ข้อมูลจำเพาะ : พระปรุหนัง อโยธยาพระปรุหนัง : ยอดพระดังเมืองอโยธยา เป็นพระพิมพ์แบบฉลุ มีลวดลายเครือเถา และลวดลายกนกเปลว
สถานที่ค้นพบ : แตกกรุครั้งแรก ราวปี พ.ศ.2450 ณ วัดพุทไธสวรรค์ และวัดทั่วๆ ไป ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
: แตกกรุอีกครั้ง เมื่อประมาณปี พ.ศ.2495 ที่กรุวัดพระศรีสรรเพชญ์กับกรุวัดมหาธาตุ ซึ่งอยู่ติดกับวัดราชบูรณะ มีจำนวนไม่มาก พบทั้งชำรุดและสมบูรณ์แบบคละเคล้ากันไป เนื่องด้วยกรุมีความชื้นสูง ทำให้พระปรุหนังขาดความสมบูรณ์
: แตกกรุต่อมาหลายครั้งหลายหน และหลายวัด เมื่อประมาณปี พ.ศ.2500 เช่นที่ วัดราชบูรณะและวัดชนะสงคราม ทั้งที่เปิดกรุอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ (คือขโมยขุด)
: ครั้งสุดท้าย แตกกรุที่วัดปราสาท เมื่อประมาณปี พ.ศ.2506
อายุการสร้าง : ผู้สันทัดกรณีคาดว่าน่าจะสร้างขึ้นในยุคต้นๆ ของสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อ 600 ปีก่อน
ศิลปะพระพิมพ์ : สกุลช่างชาวอยุธยาอย่างชัดเจน
ขนาดพระพิมพ์ : มีความยาวประมาณ 2 นิ้ว ส่วนสูงประมาณ 2.5 นิ้ว
พุทธลักษณะ : พระประธานองค์กลาง คือ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับนั่งบนอาสนะมีฐานบัว 2 ชั้น (คว่ำ-หงาย) เป็นอาสนะรองรับ
: มีเอกลักษณ์ประทับนั่งแบบขัดสมาธิเพชร ส่วนประทับนั่งขัดสมาธิราบนั้น เข้าใจว่าพบน้อย
: ด้านข้างทั้งสอง (ซ้าย-ขวา) ขององค์ประธาน เป็นภาพของอัครสาวก องค์ขวามือคือ พระสารีบุตร องค์ซ้ายมือคือ พระโมคคัลลาน์ ประทับยืนพนมมือ
: เป็นพระพิมพ์แบบฉลุ มีลวดลายเครือเถาและลวดลายกนกเปลว เป็นรูป 4 เหลี่ยม มีลายเส้นและช่องไฟเท่ากัน ทั้งด้านซ้ายและขวา
: มีรอยฉลุแบบภาพหนังตะลุง ที่ฉลุด้วยหนังวัวหรือหนังกระบือ หากมองภาพของลายจะคล้ายกับซุ้มโพธิ์บัลลังก์ หรือร่มโพธิ์นั่นเอง
พระพิมพ์ที่พบ : เท่าที่พบเห็นเล่นหาตามมาตรฐานสากล มีด้วยกัน 6 พิมพ์ คือ
1. พิมพ์บัวเม็ด มีความนิยมอยู่ในระดับสูงสุด
2. พิมพ์บัวก้างปลา มีทั้งบัวห่างกับบัวถี่
3. พิมพ์บัวกลีบ แบบบัวหลังเบี้ย องค์พระมีลักษณะนั่งขัดสมาธิเพชร
4. พิมพ์ปรุหนังเดี่ยว แบบฐานสำเภา บ่งบอกถึงสกุลช่างอู่ทองอย่างชัดเจน
5. พิมพ์บัวเดี่ยว
6. พิมพ์ลีลา เท่าที่พบเห็น จะมีขนาดโตกว่าปรุหนัง พิมพ์นิยม
เนื้อพระพิมพ์ : พระปรุหนัง โดยมากจะสร้างด้วยเนื้อชินเงิน ลักษณะบอบบางมาก เปราะและหักได้ง่ายดาย สาเหตุเพราะ เนื้อชินหมดยาง เหมือนกับไม้ผุๆ ซึ่งทำให้สภาพของพระไม่ค่อยคงทนนัก
: นอกจากเนื้อชินเงินแล้ว ยังมีพระปรุหนัง เนื้อดิน และชินสังฆวานร
: พระปรุหนัง ที่สร้างด้วยเนื้อชินแท้มักจะมีผิวสีขาว บางท่านเรียก “ผิวปรอท” ผิวจะแห้งผากและแห้งสนิท สีสันจืดชืดไร้อารมณ์ แต่คงความแห้งเป็นหลัก ถ้านำมาใช้ถูกเหงื่อไคล ผิวของเนื้อชินจะกลับกลายเป็นสีดำ หรือสนิมดำ
: แต่ถ้าเป็นเนื้อชินแบบตะกั่วลูกปืนหรือตะกั่วดำ บางท่านเรียก “ชินสังควานร” คือ มีความอ่อนตัว บิดงอได้
พระปลอม : พระปลอมมี รอยระเบิด ไหม? มีครับ ปัจจุบันนี้มีทำเทียมและเลียนแบบได้ใกล้เคียงที่สุด ใครที่อยากได้ ระวังให้จงหนัก
ความนิยมและมูลค่าบูชา : พิมพ์พระปรุหนัง ที่นักนิยมสะสมชื่นชอบนั้น โดยมากจะเป็น พิมพ์ฉลุแบบโปร่ง และ เป็นพิมพ์บัวเม็ด ด้วย ส่วนชนิดแบบตันทั้งองค์ก็มี แต่รู้สึกว่าจะพบน้อยมาก สำหรับพิมพ์อื่นๆ ก็รองๆ ลงมา สนนราคาก็อยู่ที่การตกลงและสภาพของพระ
ข้อสังเกต : จะชี้ชัดองค์ไหนแท้หรือไม่แท้นั้น ดูได้ง่ายมาก อาศัยความชำนาญ ดูของจริงบ่อยๆ จดจำพิมพ์ทรง ลวดลายศิลปะ ขนาดขององค์พระสำคัญมาก
: การผุกร่อน ผุอย่างไร ผุด้วยเคมีหรือเปล่า
: เนื้อพระที่ผุดูยุ่ยหรือแข็ง ของปลอมสนิมจะยุ่ยหลุดง่าย ทั้งด้านหน้าและหลัง ตลอดจนด้านขอบข้างขององค์พระ (ในองค์ที่มีผิวชิน หรือผิวปรอท)
: ด้านหลังขององค์พระจะเป็นหลังกระดานหรือหลังกาบหมาก ส่วนใหญ่ด้านหลังจะเป็นหลังกาบหมาก เพราะเป็น พระที่หล่อพิมพ์ด้วยพิมพ์ประกบ
เคล็ดลับ : ในการดูพระปรุหนังว่าองค์ใดแท้ องค์ใดเทียมนั้น มีมากมายหลายประการ อาจจะดูยากเป็นพิเศษ แต่ขอบอกทีเด็ดไว้ว่า พระปรุหนังเป็นพระที่หล่อเทด้วยพิมพ์ประกบ (หมายถึงมีแม่พิมพ์ 2 ชิ้น นำมาประกบกัน ด้านหน้าและด้านหลัง)
: เป็นพระที่บอบบางมาก จุดสังเกตและเคล็ดลับสุดยอด คือ การสกัดเนื้อชินตรงชนวนด้วยของมีคม ด้านล่างสุดขององค์พระ โดยมากจะเป็นของแท้แทบทุกองค์ ของปลอมจะไม่มีรอยสกัดครับ เคล็ดลับสุดยอดนี้ใครจะจดจำไปใช้ก็เชิญครับ ส่วนอื่นๆ ผมเห็นจะไม่ต้องบอก เพราะถ้าบอกไปจะเกิดเลอะเทอะกันยกใหญ่ เอาเท่านี้ก็คงจะเพียงพอแก่ความต้องการของท่านผู้อยากรู้แล้วใช่ไหมครับ
ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 865 พระสมเด็จ บางขุนพรหม กรุเจดีย์เล็ก วางแผง เดือนพฤศจิกายน 2546 ราคาปก 50 บาท ; คอลัมน์ พระปรุหนัง ยอดพระดัง แห่งเมืองอโยธยา เขียนโดย จ.ส.อ.เอนก เจกะโพธิ์
#พระปรุหนัง #อโยธยา #พระปรุหนังอโยธยา