พระครูอุปการโกศล ( อุป อิสฺสโร ) วัดเทพอุปการาม ( วัดตานิม ) ตำบลตานิม อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ภาพและเรื่องโดย เอกลักษณ์ เพริศพริ้ง
ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำเจ้าพระยาของ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แถบอำเภอบางไทรตอนเหนือติดต่ออำเภอเสนาตอนใต้ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๐ มีพระอาจารย์ผู้ทรงเวทวิทยาคม ๓ ท่านที่อยู่ในละแวกเดียวกัน ( วัดอยู่ไม่ไกลกัน ) นั่นก็คือ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และ หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ด ชาวบ้านต่างก็ทราบกันดีว่า “ ทั้งสามท่านเก่งพอๆ กัน แบบกินกันไม่ลง ” จึงพากันขนานนามเรียกทั้งสามท่านว่า “ ๓ เสือ ” ( แต่พระอาจารย์ที่ว่ามา ต่างก็บอกว่าอีกสองท่านเก่งกว่าตน )
ส่วนดินแดนทางตอนเหนือของจังหวัดอันได้แก่ “ อำเภอบางปะหัน ” ยุคหลังปี พ.ศ.๒๕๐๐ ก็มี “ ๓ เสือ ” เช่นเดียวกันนั่นคือ หลวงพ่อฟอง วัดเขาดิน, หลวงพ่ออุป วัดตานิม และ หลวงพ่อมาก วัดโตนด ( “ เสือ ” ในที่นี้หมายถึง พระอาจารย์ผู้ทรงเวทวิทยาคมที่อยู่ในย่านเดียวกัน เก่งทางคาถาอาคมพอๆ กัน แต่หลวงพ่อฟองท่านจะมีอายุน้อยกว่า )
“ หลวงพ่อฟอง ” ท่านเป็นลูกศิษย์ของ “ หลวงพ่อกัณหา วัดตาลเอน ” อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ( เรื่องหลวงพ่อกัณหา ผู้เขียนจะเขียนรับใช้ในโอกาสต่อไป ) ส่วน “ หลวงพ่ออุป ” กับ “ หลวงพ่อมาก ” ท่านเป็นลูกศิษย์ของ “ หลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ ” อัน “ หลวงพ่อแป้น ” นี้ ท่านเป็นบรมครูทางไสยศาสตร์ที่เก่งที่สุดอีกท่านหนึ่งของเมืองไทย จะเห็นได้จากลูกศิษย์ลูกหาที่สืบทอดวิชาต่อมาจากท่านอย่าง หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว ( ชาวบ้านเรียก เทพเจ้าแห่งเมืองสิงห์บุรี ), หลวงพ่ออุป วัดตานิม และ หลวงพ่อมาก วัดโตนด ล้วนแล้วแต่เป็นพระเกจิอาจารย์ผู้มีอาคมเข้มขลังแห่งยุคทั้งสิ้น ( นี่ก็เรียก ๓ เสือ อีกเช่นกัน ) ส่วนลูกศิษย์หลวงพ่อแป้นที่เป็นฆราวาสอย่าง “ อาจารย์ลอย โพธิ์เงิน ” ก็เก่งไม่ใช่เล่น หาอาจารย์ฆราวาสจอมอาคมท่านอื่นเสมอเหมือนเทียบเท่าท่านได้ยากเต็มที
และวันนี้ผู้เขียนมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้นำเสนอชีวประวัติของพระเกจิอาจารย์ผู้มากด้วยตบะมหาอำนาจ ผู้ซึ่งมีอาคมแกร่งกล้ามากด้วยอิทธิปาฏิหาริย์จนได้สมญานามว่า “เสือ ” ท่านเป็น ๑ ใน ๓ เสือ ลูกศิษย์คู่บารมีของหลวงพ่อแป้นผู้ทรงอิทธิฤทธิ์แห่งวัดเสาธงใหม่ ใช่แล้วครับ! พระอาจารย์ที่ว่าก็คือ หลวงพ่ออุป วัดตานิม ( วัดเทพอุปการาม ) นั่นเอง...
ส่วน “ ตานิ่ม ” เองก็เป็นชายสูงอายุฐานะดี โอบอ้อมอารี ใจบุญสุนทาน จึงเป็นที่เคารพรักของชาวบ้าน ที่สำคัญตานิ่มเป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก แต่ก่อนเวลาตานิ่มกับชาวบ้านจะทำบุญทำกุศลในแต่ละที จะต้องเดินทางไปทำที่วัดอื่นซึ่งก็อยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน คนเฒ่าคนแก่เดินทางลำบาก ตานิ่มจึงชักชวนชาวบ้านสร้างวัดขึ้น โดยชาวบ้านเรียกชื่อวัดว่า “ วัดตานิ่ม ” ก่อนจะเพี้ยนเป็น “ วัดตานิม ” มาจนถึงปัจจุบันทุกวันนี้
รายนามสมภารปกครอง วัดเทพอุปการาม ( วัดตานิม )
๑. หลวงพ่อบุญ เมื่อตานิ่มสร้างวัดเสร็จเรียบร้อย ก็จะต้องมีพระอยู่จำพรรษา ชาวบ้านจึงนิมนต์ “ พระบุญ ” มาเป็นสมภาร ท่านได้สร้างอุโบสถ และกุฏิสงฆ์ หลวงพ่อบุญปกครอง วัดตานิม อยู่ ๒๒ ปี ท่านจึงลาสิกขา
๒. หลวงพ่อเฒ่า พ.ศ.๒๓๔๕-พ.ศ.๒๓๖๑ เมื่อหลวงพ่อบุญลาสิกขาไปแล้ว “ หลวงพ่อเฒ่า ” จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมภารรูปต่อมา ท่านได้สร้างเสนาสนะภายในวัดจนเจริญก้าวหน้า หลวงพ่อเฒ่าปกครองวัดอยู่ ๑๖ ปี จึงมรณภาพ
๓. หลวงพ่อขาว พ.ศ.๒๓๖๑-พ.ศ.๒๓๗๙ หลวงพ่อขาวท่านเป็นใครจากไหนไม่มีใครทราบ ถามชาวบ้านเก่าๆ ก็ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าท่านมาอาศัยอยู่ที่วัดกับ “ หลวงพ่อเฒ่า ” แต่ก่อนท่านเป็นฆราวาสนุ่งขาวห่มขาวไว้ผมยาวเหมือนพราหมณ์ ชอบนั่งกรรมฐาน สวดมนต์ตลอดเวลา หลวงพ่อเฒ่าจึงชักชวนให้บวชเป็นพระ เมื่อท่านบวชแล้วท่านก็กลายเป็นพระผู้ทรงเวทวิทยาคม ท่านเก่งด้านมนต์คาถามหาเวทย์ ท่านจึงเป็นที่พึ่งของชาวบ้านในย่านนั้นและใกล้เคียง เมื่อหลวงพ่อเฒ่ามรณภาพแล้ว หลวงพ่อขาวจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมภารสืบต่อมา ท่านครองวัดได้ ๑๘ ปี ก่อนจะมรณภาพลง
๔. หลวงพ่อคล้าย พ.ศ.๒๓๗๙-พ.ศ.๒๓๙๙ เมื่อหลวงพ่อขาวมรณภาพแล้ว “ หลวงพ่อคล้าย ” จึงได้รับตำแหน่งสมภารสืบต่อมา ท่านได้สร้างศาลาการเปรียญด้วยไม้เนื้อแข็งอย่างดี ทั้งยังสร้างกุฏิไม้สักเพิ่มอีก ๒ หลัง ท่านปกครองวัดตานิมได้ ๑๐ ปี จึงได้ลาสิกขา
๕. หลวงพ่อสุ่ม พ.ศ.๒๓๙๙-พ.ศ.๒๔๔๘ หลวงพ่อสุ่มได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมภารต่อจากหลวงพ่อคล้ายที่ลาสิกขา ท่านเป็นหมอยาสมุนไพรรักษาโรคให้กับชาวบ้าน ทั้งยังใช้เวทมนต์ถอนคุณไสยนานาชนิด ท่านจึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านและผู้คนทั่วไป ในสมัยของท่านนั้น “ วัดตานิม ” เจริญรุ่งเรืองมากกว่าสมัยใดๆ ที่ผ่านมา โดยท่านได้สร้างถาวรวัตถุ ดังนี้ สร้างอุโบสถก่ออิฐฉาบปูน, กุฏิทรงไทย ๒ หลัง, หอสวดมนต์ไม้เนื้อแข็ง ๑ หลัง สร้างหอระฆัง ทั้งยังบูรณะศาลาการเปรียญ
เมื่อหลวงพ่อสุ่มสร้างอุโบสถเสร็จเรียบร้อย “ พระครูวินัยธร ( เฟื่อง ) วัดเลียบ ” ( วัดราษฎร์บูรณะ ) กรุงเทพมหานคร ได้สร้าง พระพุทธรูปเนื้อสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง ๑ ศอก ๑๐ นิ้ว สูง ๑ ศอก ๒๐ นิ้ว มาเป็นพระประธาน ต่อมาชาวบ้านเรียกว่า “ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ” หลวงพ่อสุ่มได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๔ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูแขวงนครในเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๖ ท่านปกครองวัดอยู่ ๔๙ ปี จึงได้มรณภาพลง
๖. หลวงพ่อโต พ.ศ.๒๔๔๘-พ.ศ.๒๔๗๑ หลวงพ่อโตได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมภารต่อจากหลวงพ่อสุ่มที่มรณภาพ ท่านครองวัดอยู่ ๒๐ ปี จึงมรณภาพ
๗. พระครูอุปการโกศล ( หลวงพ่ออุป อิสฺสโร ) พ.ศ.๒๔๗๑-พ.ศ.๒๕๑๓ หลังหลวงพ่อโตมรณภาพ “ หลวงพ่ออุป ” ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสปกครอง วัดตานิม สืบมา และเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๗ ท่านได้เปลี่ยนชื่อวัดจาก “ วัดตานิม ” เป็น “ วัดเทพอุปการาม ” ทั้งท่านยังพัฒนาวัดได้สวยงามเจริญก้าวหน้าไม่แพ้วัดใดในยุคสมัยเดียวกัน ท่านปกครองวัดอยู่ ๔๒ ปี จึงได้มรณภาพลง
๘. พระครูสิทธิพงษ์คณาทร ( หลวงพ่ออุ่น อภิวํโส ) พ.ศ.๒๕๑๓-พ.ศ.๒๕๕๕ เรียกได้ว่า “ หลวงพ่ออุ่น ” เป็นศิษย์เอกของ “ หลวงพ่ออุป ” ก็ว่าได้ เมื่อ หลวงพ่ออุป มรณภาพลงหลวงพ่ออุ่นก็ได้เป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมา ทั้งท่านยังซ่อมสร้างบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะภายในวัดตามประสงค์ของหลวงพ่ออุปผู้เป็นอาจารย์ เช่น ท่านได้สร้างกำแพงรอบวัดพร้อมซุ้มประตู, สร้างหอสวดมนต์คอนกรีตเสริมเหล็ก ๒ ชั้น, สร้างซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ๖๐ พรรษา ในหลวงรัชกาลที่ ๙, สร้างอาคารทรงไทยคอนกรีตเสริมเหล็ก ๒ ชั้น ( หอสวดมนต์ ), สร้างกุฏิทรงไทยไม้สัก, สร้างหอระฆัง, สร้างศาลาการเปรียญทรงไทยคอนกรีตเสริมเหล็ก ๒ ชั้น, บูรณะกุฏิทรงไทยคอนกรีตเสริมเหล็ก ๒ ชั้น, สร้างอาคารเรียนพระปริยัติธรรมทรงไทย, สร้างศาลาธรรมสังเวชทรงไทยคอนกรีตเสริมเหล็ก ๒ ชั้น และอาคารเรียนคอนกรีตเสริมเหล็กตามที่ หลวงพ่ออุป ผู้เป็นพระอาจารย์ได้สั่งเสียไว้ หลวงพ่ออุ่นปกครองวัดอยู่ ๔๒ ปี เท่ากับพระอาจารย์ จึงมรณภาพลง
๙. พระครูสิริมงคลนิวิฐ พ.ศ.๒๕๕๕-ปัจจุบัน หลังจากที่พระครูสิทธิพงษ์คณาทร ( หลวงพ่ออุ่น ) มรณภาพลง ท่าน “ พระครูสิริมงคลนิวิฐ ” ก็ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อมา ท่านได้จัดงานพระราชทานเพลิงศพ “ หลวงพ่ออุป ” กับ “ หลวงพ่ออุ่น ” ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ทั้งท่านยังได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดตานิมเรื่อยมา จนมีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมกับวัดอื่นๆ ในจังหวัด
“ คุณตาบุญลืม วงเดือน ” ผู้เขียนขอเรียกท่านว่า “ ตาลืม ” ปัจจุบันอายุ ๘๐ ปี อยู่ บ้านตานิม ตำบลตานิม อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตาลืม กรุณาเล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนที่แกอายุได้ ๒๑ ปี แกโดนเกณฑ์ไปเป็นทหารที่ค่ายธนะรัชต์ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ก่อนที่แกจะเดินทางเข้ากรมฯ พ่อได้มอบ “ รูปถ่ายรุ่นแรกของ หลวงพ่ออุป พร้อมสายสร้อยแบบเชือกร่มให้ ๑ เส้น ” พอแกได้มาแกก็เอาสวมคอทันที
และเมื่อมาถึงศูนย์ฝึกทหารใหม่ แกก็เจอ “ ครูฝึกปากดีจอมวางฟอร์มเข้าให้ ” ( จำชื่อครูฝึกไม่ได้แล้ว ) พอครูฝึกเห็น “ ตาลืม ” แขวนรูปพระมันก็วางฟอร์มน้าผู้ใหญ่แล้วพูดเสียงดังว่า “ มึงเอารูปตัวเมียที่ไหนมาแขวน ” ( ตาลืมแกเล่าให้ฟังแบบนี้จริงๆ ส่วนครูฝึกปากดีคนนี้นั้นเป็น “ นักเลงยิงพระ ” แกยิงพระมาเยอะ เยอะจนแกเลิกนับถือ เพราะไม่เคยมีพระเครื่ององค์ไหนที่ยิงไม่ออก แกว่า “ นับถือปืนดีกว่า ” )
สิ้นเสียงครูฝึก “ ตาลืม ” แห่งบ้าน ตานิม ก็ถึงกับโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ในใจคิดว่า ‘ ถ้าอยู่ข้างนอกแล้วพูดจาแมวๆ แบบนี้ มีอันต้องโดนบาทาของแกเป็นแน่แท้ แต่ในเมื่อตนต้องมาอยู่ในที่ของเขาก็ต้องยอมเขาไปก่อนเพื่อความปลอดภัย หากแกเถียงออกไปคนที่โดนบาทาก็จะกลายเป็นตัวแกเอง ’ ตาลืมจึงก้มหน้าก้มตาแล้วพูดกับครูฝึกไปว่า
“ นี่คือรูป หลวงพ่ออุป วัดตานิม ท่านเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ”
ครูฝึกว่า “ ถ้าศักดิ์สิทธิ์อย่างที่มึงว่า กูจะขอเอาไปลองยิงดูสักหน่อย ”
ตาลืมไม่อยากให้ไป แต่ก็ไม่อาจฝืนคำสั่งของผู้บังคับบัญชาได้ แกจึงถอดพระออกแล้วส่งให้แต่โดยดี
ครูฝึกปากดีกำพระเครื่องไว้แน่น แล้วตะโกนเรียกเพื่อนครูฝึกอีก ๒-๓ คน ให้ไปดูตนลองยิงพระที่สนามฝึกยิงปืนในค่าย ( อยากโชว์พาว ) เมื่อได้ที่เหมาะๆ มันก็กดพระลงบนคันดินด้านหลังแนวเป้า โดยยืนห่างออกมาไม่เกิน ๓ เมตร ก่อนจะชัก “ ปืนพกยี่ห้อโคลท์ ขนาด .๔๕ นิ้ว ” หรือบางคนถนัดเรียกว่า “ ปืนขนาด ๑๑ มม. ” ออกมากระชากสไลด์ขึ้นลำ จากนั้นก็เล็งไปที่เป้าหมายแล้วก็ยิงทันที
ปรากฏว่ามีแต่เสียงเหล็กกระแทกเหล็กดัง “ เชียะ ” ปืนยี่ห้อดังจากประเทศสหรัฐอเมริกายิงไม่ออก!!!
ปืนที่ใช้ยิงเป็น “ โมเดล 1911 ” อันเลื่องลือ ซึ่งเป็นระบบซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น แม็กกาซีนหรือซองกระสุนปืนเรียงเดี่ยวบรรจุ ๗ นัด ส่วนระบบการยิงก็คือ เมื่อยิงนัดแรกแรงรีคอยล์ก็จะดันสไลด์ถอยหลัง แล้วเกี่ยวปลอกกระสุนที่ใช้ยิงไปแล้วมากระแทกเข้ากับตัวเตะปลอก เมื่อปลอกโดนเตะ กระสุนเปล่าก็จะกระเด็นออกมา เสร็จแล้วท้ายสไลด์จะเดินหน้ากลับไป พร้อมกันนั้นได้ดันกระสุนนัดใหม่จากแม็กกาซีนเข้าไปในรังเพลิง ซึ่งในขณะที่สไลด์ถอยหลังนั้น ยังได้ดันนกให้ง้างค้างเอาไว้ในตำแหน่งพร้อมยิงนัดต่อไป “ แต่ถ้ากระสุนด้านปืนยิงไม่ออก ก็จะเหนี่ยวไกยิงเป็นครั้งที่ ๒ หรือเหนี่ยวไกยิงทันทีแบบปืนดับเบิ้ลแอ๊คชั่น หรือแบบปืนลูกโม่ไม่ได้ ”
เมื่อยิงนัดแรกไม่ออก ด้วยระบบซิงเกิ้ลอย่างที่กล่าวกันไปแล้ว ทำให้ไม่สามารถเหนี่ยวไกสับกระสุนได้อีก ครูฝึกจึงต้องง้างนกจนสุดให้นกค้างเอาไว้ในตำแหน่งพร้อมยิง จากนั้นแกก็เหนี่ยวไกยิงซ้ำเข้าไปอีกที ( แบบนี้เรียกว่ายิงแบบซิงเกิ้ล ) ปรากฏว่า “ ก็ยังสับไม่แตกเหมือนเดิม ” พอกระสุนนัดนี้ไม่ลั่น เพื่อนๆ ครูฝึกจึงพูดขึ้นว่า “ ลูกคงชื้น มึงลองยิงนัดใหม่ดู ” คนยิงจึงกระชากสไลด์คัดลูกเก่าออก แล้วท้ายสไลด์ก็ดันกระสุนปืนนัดต่อไปเข้าในรังเพลิง จากนั้นแกก็ยิงอีก ก็ปรากฏว่า “ ครั้งนี้ก็ยังยิงไม่ออกเหมือนเดิม ” และนี่เป็นการเหนี่ยวไกครั้งที่ ๓ ยิงกระสุนเป็นนัดที่ ๒
ครูฝึกกระชากสไลด์คัดลูกเก่าออกแล้วเหนี่ยวไกยิงอีก แกทำแบบนี้จนกระสุนหมดแม็กก็ยังยิงไม่ได้ แกแปลกใจมากเพราะแกเป็นคนเล่นปืน ลูกปืนหรือก็เป็นลูกใหม่แบบแกะกล่อง แกอยากจะรู้ให้แน่แก่ใจว่า ‘ อะไรกันแน่ที่ทำให้ปืนขนาด ๑๑ มม. ยี่ห้อโคลท์ กับกระสุนแบบแกะกล่อง “ ด้าน ” จนยิงไม่ออก ’ ในใจของครูฝึกเริ่มคิดว่า ‘ นี่อาจเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องที่นำมาลองยิงตามที่พลทหารบุญลืมบอก ’ แต่แกก็ไม่ได้กระโตกกระตากอะไรออกไป เพราะกลัวว่าจะเสียฟอร์ม ส่วนอีกใจหนึ่งแกก็อยากจะพิสูจน์ให้รู้กันไปเลยว่า ‘ จะเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องจริงหรือไม่ จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวไม่ค้างคาใจกันอีกต่อไป ’
ครูฝึกจึงแคะพระออกมาจากเนินดินแล้วส่งคืนให้ “ ตาลืม ” จากนั้นแกก็เอา “ ลูกปืน ” ที่คัดออกทั้ง ๗ นัดมาบรรจุในแม็กกาซีนแล้วเสียบเข้าไปในด้ามปืนจนเข้าที่ ก่อนจะกระชากสไลด์แล้วยิงใหม่ไปที่เนินดินว่างเปล่าตรงที่เคยวางพระเอาไว้ และคราวนี้กระสุนก็ลั่นทุกนัด พอยิงเสร็จ “ ครูฝึกปากดี ” ได้หันหน้ามายิ้มแล้วพูดกับ “ ตาลืม ” ด้วยน้ำเสียงที่มีความกระด้างน้อยลงกว่าเก่าว่า “ วันหยุด มึงช่วยพาพวกกูไปกราบขอขมาลาโทษท่านที ”
๒. ตีกระเด้งๆ
“ คุณจตุรงค์ ” ( ขอสงวนนามสกุล ) ปัจจุบันอายุ ๕๖ ปี แกเป็นคนบ้านตานิ่ม อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แกเล่าอภินิหารที่เกิดจากวัตถุมงคลของหลวงพ่ออุปให้ฟัง ดังนี้...
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒ “ คุณจตุรงค์ ” ทำงานอยู่ที่โรงงานแห่งหนึ่งในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในตำแหน่งหัวหน้าแผนก ด้วยการที่แกเป็นคนตรงไปตรงมา พูดจาเสียงดังไม่กลัวใคร ซึ่งถ้าหากลูกน้องคนใดทำผิดแกจะด่าแบบไม่ไว้หน้าใครหน้าไหนทั้งสิ้น นั่นจึงทำให้มีลูกน้องหลายคนไม่พอใจ และหนึ่งในนั้นคือ “ นักเลงโตเจ้าถิ่น ” ( ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม )
“ เจ้านักเลงโต ” มันทุจริตต่อหน้าที่การงานมันจึงโดน “ คุณจตุรงค์ ” ต่อว่าเข้าให้ ที่สำคัญตอนที่มันโดนด่า พวกลูกน้องของมันก็อยู่ด้วย ทำให้มันอับอายขายขี้หน้าผู้คนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับลูกน้องของตนเอง มันจึงผูกใจเจ็บแค้นคุณจตุรงค์เรื่อยมา
และแล้วโอกาสของนักเลงโตเจ้าถิ่นที่จะแก้แค้นเอาคืนก็มาถึง เมื่อทางบริษัทจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่ขึ้น ในงานวันนั้นมีการแสดงดนตรีบนเวที โดยด้านล่างส่วนที่ติดกับเวทีจัดเป็นที่โล่งไว้สำหรับขาร็อกทั้งหลายได้เต้นกัน ถัดจากนั้นมาก็เป็นโต๊ะ ( จีน ) ของผู้บริหารแล้วไล่อันดับกันลงไปเรื่อยๆ จนถึงโต๊ะของคนงานระดับล่างสุด โต๊ะของคุณจตุรงค์อยู่อันดับถัดจากโต๊ะผู้บริหารลงมา ๒ แถว ส่วนโต๊ะของนักเลงเจ้าถิ่นกับลูกน้องถัดจากคุณจตุรงค์ลงไปอีก ๒ แถว
เมื่อเมากันได้ที่ คนงานทั้งหญิงชายได้ทยอยเดินออกไปเต้นกันที่หน้าเวทีอย่างสนุกสนาน ส่วนการจะออกไปยังหน้าเวทีได้นั้น จะต้องเดินผ่านโต๊ะของคุณจตุรงค์ ( โต๊ะคุณจตุรงค์อยู่ติดกับช่องทางเดินที่เว้นไว้ ) ไอ้นักเลงโตเจ้าถิ่นก็เห็นโอกาส โอกาสที่จะได้แก้แค้น และโอกาสที่จะได้สร้างชื่อชั้นบารมีนักเลงของตนเอง มันจึงคว้าขวดโค้ก ( ขวดแก้ว ) ขนาด ๑ ลิตร ติดมือออกมาด้วย จากนั้นมันก็บิดข้อมือยกขวดขึ้นซ่อนที่หลังแขน แล้วทำท่าจะเดินออกไปเต้นที่หน้าเวที
เมื่อมันเดินมาถึงด้านหลังคุณจตุรงค์ มันก็เงื้อขวดไปจนสุดแขน จากนั้นมันก็หวดเข้าที่ศีรษะของคุณจตุรงค์เต็มแรง นั่นทำให้คุณจตุรงค์ถึงกับหัวคะมำไปข้างหน้า ตัวกระแทกเข้ากับโต๊ะจีนจนอาหารบนโต๊ะหกกลาดเกลื่อน
เสียงขวดโค้กขนาด ๑ ลิตร กระทบเข้ากับศีรษะด้านหลังของคุณจตุรงค์ดัง “ ผัวะ ” สนั่นหวั่นไหว ดังถึงขนาดวงดนตรีที่กำลังเล่นเพลงมันๆ ยังต้องหยุดการแสดง ส่วนคนที่เต้นกันอยู่หน้าเวทีก็ถึงกับต้องหยุดเต้นแล้วมองไปยังต้นเสียง
นักเลงเจ้าถิ่นไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น มันได้หวดขวดไปยังคุณจตุรงค์อีกครั้งหนึ่ง และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่คุณจตุรงค์หันหน้ามามอง แล้วขวดโค้กก็ลงตรงแสกหน้าพอดิบพอดี ทีนี้คุณจตุรงค์ก็ถึงกลับหงายหลังผึ่งลงไปนอนกองอยู่กับพื้น แต่ยังไม่หมดสติ ส่วนโต๊ะจีนที่แกนั่งอยู่บัดนี้ได้คว่ำลงไปแล้ว ( แกเล่าให้ฟังว่าไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย ตอนนั้นแกรู้สึกงงมากกว่า ) ไอ้นักเลงเจ้าถิ่นได้ทีรีบกระโดดขึ้นคร่อมแล้วกระหน่ำตีเสียยกใหญ่ ส่วนคุณจตุรงค์ได้ใช้มือปัดป้องเอาไว้ ปัดได้บ้างไม่ได้บ้าง
“ นักเลงเจ้าถิ่นกระหน่ำตีทั้งหัว ทั้งแสกหน้า ตีทั้งใบหน้าของคุณจตุรงค์อย่างจังตั้งหลายที แต่คุณจตุรงค์กลับไม่เป็นอะไรเลย ใบหน้าก็ไม่มีร่องรอยใดๆ ให้เห็น มันจึงแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่ทำให้มันถึงกับประหลาดใจอย่างหนักก็คือ เวลาที่มันตีขวดลงไป ขวดกลับกระเด้งๆ คล้ายกับว่า เอาขวดน้ำดื่มพลาสติกแบบไม่บรรจุน้ำมาตี ทั้งยังได้ยินเสียงดังป๊อกๆๆ ” ( เนื้อหาจากย่อหน้านี้มาจากปากคำของนักเลงเจ้าถิ่น )
เมื่อคุณจตุรงค์ตั้งตัวได้ แกก็ใช้มือซ้ายปัดขวดที่ตีลงมา จากนั้นก็กำหมัดขวาจนแน่นแล้วชกสวนขึ้นไป เข้าไปที่ปลายคางของไอ้นักเลงเจ้าถิ่น พอมันโดนหมัดมันก็ถึงกับหยุดชะงัก จากนั้นคุณจตุรงค์ก็ยันร่างไอ้นักเลงเจ้าถิ่นที่คร่อมแกอยู่จนกระเด็นถอยหลังลงไปนั่งอยู่กับพื้นด้านข้าง แล้วคุณจตุรงค์จึงรีบลุกขึ้นยืน จากนั้นแกได้ง้างเท้าหมายจะเตะไอ้นักเลงเจ้าถิ่นที่นั่งงงอยู่กับพื้นเพื่อเป็นการตอบโต้ แต่ก็ไม่ได้เตะเพราะมีเพื่อนๆ ของทั้งสองฝ่ายได้เข้ามาช่วยกันแยกย้ายทั้งคู่ออกจากกัน พอนักเลงเจ้าถิ่นตั้งสติได้มันก็ใช้โอกาสนี้วิ่งหนีออกมาจากงาน
อนึ่ง หลายวันต่อมาได้มี “ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ” ซึ่งท่านเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในอำเภอวังน้อย ได้พา “ นักเลงเจ้าถิ่น ” คนก่อเรื่องมากราบขอขมาลาโทษ “ คุณจตุรงค์ ” เรื่องก็เลยจบ โดยในระหว่างที่คุยกัน “ นักเลงเจ้าถิ่นได้เล่าเหตุการณ์ตอนที่ใช้ขวดโค้กตีแล้วกระเด้งๆ ให้คุณจตุรงค์ฟัง คุณจตุรงค์เลยนำมาเล่าต่ออีกที ” เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล
หลังจากที่นักเลงเจ้าถิ่นวิ่งหนีไปแล้ว ได้มีการสำรวจเนื้อตัวของคุณจตุรงค์ก็ไม่พบอาการบาดเจ็บใดๆ รอยปูดบวมทั้งที่หัวและที่ใบหน้าก็ไม่มีให้เห็น สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคุณจตุรงค์มีเพียงอย่างเดียว! อย่างเดียวจริงๆ ที่ว่านั่นก็คือ “ เสื้อแสงของแกที่ขาดหลุดลุ่ย ”
ส่วนผู้คนที่เห็นอภินิหารคาตาได้ถามคุณจตุรงค์ว่า “ มีอะไรดี ”
คุณจตุรงค์ตอบว่า “ มีพระปิดตารุ่นแรกของ หลวงพ่ออุป วัดตานิม อยู่เพียงองค์เดียว ”
หลวงพ่ออุป ท่านเป็นพระผู้ทรงคุณวิเศษชำนาญเวทวิทยาคมอีกท่านหนึ่งของเมืองไทย หากมีการนำพระเกจิอาจารย์รุ่นราวคราวเดียวกัน หรือยุคสมัยเดียวกันกับท่านมาแข่งขันทางพุทธาคม เชื่อแน่ว่า “ ท่านต้องติดอันดับ ๑ ใน ๓ อย่างแน่นอน ”
หลวงพ่อท่านยังเป็น “ พระหมอ ” ท่านจะใช้วิชาไสยศาสตร์ช่วยเหลือผู้คนที่ถูกคุณไสย ลมเพลมพัด และของอาถรรพ์ต่างๆ ที่เข้าตัวจนหายกลายเป็นปกติ ส่วนพวก “ โรคเวรโรคกรรม ” ท่านก็จะดูชะตาราศีให้เสียก่อน แล้วค่อยใช้ยาสมุนไพรรักษาให้ตามอาการ หนักหน่อยก็ใช้อาคมเข้าช่วย ก็เป็นอันว่า “ หายขาดมานักต่อนัก ” ถึงขนาดชาวบ้านต่างกล่าวขานเล่าลือกันว่า “ หากถึงมือ หลวงพ่ออุป แล้ว รับรองไม่มีวันตายโหงอย่างเด็ดขาด ”
ทั้งท่านยังเป็น “ พระนักพัฒนา ” ท่านบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะภายใน วัดตานิม จนเจริญรุ่งเรืองสวยงามสมศักดิ์ศรี “ เสือจอมอาคมแห่งบางปะหัน ” แต่มิใช่ว่าท่านจะสร้างแค่ วัดตานิม เท่านั้น วัดอื่นๆ ที่มาขอบารมีท่าน ท่านก็รับเป็นเจ้าภาพช่วยสร้างให้เต็มกำลังความสามารถ หลวงพ่ออุป ไม่เคยปฏิเสธผู้ใด ใครมาขออะไรท่านๆ ให้หมด ท่านจึงเป็นที่เคารพรักและเทิดทูน ทั้งท่านยังเป็นศูนย์รวมศรัทธาญาติโยมในอำเภอบางปะหัน
นอกจากนั้นแล้ว ท่านยังให้ความสำคัญกับการศึกษาของชาติ โดยสร้าง โรงเรียนวัดเทพอุปการาม ( อุปอุ่นพัฒนาประชาสรรค์ ) ขึ้นมา เพื่อให้กุลบุตรกุลธิดาได้มีความรู้สามารถเลี้ยงตัวได้ในอนาคต ในช่วงปลายชีวิตของท่าน ท่านได้สร้างอาคารเรียนคอนกรีตเสริมเหล็กเพิ่มขึ้นอีกหลัง แต่ยังไม่ทันเสร็จ หลวงพ่ออุป ก็มามรณภาพจากไปเสียก่อน ซึ่งก่อนหน้านั้น หลวงพ่ออุป ได้สั่งเสีย “ พระครูสิทธิพงษ์คณาทร ” ( หลวงพ่ออุ่น ) เจ้าอาวาสรูปต่อมาซึ่งเป็นศิษย์รักของท่านเอาไว้ว่า “ สร้างให้เสร็จ ” แล้วหลวงพ่ออุ่นก็ตอบแทนคุณพระอาจารย์โดยการสร้างอาคารเรียนที่ท่านสั่งไว้จนสำเร็จเสร็จสิ้น
และเมื่อ หลวงพ่ออุป มรณภาพไปแล้ว “ พระครูสิทธิพงษ์คณาทร ” หรือ “ หลวงพ่ออุ่น ” ก็ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อมา ท่านได้สั่งเสียกับลูกศิษย์ใกล้ชิดเอาไว้ว่า “ หากจะเผา หลวงพ่ออุป ก็ให้เผาไปพร้อมกับตัวท่าน ”
๔๒ ปีต่อมา “ หลวงพ่ออุ่น ” ก็ได้มรณภาพลง มีการเก็บร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของท่านเอาไว้ ๑ ปี และเก็บร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของ “ หลวงพ่ออุป ” เอาไว้ ๔๓ ปี จากนั้นจึงมีพิธีพระราชทานเพลิงศพทั้งสองท่านในวาระเดียวกัน โดยท่านหนึ่งคือ “ พระอาจารย์ผู้เกรียงไกรที่มีอิทธิฤทธิ์เป็นที่เลื่องลือขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ ” ส่วนอีกหนึ่งก็คือ “ ลูกศิษย์ผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า สมกับที่เป็นศิษย์รักของพระอาจารย์ผู้ทรงเวท ทั้งท่านยังมีความกตัญญูอย่างเอกอุหาผู้หนึ่งผู้ใดเสมอเหมือนเทียบเท่าได้ยากเต็มที ” โดยพระราชทานเพลิงศพไปพร้อมกันเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๖ ที่ผ่านมา ก็เป็นอันว่า “ ตำนานความขลัง และตำนานแห่งความกตัญญูรู้คุณอย่างหาที่สุดมิได้แห่ง วัดตานิม ได้จบลงแล้วอย่างสมบูรณ์ ”
อนึ่ง วัดเทพอุปการาม ( วัดตานิม ) กำลังบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะภายในวัด หากท่านผู้อ่านผู้เจริญอยากทำบุญใหญ่กุศลผลบุญแผ่ไพศาล ก็ขอเชิญเช่าวัตถุมงคลได้ที่ วัดตานิม ตำบลตานิม อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์โทรศัพท์ ๐๘๖-๘๐๕๓๔๐๔ พระสังเวียน ปญฺญาวุฑฺโฒ...สวัสดีครับ
( ขอขอบคุณ คุณฉัตรเพชร เดชรัตน์ ผู้ให้ข้อมูล )
( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1212 พระครูอุปการโกศล ( อุป อิสฺสโร ) วัดเทพอุปการาม ( วัดตานิม ) ตำบลตานิม อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2560 ราคาปก 60 บาท ภาพและเรื่องโดย เอกลักษณ์ เพริศพริ้ง )

ส่วนดินแดนทางตอนเหนือของจังหวัดอันได้แก่ “ อำเภอบางปะหัน ” ยุคหลังปี พ.ศ.๒๕๐๐ ก็มี “ ๓ เสือ ” เช่นเดียวกันนั่นคือ หลวงพ่อฟอง วัดเขาดิน, หลวงพ่ออุป วัดตานิม และ หลวงพ่อมาก วัดโตนด ( “ เสือ ” ในที่นี้หมายถึง พระอาจารย์ผู้ทรงเวทวิทยาคมที่อยู่ในย่านเดียวกัน เก่งทางคาถาอาคมพอๆ กัน แต่หลวงพ่อฟองท่านจะมีอายุน้อยกว่า )
![]() |
เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่ออุป ปี 2490 เนื้อทองแดง |
![]() |
เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่ออุป ปี 2490 เนื้อทองแดง |
วัดเทพอุปการาม ( วัดตานิม )
“ วัดเทพอุปการาม ” เดิมชื่อ “ วัดตานิ่ม ” ต่อมาเรียก “ วัดตานิม ” ซึ่งเรียกตามนามผู้สร้าง จากหลักฐานที่ปรากฏ “ วัดตานิ่ม ” หรือ “ วัดตานิม ” สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๒ โดยมี “ ตานิ่ม ” เป็นผู้นำในการสร้าง ในสมัยนั้นย่านบ้านตานิ่มมีผู้อาศัยปลูกบ้านอยู่ประมาณ ๔-๕ ครัวเรือนส่วน “ ตานิ่ม ” เองก็เป็นชายสูงอายุฐานะดี โอบอ้อมอารี ใจบุญสุนทาน จึงเป็นที่เคารพรักของชาวบ้าน ที่สำคัญตานิ่มเป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก แต่ก่อนเวลาตานิ่มกับชาวบ้านจะทำบุญทำกุศลในแต่ละที จะต้องเดินทางไปทำที่วัดอื่นซึ่งก็อยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน คนเฒ่าคนแก่เดินทางลำบาก ตานิ่มจึงชักชวนชาวบ้านสร้างวัดขึ้น โดยชาวบ้านเรียกชื่อวัดว่า “ วัดตานิ่ม ” ก่อนจะเพี้ยนเป็น “ วัดตานิม ” มาจนถึงปัจจุบันทุกวันนี้
![]() |
เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่ออุป ปี 2490 เนื้อทองแดง |
รายนามสมภารปกครอง วัดเทพอุปการาม ( วัดตานิม )
๑. หลวงพ่อบุญ เมื่อตานิ่มสร้างวัดเสร็จเรียบร้อย ก็จะต้องมีพระอยู่จำพรรษา ชาวบ้านจึงนิมนต์ “ พระบุญ ” มาเป็นสมภาร ท่านได้สร้างอุโบสถ และกุฏิสงฆ์ หลวงพ่อบุญปกครอง วัดตานิม อยู่ ๒๒ ปี ท่านจึงลาสิกขา
๒. หลวงพ่อเฒ่า พ.ศ.๒๓๔๕-พ.ศ.๒๓๖๑ เมื่อหลวงพ่อบุญลาสิกขาไปแล้ว “ หลวงพ่อเฒ่า ” จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมภารรูปต่อมา ท่านได้สร้างเสนาสนะภายในวัดจนเจริญก้าวหน้า หลวงพ่อเฒ่าปกครองวัดอยู่ ๑๖ ปี จึงมรณภาพ
๓. หลวงพ่อขาว พ.ศ.๒๓๖๑-พ.ศ.๒๓๗๙ หลวงพ่อขาวท่านเป็นใครจากไหนไม่มีใครทราบ ถามชาวบ้านเก่าๆ ก็ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าท่านมาอาศัยอยู่ที่วัดกับ “ หลวงพ่อเฒ่า ” แต่ก่อนท่านเป็นฆราวาสนุ่งขาวห่มขาวไว้ผมยาวเหมือนพราหมณ์ ชอบนั่งกรรมฐาน สวดมนต์ตลอดเวลา หลวงพ่อเฒ่าจึงชักชวนให้บวชเป็นพระ เมื่อท่านบวชแล้วท่านก็กลายเป็นพระผู้ทรงเวทวิทยาคม ท่านเก่งด้านมนต์คาถามหาเวทย์ ท่านจึงเป็นที่พึ่งของชาวบ้านในย่านนั้นและใกล้เคียง เมื่อหลวงพ่อเฒ่ามรณภาพแล้ว หลวงพ่อขาวจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมภารสืบต่อมา ท่านครองวัดได้ ๑๘ ปี ก่อนจะมรณภาพลง
![]() |
เหรียญรุ่น 2 ปี 2500 เนื้อทองแดง |
๔. หลวงพ่อคล้าย พ.ศ.๒๓๗๙-พ.ศ.๒๓๙๙ เมื่อหลวงพ่อขาวมรณภาพแล้ว “ หลวงพ่อคล้าย ” จึงได้รับตำแหน่งสมภารสืบต่อมา ท่านได้สร้างศาลาการเปรียญด้วยไม้เนื้อแข็งอย่างดี ทั้งยังสร้างกุฏิไม้สักเพิ่มอีก ๒ หลัง ท่านปกครองวัดตานิมได้ ๑๐ ปี จึงได้ลาสิกขา
๕. หลวงพ่อสุ่ม พ.ศ.๒๓๙๙-พ.ศ.๒๔๔๘ หลวงพ่อสุ่มได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมภารต่อจากหลวงพ่อคล้ายที่ลาสิกขา ท่านเป็นหมอยาสมุนไพรรักษาโรคให้กับชาวบ้าน ทั้งยังใช้เวทมนต์ถอนคุณไสยนานาชนิด ท่านจึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านและผู้คนทั่วไป ในสมัยของท่านนั้น “ วัดตานิม ” เจริญรุ่งเรืองมากกว่าสมัยใดๆ ที่ผ่านมา โดยท่านได้สร้างถาวรวัตถุ ดังนี้ สร้างอุโบสถก่ออิฐฉาบปูน, กุฏิทรงไทย ๒ หลัง, หอสวดมนต์ไม้เนื้อแข็ง ๑ หลัง สร้างหอระฆัง ทั้งยังบูรณะศาลาการเปรียญ
เมื่อหลวงพ่อสุ่มสร้างอุโบสถเสร็จเรียบร้อย “ พระครูวินัยธร ( เฟื่อง ) วัดเลียบ ” ( วัดราษฎร์บูรณะ ) กรุงเทพมหานคร ได้สร้าง พระพุทธรูปเนื้อสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง ๑ ศอก ๑๐ นิ้ว สูง ๑ ศอก ๒๐ นิ้ว มาเป็นพระประธาน ต่อมาชาวบ้านเรียกว่า “ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ” หลวงพ่อสุ่มได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๔ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูแขวงนครในเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๖ ท่านปกครองวัดอยู่ ๔๙ ปี จึงได้มรณภาพลง
![]() |
เหรียญรุ่น 2 ปี 2500 เนื้อทองแดง |
๗. พระครูอุปการโกศล ( หลวงพ่ออุป อิสฺสโร ) พ.ศ.๒๔๗๑-พ.ศ.๒๕๑๓ หลังหลวงพ่อโตมรณภาพ “ หลวงพ่ออุป ” ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสปกครอง วัดตานิม สืบมา และเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๗ ท่านได้เปลี่ยนชื่อวัดจาก “ วัดตานิม ” เป็น “ วัดเทพอุปการาม ” ทั้งท่านยังพัฒนาวัดได้สวยงามเจริญก้าวหน้าไม่แพ้วัดใดในยุคสมัยเดียวกัน ท่านปกครองวัดอยู่ ๔๒ ปี จึงได้มรณภาพลง
![]() |
พระพุทธชยันตีเมตตาทันใจโลกนาถ |
๙. พระครูสิริมงคลนิวิฐ พ.ศ.๒๕๕๕-ปัจจุบัน หลังจากที่พระครูสิทธิพงษ์คณาทร ( หลวงพ่ออุ่น ) มรณภาพลง ท่าน “ พระครูสิริมงคลนิวิฐ ” ก็ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อมา ท่านได้จัดงานพระราชทานเพลิงศพ “ หลวงพ่ออุป ” กับ “ หลวงพ่ออุ่น ” ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ทั้งท่านยังได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดตานิมเรื่อยมา จนมีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมกับวัดอื่นๆ ในจังหวัด
อภินิหาร หลวงพ่ออุป
๑. นักเลงยิงพระยังต้องสยบให้![]() |
เหรียญหลวงพ่ออุป รุ่นสร้างศาลา ปี 2536 เนื้อเงิน ( เหรียญย้อนยุค ) |
และเมื่อมาถึงศูนย์ฝึกทหารใหม่ แกก็เจอ “ ครูฝึกปากดีจอมวางฟอร์มเข้าให้ ” ( จำชื่อครูฝึกไม่ได้แล้ว ) พอครูฝึกเห็น “ ตาลืม ” แขวนรูปพระมันก็วางฟอร์มน้าผู้ใหญ่แล้วพูดเสียงดังว่า “ มึงเอารูปตัวเมียที่ไหนมาแขวน ” ( ตาลืมแกเล่าให้ฟังแบบนี้จริงๆ ส่วนครูฝึกปากดีคนนี้นั้นเป็น “ นักเลงยิงพระ ” แกยิงพระมาเยอะ เยอะจนแกเลิกนับถือ เพราะไม่เคยมีพระเครื่ององค์ไหนที่ยิงไม่ออก แกว่า “ นับถือปืนดีกว่า ” )
สิ้นเสียงครูฝึก “ ตาลืม ” แห่งบ้าน ตานิม ก็ถึงกับโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ในใจคิดว่า ‘ ถ้าอยู่ข้างนอกแล้วพูดจาแมวๆ แบบนี้ มีอันต้องโดนบาทาของแกเป็นแน่แท้ แต่ในเมื่อตนต้องมาอยู่ในที่ของเขาก็ต้องยอมเขาไปก่อนเพื่อความปลอดภัย หากแกเถียงออกไปคนที่โดนบาทาก็จะกลายเป็นตัวแกเอง ’ ตาลืมจึงก้มหน้าก้มตาแล้วพูดกับครูฝึกไปว่า
![]() |
เหรียญหลวงพ่ออุป-หลวงพ่ออุ่น ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ 3 มี.ค. 2556 เนื้อเงิน |
ครูฝึกว่า “ ถ้าศักดิ์สิทธิ์อย่างที่มึงว่า กูจะขอเอาไปลองยิงดูสักหน่อย ”
ตาลืมไม่อยากให้ไป แต่ก็ไม่อาจฝืนคำสั่งของผู้บังคับบัญชาได้ แกจึงถอดพระออกแล้วส่งให้แต่โดยดี
ครูฝึกปากดีกำพระเครื่องไว้แน่น แล้วตะโกนเรียกเพื่อนครูฝึกอีก ๒-๓ คน ให้ไปดูตนลองยิงพระที่สนามฝึกยิงปืนในค่าย ( อยากโชว์พาว ) เมื่อได้ที่เหมาะๆ มันก็กดพระลงบนคันดินด้านหลังแนวเป้า โดยยืนห่างออกมาไม่เกิน ๓ เมตร ก่อนจะชัก “ ปืนพกยี่ห้อโคลท์ ขนาด .๔๕ นิ้ว ” หรือบางคนถนัดเรียกว่า “ ปืนขนาด ๑๑ มม. ” ออกมากระชากสไลด์ขึ้นลำ จากนั้นก็เล็งไปที่เป้าหมายแล้วก็ยิงทันที
ปรากฏว่ามีแต่เสียงเหล็กกระแทกเหล็กดัง “ เชียะ ” ปืนยี่ห้อดังจากประเทศสหรัฐอเมริกายิงไม่ออก!!!
ปืนที่ใช้ยิงเป็น “ โมเดล 1911 ” อันเลื่องลือ ซึ่งเป็นระบบซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น แม็กกาซีนหรือซองกระสุนปืนเรียงเดี่ยวบรรจุ ๗ นัด ส่วนระบบการยิงก็คือ เมื่อยิงนัดแรกแรงรีคอยล์ก็จะดันสไลด์ถอยหลัง แล้วเกี่ยวปลอกกระสุนที่ใช้ยิงไปแล้วมากระแทกเข้ากับตัวเตะปลอก เมื่อปลอกโดนเตะ กระสุนเปล่าก็จะกระเด็นออกมา เสร็จแล้วท้ายสไลด์จะเดินหน้ากลับไป พร้อมกันนั้นได้ดันกระสุนนัดใหม่จากแม็กกาซีนเข้าไปในรังเพลิง ซึ่งในขณะที่สไลด์ถอยหลังนั้น ยังได้ดันนกให้ง้างค้างเอาไว้ในตำแหน่งพร้อมยิงนัดต่อไป “ แต่ถ้ากระสุนด้านปืนยิงไม่ออก ก็จะเหนี่ยวไกยิงเป็นครั้งที่ ๒ หรือเหนี่ยวไกยิงทันทีแบบปืนดับเบิ้ลแอ๊คชั่น หรือแบบปืนลูกโม่ไม่ได้ ”
![]() |
เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่ออุ่น ปี 2515 |
ครูฝึกกระชากสไลด์คัดลูกเก่าออกแล้วเหนี่ยวไกยิงอีก แกทำแบบนี้จนกระสุนหมดแม็กก็ยังยิงไม่ได้ แกแปลกใจมากเพราะแกเป็นคนเล่นปืน ลูกปืนหรือก็เป็นลูกใหม่แบบแกะกล่อง แกอยากจะรู้ให้แน่แก่ใจว่า ‘ อะไรกันแน่ที่ทำให้ปืนขนาด ๑๑ มม. ยี่ห้อโคลท์ กับกระสุนแบบแกะกล่อง “ ด้าน ” จนยิงไม่ออก ’ ในใจของครูฝึกเริ่มคิดว่า ‘ นี่อาจเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องที่นำมาลองยิงตามที่พลทหารบุญลืมบอก ’ แต่แกก็ไม่ได้กระโตกกระตากอะไรออกไป เพราะกลัวว่าจะเสียฟอร์ม ส่วนอีกใจหนึ่งแกก็อยากจะพิสูจน์ให้รู้กันไปเลยว่า ‘ จะเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องจริงหรือไม่ จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวไม่ค้างคาใจกันอีกต่อไป ’
ครูฝึกจึงแคะพระออกมาจากเนินดินแล้วส่งคืนให้ “ ตาลืม ” จากนั้นแกก็เอา “ ลูกปืน ” ที่คัดออกทั้ง ๗ นัดมาบรรจุในแม็กกาซีนแล้วเสียบเข้าไปในด้ามปืนจนเข้าที่ ก่อนจะกระชากสไลด์แล้วยิงใหม่ไปที่เนินดินว่างเปล่าตรงที่เคยวางพระเอาไว้ และคราวนี้กระสุนก็ลั่นทุกนัด พอยิงเสร็จ “ ครูฝึกปากดี ” ได้หันหน้ามายิ้มแล้วพูดกับ “ ตาลืม ” ด้วยน้ำเสียงที่มีความกระด้างน้อยลงกว่าเก่าว่า “ วันหยุด มึงช่วยพาพวกกูไปกราบขอขมาลาโทษท่านที ”
๒. ตีกระเด้งๆ
![]() |
รูปหล่อหลวงพ่ออุ่น กะไหล่ทอง ปี 2556 |
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒ “ คุณจตุรงค์ ” ทำงานอยู่ที่โรงงานแห่งหนึ่งในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในตำแหน่งหัวหน้าแผนก ด้วยการที่แกเป็นคนตรงไปตรงมา พูดจาเสียงดังไม่กลัวใคร ซึ่งถ้าหากลูกน้องคนใดทำผิดแกจะด่าแบบไม่ไว้หน้าใครหน้าไหนทั้งสิ้น นั่นจึงทำให้มีลูกน้องหลายคนไม่พอใจ และหนึ่งในนั้นคือ “ นักเลงโตเจ้าถิ่น ” ( ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม )
“ เจ้านักเลงโต ” มันทุจริตต่อหน้าที่การงานมันจึงโดน “ คุณจตุรงค์ ” ต่อว่าเข้าให้ ที่สำคัญตอนที่มันโดนด่า พวกลูกน้องของมันก็อยู่ด้วย ทำให้มันอับอายขายขี้หน้าผู้คนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับลูกน้องของตนเอง มันจึงผูกใจเจ็บแค้นคุณจตุรงค์เรื่อยมา
และแล้วโอกาสของนักเลงโตเจ้าถิ่นที่จะแก้แค้นเอาคืนก็มาถึง เมื่อทางบริษัทจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่ขึ้น ในงานวันนั้นมีการแสดงดนตรีบนเวที โดยด้านล่างส่วนที่ติดกับเวทีจัดเป็นที่โล่งไว้สำหรับขาร็อกทั้งหลายได้เต้นกัน ถัดจากนั้นมาก็เป็นโต๊ะ ( จีน ) ของผู้บริหารแล้วไล่อันดับกันลงไปเรื่อยๆ จนถึงโต๊ะของคนงานระดับล่างสุด โต๊ะของคุณจตุรงค์อยู่อันดับถัดจากโต๊ะผู้บริหารลงมา ๒ แถว ส่วนโต๊ะของนักเลงเจ้าถิ่นกับลูกน้องถัดจากคุณจตุรงค์ลงไปอีก ๒ แถว
เมื่อเมากันได้ที่ คนงานทั้งหญิงชายได้ทยอยเดินออกไปเต้นกันที่หน้าเวทีอย่างสนุกสนาน ส่วนการจะออกไปยังหน้าเวทีได้นั้น จะต้องเดินผ่านโต๊ะของคุณจตุรงค์ ( โต๊ะคุณจตุรงค์อยู่ติดกับช่องทางเดินที่เว้นไว้ ) ไอ้นักเลงโตเจ้าถิ่นก็เห็นโอกาส โอกาสที่จะได้แก้แค้น และโอกาสที่จะได้สร้างชื่อชั้นบารมีนักเลงของตนเอง มันจึงคว้าขวดโค้ก ( ขวดแก้ว ) ขนาด ๑ ลิตร ติดมือออกมาด้วย จากนั้นมันก็บิดข้อมือยกขวดขึ้นซ่อนที่หลังแขน แล้วทำท่าจะเดินออกไปเต้นที่หน้าเวที
![]() |
รูปหล่อหลวงพ่ออุป กะไหล่ทอง ปี 2556 |
เสียงขวดโค้กขนาด ๑ ลิตร กระทบเข้ากับศีรษะด้านหลังของคุณจตุรงค์ดัง “ ผัวะ ” สนั่นหวั่นไหว ดังถึงขนาดวงดนตรีที่กำลังเล่นเพลงมันๆ ยังต้องหยุดการแสดง ส่วนคนที่เต้นกันอยู่หน้าเวทีก็ถึงกับต้องหยุดเต้นแล้วมองไปยังต้นเสียง
นักเลงเจ้าถิ่นไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น มันได้หวดขวดไปยังคุณจตุรงค์อีกครั้งหนึ่ง และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่คุณจตุรงค์หันหน้ามามอง แล้วขวดโค้กก็ลงตรงแสกหน้าพอดิบพอดี ทีนี้คุณจตุรงค์ก็ถึงกลับหงายหลังผึ่งลงไปนอนกองอยู่กับพื้น แต่ยังไม่หมดสติ ส่วนโต๊ะจีนที่แกนั่งอยู่บัดนี้ได้คว่ำลงไปแล้ว ( แกเล่าให้ฟังว่าไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย ตอนนั้นแกรู้สึกงงมากกว่า ) ไอ้นักเลงเจ้าถิ่นได้ทีรีบกระโดดขึ้นคร่อมแล้วกระหน่ำตีเสียยกใหญ่ ส่วนคุณจตุรงค์ได้ใช้มือปัดป้องเอาไว้ ปัดได้บ้างไม่ได้บ้าง
“ นักเลงเจ้าถิ่นกระหน่ำตีทั้งหัว ทั้งแสกหน้า ตีทั้งใบหน้าของคุณจตุรงค์อย่างจังตั้งหลายที แต่คุณจตุรงค์กลับไม่เป็นอะไรเลย ใบหน้าก็ไม่มีร่องรอยใดๆ ให้เห็น มันจึงแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่ทำให้มันถึงกับประหลาดใจอย่างหนักก็คือ เวลาที่มันตีขวดลงไป ขวดกลับกระเด้งๆ คล้ายกับว่า เอาขวดน้ำดื่มพลาสติกแบบไม่บรรจุน้ำมาตี ทั้งยังได้ยินเสียงดังป๊อกๆๆ ” ( เนื้อหาจากย่อหน้านี้มาจากปากคำของนักเลงเจ้าถิ่น )
เมื่อคุณจตุรงค์ตั้งตัวได้ แกก็ใช้มือซ้ายปัดขวดที่ตีลงมา จากนั้นก็กำหมัดขวาจนแน่นแล้วชกสวนขึ้นไป เข้าไปที่ปลายคางของไอ้นักเลงเจ้าถิ่น พอมันโดนหมัดมันก็ถึงกับหยุดชะงัก จากนั้นคุณจตุรงค์ก็ยันร่างไอ้นักเลงเจ้าถิ่นที่คร่อมแกอยู่จนกระเด็นถอยหลังลงไปนั่งอยู่กับพื้นด้านข้าง แล้วคุณจตุรงค์จึงรีบลุกขึ้นยืน จากนั้นแกได้ง้างเท้าหมายจะเตะไอ้นักเลงเจ้าถิ่นที่นั่งงงอยู่กับพื้นเพื่อเป็นการตอบโต้ แต่ก็ไม่ได้เตะเพราะมีเพื่อนๆ ของทั้งสองฝ่ายได้เข้ามาช่วยกันแยกย้ายทั้งคู่ออกจากกัน พอนักเลงเจ้าถิ่นตั้งสติได้มันก็ใช้โอกาสนี้วิ่งหนีออกมาจากงาน
อนึ่ง หลายวันต่อมาได้มี “ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ” ซึ่งท่านเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในอำเภอวังน้อย ได้พา “ นักเลงเจ้าถิ่น ” คนก่อเรื่องมากราบขอขมาลาโทษ “ คุณจตุรงค์ ” เรื่องก็เลยจบ โดยในระหว่างที่คุยกัน “ นักเลงเจ้าถิ่นได้เล่าเหตุการณ์ตอนที่ใช้ขวดโค้กตีแล้วกระเด้งๆ ให้คุณจตุรงค์ฟัง คุณจตุรงค์เลยนำมาเล่าต่ออีกที ” เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล
หลังจากที่นักเลงเจ้าถิ่นวิ่งหนีไปแล้ว ได้มีการสำรวจเนื้อตัวของคุณจตุรงค์ก็ไม่พบอาการบาดเจ็บใดๆ รอยปูดบวมทั้งที่หัวและที่ใบหน้าก็ไม่มีให้เห็น สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคุณจตุรงค์มีเพียงอย่างเดียว! อย่างเดียวจริงๆ ที่ว่านั่นก็คือ “ เสื้อแสงของแกที่ขาดหลุดลุ่ย ”
ส่วนผู้คนที่เห็นอภินิหารคาตาได้ถามคุณจตุรงค์ว่า “ มีอะไรดี ”
คุณจตุรงค์ตอบว่า “ มีพระปิดตารุ่นแรกของ หลวงพ่ออุป วัดตานิม อยู่เพียงองค์เดียว ”
หลวงพ่ออุป ท่านเป็นพระผู้ทรงคุณวิเศษชำนาญเวทวิทยาคมอีกท่านหนึ่งของเมืองไทย หากมีการนำพระเกจิอาจารย์รุ่นราวคราวเดียวกัน หรือยุคสมัยเดียวกันกับท่านมาแข่งขันทางพุทธาคม เชื่อแน่ว่า “ ท่านต้องติดอันดับ ๑ ใน ๓ อย่างแน่นอน ”
หลวงพ่อท่านยังเป็น “ พระหมอ ” ท่านจะใช้วิชาไสยศาสตร์ช่วยเหลือผู้คนที่ถูกคุณไสย ลมเพลมพัด และของอาถรรพ์ต่างๆ ที่เข้าตัวจนหายกลายเป็นปกติ ส่วนพวก “ โรคเวรโรคกรรม ” ท่านก็จะดูชะตาราศีให้เสียก่อน แล้วค่อยใช้ยาสมุนไพรรักษาให้ตามอาการ หนักหน่อยก็ใช้อาคมเข้าช่วย ก็เป็นอันว่า “ หายขาดมานักต่อนัก ” ถึงขนาดชาวบ้านต่างกล่าวขานเล่าลือกันว่า “ หากถึงมือ หลวงพ่ออุป แล้ว รับรองไม่มีวันตายโหงอย่างเด็ดขาด ”
ทั้งท่านยังเป็น “ พระนักพัฒนา ” ท่านบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะภายใน วัดตานิม จนเจริญรุ่งเรืองสวยงามสมศักดิ์ศรี “ เสือจอมอาคมแห่งบางปะหัน ” แต่มิใช่ว่าท่านจะสร้างแค่ วัดตานิม เท่านั้น วัดอื่นๆ ที่มาขอบารมีท่าน ท่านก็รับเป็นเจ้าภาพช่วยสร้างให้เต็มกำลังความสามารถ หลวงพ่ออุป ไม่เคยปฏิเสธผู้ใด ใครมาขออะไรท่านๆ ให้หมด ท่านจึงเป็นที่เคารพรักและเทิดทูน ทั้งท่านยังเป็นศูนย์รวมศรัทธาญาติโยมในอำเภอบางปะหัน
![]() |
ศาลาวัดเทพอุุปการาม ( วัดตานิม ) |
และเมื่อ หลวงพ่ออุป มรณภาพไปแล้ว “ พระครูสิทธิพงษ์คณาทร ” หรือ “ หลวงพ่ออุ่น ” ก็ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อมา ท่านได้สั่งเสียกับลูกศิษย์ใกล้ชิดเอาไว้ว่า “ หากจะเผา หลวงพ่ออุป ก็ให้เผาไปพร้อมกับตัวท่าน ”
๔๒ ปีต่อมา “ หลวงพ่ออุ่น ” ก็ได้มรณภาพลง มีการเก็บร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของท่านเอาไว้ ๑ ปี และเก็บร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของ “ หลวงพ่ออุป ” เอาไว้ ๔๓ ปี จากนั้นจึงมีพิธีพระราชทานเพลิงศพทั้งสองท่านในวาระเดียวกัน โดยท่านหนึ่งคือ “ พระอาจารย์ผู้เกรียงไกรที่มีอิทธิฤทธิ์เป็นที่เลื่องลือขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ ” ส่วนอีกหนึ่งก็คือ “ ลูกศิษย์ผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า สมกับที่เป็นศิษย์รักของพระอาจารย์ผู้ทรงเวท ทั้งท่านยังมีความกตัญญูอย่างเอกอุหาผู้หนึ่งผู้ใดเสมอเหมือนเทียบเท่าได้ยากเต็มที ” โดยพระราชทานเพลิงศพไปพร้อมกันเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๖ ที่ผ่านมา ก็เป็นอันว่า “ ตำนานความขลัง และตำนานแห่งความกตัญญูรู้คุณอย่างหาที่สุดมิได้แห่ง วัดตานิม ได้จบลงแล้วอย่างสมบูรณ์ ”
อนึ่ง วัดเทพอุปการาม ( วัดตานิม ) กำลังบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะภายในวัด หากท่านผู้อ่านผู้เจริญอยากทำบุญใหญ่กุศลผลบุญแผ่ไพศาล ก็ขอเชิญเช่าวัตถุมงคลได้ที่ วัดตานิม ตำบลตานิม อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์โทรศัพท์ ๐๘๖-๘๐๕๓๔๐๔ พระสังเวียน ปญฺญาวุฑฺโฒ...สวัสดีครับ
( ขอขอบคุณ คุณฉัตรเพชร เดชรัตน์ ผู้ให้ข้อมูล )
( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1212 พระครูอุปการโกศล ( อุป อิสฺสโร ) วัดเทพอุปการาม ( วัดตานิม ) ตำบลตานิม อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2560 ราคาปก 60 บาท ภาพและเรื่องโดย เอกลักษณ์ เพริศพริ้ง )