง ตำบลพิหารแดง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรของ พ่อวาส กับ แม่เพิ่ม นามสกุล “ พึ่งเจริญ ” ตระกูลผู้ใหญ่ฝ่ายมารดาสืบเชื้อสายมาจาก หมื่นเกล้าฯ กับ ยายทวดจัน ท่านทั้ง ๒ มีบุตรสาวชื่อ ยายมี และยายมีก็คือมารดาของ แม่เพิ่ม นั่นเอง ส่วนบิดาของแม่เพิ่มก็คือ ตาสิงห์ ซึ่งเป็นต้นตระกูล “ สิงห์สุวรรณ ” จะขอกล่าวถึงตระกูลฝ่าย เตี่ยวาส หรือ พ่อวาส บ้าง พ่อวาสเป็นบุตรของ ก๋งผึ้ง กับ ย่าอิ่ม นามสกุล “ แซ่ตัง ” ต่อมาเปลี่ยนเป็น “ พึ่งเจริญ ”


ภายในมณฑปของพระวิสุทธิสารเถร
(หลวงพ่อถิร) เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร
องค์ที่ ๔ ศพของท่านก็ยังอยู่ในโลงศพ
ที่ตั้งอยู่ที่มณฑปนี้
หลวงพ่อถิร บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๗ ปี  ต่อมาเข้าพิธีอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๕ ณ วัดหน่อพุทธางกูร โดยมี พระครูโพธาภิรัต ( สอน ) วัดป่าเลไลยก์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสุวรรณวรคุณ ( หลวงพ่อคำ ) วัดหน่อพุทธางกูร เป็นพระคู่สวดได้รับฉายาว่า “ ปญฺญาปโชโต ” จากนั้นท่านก็ไปจำพรรษาอยู่ที่ วัดสุวรรณภูมิ เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย จนสอบได้นักธรรมชั้นเอก หลวงพ่อถิร เป็นนักเรียนที่สอบนักธรรมชั้นเอกได้เป็นรูปแรกในนามของ จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านอยู่ที่วัดสุวรรณภูมิ ๑๘ ปี ก่อนย้ายมารักษาการณ์เจ้าอาวาส วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร และได้เป็นเจ้าอาวาสในเวลาต่อมา


พระอาจารย์หลวงพ่อถิร

ในระหว่างที่ หลวงพ่อถิร อยู่วัดสุวรรณภูมิ ท่านได้เรียนอาคมกับพระเกจิ อาจารย์ผู้มีอาคมขลังวาจาศักดิ์สิทธิ์นั่นคือ “ หลวงปู่โต๊ะ แห่งวัดลาดตาล ” ซึ่งในขณะนั้นหลวงปู่โต๊ะเป็นเจ้าอาวาสที่วัดสุวรรณภูมิ ต่อมาก็ได้ไปเรียนกับ “ หลวงพ่อสอน วัดป่าเลไลยก์ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านนั่นเอง ”

หลวงพ่อถิร เป็นผู้มีปัญญาดีฉลาดปราดเปรื่อง  เมื่อได้ครูดีมีวิชาขลัง คอยชี้แนะสั่งสอน ท่านจึงเชี่ยวชาญแตกฉานและเก่งตั้งแต่ยังเป็นพระหนุ่ม ความขลังในมนต์คาถาของท่านเป็นที่ประจักษ์แจ้งต่อบรรดาผู้คนและพวก “ เสือสาง ” ทั้งหลาย และนี่เป็นที่มาของคำว่า หลวงพ่อถิร เลี้ยงเสือ เลี้ยงโจร ”

หลวงพ่อสอนมาเข้าฝัน

ต่อมา หลวงพ่อถิร ได้ย้ายไปอยู่ที่ วัดป่าเลไลยก์ เมื่ออายุ ๓๘ ปี พรรษา ๑๘ หลวงพ่อถิร ได้เขียนบันทึกประวัติของท่านเอาไว้ว่า “ ข้าพเจ้าได้รับอนุมัติจากท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช ( แพ ) วัดสุทัศน์ ให้ย้ายจากวัดสุวรรณภูมิ ไปเป็นผู้รักษาการตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าเลไลยก์ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๓ พอถึงวันที่ ๑๙ ได้นิมิตว่า ท่านพระครูโพธาริรัต ( สอน ) อดีตเจ้าอาวาสและพระอุปัชฌายะของข้าพเจ้าที่ล่วงไป ได้มาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า อยู่ไปเถอะไม่เป็นไร ใครจะทำอะไรไม่ดีก็ช่างเขา แล้วเขาจะพินาศไปเอง ”
พระครูโพธิภิรัต (สอน)
อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์
รูปปั้นพระครูโพธิภิรัต (สอน)
อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์

พระครูโพธาภิรัต ( หลวงพ่อสอน ) อดีตเจ้าอาวาส วัดป่าเลไลยก์ 

พระครูโพธาภิรัต หรือ “ หลวงพ่อสอน ” ท่านเป็นชาวบ้านค่ายเก่า จังหวัดสุพรรณบุรี อยู่เหนือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุไปราวๆ ๑๐๐-๒๐๐ เมตร ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๘ โยมบิดาชื่อ “ สิน ” โยมมารดาชื่อ “ นิ่ม ” ตอนเด็กๆ ได้ศึกษาหนังสือไทยและอักขระภาษาขอมที่ วัดประตูสาร เมื่อท่านมีอายุครบบวชในปี พ.ศ.๒๔๒๙ จึงได้อุปสมบทที่วัดประตูสารนั่นเอง


เหรียญหลวงพ่อสแน รุ่นแรก
พ.ศ.2461 เนื้อทองแดง
หลวงพ่อสอน เป็นพระภิกษุที่ใฝ่ใจในการศึกษา ท่านมีโอกาสได้เรียนวิปัสสนากรรมฐานกับ “ หลวงพ่อกล่ำ อดีตเจ้าอาวาส วัดป่าเลไลยก์ ซึ่งเป็นพระเกจิผู้ทรงพุทธาคม จากนั้นได้ข้ามฟากมาเรียนพระปริยัติธรรมที่ วัดสุวรรณภูมิ แล้วก็ย้ายมาจำพรรษาที่ วัดไชนาวาส ( วัดชายนา ) เพื่อศึกษาวิชาอาคมเพิ่มเติม ครั้นเมื่อทราบว่า “ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย ” อำเภอบางปลาม้า เป็นพระเกจิชื่อดังที่เก่งกล้าด้านวิปัสสนากรรมฐานและพระปริยัติธรรม จึงเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเรียนวิชากับท่าน

เหรียญหลวงพ่อสอน รุ่นสอง
พ.ศ.2470 เนื้อทองแดงกะไหล่เงิน
ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็น “ พระครูวินัยธร ” ฐานานุกรมของ “ พระวิบูลย์เมธา จารย์ เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งในขณะนั้น วัดป่าเลไลยก์ ชำรุดทรุดโทรมอย่างหนักไม่มีพระจำพรรษาอยู่ ทางคณะสงฆ์พิจารณาเห็นว่า “ ถ้าปล่อยไว้เช่นนี้วัดป่าเลไลยก์ก็จะต้องร้างไป ” จึงมีมติแต่งตั้งให้ หลวงพ่อสอน ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสในปี พ.ศ.๒๔๕๖ เพื่อฟื้นฟูสภาพวัดโบราณให้คงอยู่สืบไป

เมื่อ หลวงพ่อสอน เข้าปกครอง วัดป่าเลไลยก์ ท่านก็เริ่มพัฒนาวัดในทันที โดยการสร้างศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ หอสวดมนต์ พระอุโบสถ และขุดบ่อน้ำไว้ ๓ บ่อ รวมทั้งสร้างเสนาสนะต่างๆ จนวัดเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ท่านยังพัฒนาด้านการศึกษา โดยริเริ่มการศึกษาทั้งทางด้านพระปริยัติธรรมและการสอนภาษาไทยขึ้นในจังหวัดสุพรรณบุรี  ทำให้ท่านเป็นที่เคารพศรัทธาอย่างยิ่งของชาวบ้านใน จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดใกล้เคียง สมณศักดิ์สุดท้ายของท่านคือ “ พระครูโพธาภิรัต ” 

หลวงพ่อสอนมรณภาพในปี พ.ศ.๒๔๗๕ สิริอายุ ๖๗ ปี พรรษาที่ ๔๖

เหรียญหลวงพ่อโต (หลวงพ่อโต๊ะ
วัดลาดตาล สร้าง) พ.ศ.2481
อภินิหารหลวงพ่อสอน

สำหรับอภินิหารที่เกิดจากวัตถุมงคลของ หลวงพ่อสอน ที่ทันท่านเสก ก็มีมากมายหลากหลายเล่ากันไม่หวาดไม่ไหว และส่วนใหญ่ นักเขียนรุ่นใหญ่ หลายท่านได้กล่าวถึงไปกันเกือบหมดแล้ว ผู้เขียนเป็นแค่ นักเขียนขาเล็ก ไม่อาจเทียบชั้นรุ่นพี่ จึงขออนุญาตกล่าวถึงวัตถุมงคลรุ่นใหม่ที่สร้างไม่ทันท่าน แต่ออกจาก วัดป่าเลไลยก์ ดังนี้...


เหรียญหลวงพ่อพร วัดป่าเลไลยก์
พ.ศ.2481
คุณฐิติกร สังข์โลก อยู่บ้านเลขที่ ๑๒ ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี กรุณาเล่าให้ฟังว่า น้องของคุณปู่ชื่อ ตาเหมียง ได้เล่าอภินิหาร หลวงพ่อสอน ให้ฟัง  แล้วคุณฐิติกรก็นำมาเล่าต่ออีกที เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณครูบาอาจารย์ให้ขจรขจายไปถ้วนทั่ว ดังนี้...

ตาเหมียง แกนับถือ หลวงพ่อสอน และแกยังเป็นลูกศิษย์ของ หลวงพ่อถิร อีกด้วย สมัยก่อนตาเหมียงจะเป็นคนหล่อพระกำแพงศอกให้หลวงพ่ออยู่นานหลายปี ครั้งหนึ่งแกเกิดปวดแก้มเพราะเป็น “ ฝี ” ( ใบหน้าแกบวมจนแก้มโย้ ) แกปวดมากจึงไปหาหมอประจำตำบลชื่อ “ หมอสมหมาย ”

หมอสมหมายจะเจาะเอาหนองออกหรือจะฉีดยาแก้ปวดให้ คุณฐิติกรก็จำไม่ได้แล้ว เพราะตาเหมียงเล่าให้ฟังตั้งแต่เป็นเด็ก แต่ที่คุณฐิติกรยังจำได้แม่นไม่มีลืมก็คือ “ หมอสมหมายแทงเข็มฉีดยาคมกริบลงไปที่แก้มอ่อนๆ ของตาเหมียง แต่แทงไม่เข้า ” หมอจึงแทงเป็นครั้งที่ ๒


วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองฯ
จ.สุพรรณบุรี ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณบุรี
หรือท่าจีน ห่างจากฝั่งประมาณ 2 กม.
เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร
เนื้อที่กว้าง 82 ไร่ 1 งาน
 “ เมื่อหมอสมหมายแทงเข็มลงไปอีก ครั้งนี้แกแทงแรงมาก แรงจนหนังที่แก้มของตาเหมียงย้วยอย่างกับเอาเข็มทื่อๆ แทงแผ่นยางพาราหนาๆ อย่างนั้น แต่ก็ยังแทงไม่เข้าอยู่ดี ”
ผ้ายันต์หลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์

หมอจึงบอกกับตาเหมียงว่า “ อย่าเกร็งแก้มสิ ”

ตาเหมียงบอกว่า “ ผมไม่ได้เกร็งครับ ” 

พอหมอแทงเข็มเป็นครั้งที่ ๓ ก็ถึงกับ “ เข็มหักคามือ ” หมอสมหมายตกใจถึงกับอุทานเสียงดัง แล้วถามตาเหมียงว่า “ มีของดีอะไรว่ะ ขอดูหน่อย ” ตาเหมียงจึงถอดพระเครื่องที่มีอยู่เพียงองค์เดียวออกมาให้ดู เมื่อหมอดูเสร็จแล้วก็บรรจงวางไว้บนถาดสแตนเลส จากนั้นหมอได้แทงเข็มฉีดยาไปที่แก้มของตาเหมียงอีกครั้งหนึ่ง ( หมอแทงแรงมากเพราะกลัวว่าจะแทงไม่เข้าอีก ) ทีนี้เข็มทะลุแก้มไปปักที่เหงือกกันเลยทีเดียว ตาเหมียงบอกว่าเจ็บแทบตาย

อยากรู้ไหมว่าเป็นหลวงพ่อองค์ไหน วัดอะไร ที่ทำให้เข็มฉีดยาแทงเนื้ออ่อนๆ ไม่เข้า พระองค์ที่ว่าก็คือ “ เหรียญ ๒ หน้า หลวงพ่อสอน-หลวงพ่อถิร นั่นเอง


( ที่มา : ลานโพธิ์  ฉบับที่  1221 พระวิสุทธิสารเถร  (หลวงพ่อถิร )  วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร  ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี เดือนเมษายน พ.ศ. 2561 ราคาปก 70 บาท )





วันนี้อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้ 

สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า.. 
Available Now!  You can read whenever, wherever with any device.

 BangkokSarn App on Google Play store    Lanpo App on Google play Store    Ookbee Book Shop   Meb Market Book Shop    AIS Book Store   
 Lanpo App on Google Play Lanpo App on iTunes

#ลานโพธิ์ #หลวงพ่อถิร #วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร #จ.สุพรรณบุรี