“ เทพเจ้าแห่งสรรคบุรี ” หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆสิตาราม ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท

ภาพและเรื่องโดย...สมจิตต์ เทียนจัน


มาจะกล่าวบทไป          
ถึงวัดโฆสิตารามในครั้งก่อน
คนเก่าเล่าไว้ไม่แน่นอน     
จะตัดตอนเสริมต่อพอเข้าใจ


ประวัติวัดโฆสิตาราม

วัดโฆสิตาราม เดิมชื่อ วัดขวิด เนื่องจากเป็นที่ดอน มีต้นมะขวิดขึ้นอยู่แต่เก่าก่อน แต่คนเก่าเรียกวัดนี้ว่า วัดบ้านแค เนื่องจากเป็นชื่อของหมู่บ้านแค คำว่า บ้านแค นี้ มาจากคำว่า บ้านของปู่แค ปัจจุบันศาลปู่แคยังมีอยู่ เพิ่งจะมาเปลี่ยนเป็น วัดโฆสิตาราม เมื่อสมัยที่ หลวงพ่อกวย มาเป็นเจ้าอาวาส เข้าใจว่ามีมูลเหตุหรือแรงบันดาลใจมาจากหลวงพ่อได้สร้างพระพุทธพิมพ์ รูปแบบเหมือนของสมเด็จโต วัดระฆังโฆสิตาราม และหลวงพ่อจะเปลี่ยนชื่อวัดให้เป็นมงคล หลวงพ่อระลึกถึงสมเด็จโตแห่งวัดระฆังโฆสิตาราม หลวงพ่อจึงใช้ชื่อว่า วัดโฆสิตาราม เหมือนหนึ่งเป็นวัดน้องเล็กคนสุดท้องของวัดระฆังโฆสิตาราม คือมีผงของสมเด็จโตผสมอยู่

เหรียญรุ่น 1 สร้าง พ.ศ.2504 เนื้อฝาบาตรรมทอง
หลังยันต์มหามงกุฎพระพุทธเจ้า ออกให้ศิษย์
พ.ศ.2506 (สร้าง 5,000 เหรียญ อัลปาก้า 20 เหรียญ)
เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อกวย
พ.ศ.2506 เนื้อฝาบาตรรมทอง
หลังยันต์มหามงกุฎพระพุทธเจ้า
วัดตั้งอยู่หมู่ที่ 9 บ้านบ้านแค ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มีเนืื้อที่ประมาณ 80 ไร่ ตั้งอยู่ห่างจากที่ว่าการ อำเภอสรรคบุรี ประมาณ 15 กิโลเมตรไปทางใต้ สร้างมาประมาณ 100 ปีเศษ เดิมเป็นวัดร้าง ตั้งอยู่ในป่า มีกุฏิ 2 หลัง หลังคามุงแฝก หอประชุมปั้นหยาก็มุงแฝกเช่นกัน มีเจ้าอาวาสติดต่อกันมา 8 รูป หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 6 ได้มรณภาพเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2522 ทางเจ้าคณะจังหวัดจึงแต่งตั้งให้ พระสำรวย ปั้นสน ฉายา อคฺคปัญโญ เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 7 เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2522

ปัจจุบัน พระสำรวย ปั้นสน ได้ลาสิกขาบทแล้วเมื่อก่อนเข้าพรรษา ปี 2536 และได้แต่งตั้งให้ อาจารย์บุญยัง ฐานวโร เป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน

เหรียญรุ่น 2 เนื้อทองแดงรมดำ เสาร์ 5
ปี 2515 หลังเป็นคาถานะโมตาบอด
เดิมหลวงพ่อสักคาถานี้ไว้ที่แขนศิษย์
(สร้าง 1,000 เหรียญ มีบล็อกเสริม 1,000 เหรียญ
บล็อกนี้บล็อกนิยม บล็อกเสริมไม่นิยม)
วัดนี้ตามประวัติเจ้าอาวาสทั้ง 5 องค์ ไม่ปรากฏว่ามีองค์หนึ่งองค์ใดที่เรืองอาคม นอกจาก หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เจ้าอาวาสองค์ที่ 6 เท่านั้น ในวัดจึงไม่ปรากฏว่ามีโบราณสถานหรือโบราณวัตถุอื่นใดเลย นอกเสียจาก พระปูนปั้น เป็นรูปพระพุทธเจ้าในวิหารซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่วัด ที่ฐานพระวิหารเขียนไว้ว่า สร้าง พ.ศ.2473 พร้อมชื่อผู้ที่สมทบทุนสร้างพระพุทธเจ้าในวิหารนี้ ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่วัดเช่นกัน ชอบรับบนด้วยประทัด


Add caption
ด้านทิศใต้ติดกับอุโบสถ มีสระน้ำเก่าแก่อยู่ 1 สระ เป็นสระน้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ น้ำในสระนิยมตักเอาไปทำน้ำมนต์ ดินในสระนิยมนำเอาไปสร้างพระ โดยเชื่อกันว่าดี ที่สระนี้ถ้าเป็นคนท้องที่จะไม่มีใครกล้าล่วงเกินเลย คือหลวงพ่อขุดเอาไว้และลงอาถรรพณ์เอาไว้ วัดนี้คนในสกุล เดชมา ได้ก่อตั้งและบูรณะเรื่อยมา

ประวัติของ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร

ศาลาหลวงพ่อโต
หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เดิมชื่อ เด็กชายกวย ปั้นสน เกิดวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2448 ปีมะเส็ง ณ หมู่บ้านบ้านแค หมู่ 9 ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท เป็นบุตรของ คุณพ่อตุ้ย ปั้นสน บ้านเดิมอยู่วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง มารดาชื่อ คุณแม่ต่วน เดชมา เป็นคนบ้านแค ท่านทั้งสองมีบุตรและธิดาด้วยกัน 5 คน
คนที่ 1 ชื่อ นายตุ๊ ปั้นสน
คนที่ 2 ชื่อ นายดาด ปั้นสน
คนที่ 3 ชื่อ นายชื้น ปั้นสน
คนที่ 4 ชื่อ นางนาค ปั้นสน
หลวงพ่อโต พระุพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์
คู่กับวัดโฆสิตาราม
คนที่ 5 ชื่อ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร
(ปัจจุบันพี่น้องของท่าน และท่านได้มรณภาพหมดแล้ว)


เด็กชาย กวย ปั้นสน เป็นบุตรคนสุดท้องของบิดา-มารดา ถือว่าเป็นบุตรคนเล็ก ก็เป็นที่รักใคร่ของบิดา-มารดา เมื่อโตขึ้นบิดา-มารดาจึงได้นำมาฝากไว้กับ หลวงปู่ขวด ณ วัดบ้านแค เพื่อเรียนหนังสือ ในสมัยนั้นบ้านเมืองยังเป็นป่าเป็นดงจะหาโรงเรียนเรียนก็ยาก เพราะห่างไกลความเจริญ หลวงปู่ขวดได้ไต่ถามถึงวัน เดือน ปีเกิด ของเด็กชาย กวย ตลอดจนลักษณะผิวพรรณ การเดิน และการพูดจา เด็กชายกวยมีวันเดือนปีเกิดของมหาบุรุษ แสดงว่าวันข้างหน้าจะได้ดีเป็นเจ้าคนนายคน ลักษณะสีผิว สีผิวขาวเหลืองแบบคนมีปัญญา สีผิวต่างกับบิดา-มารดา ริมฝีปากเล็กแสดงว่าเป็นคนพูดน้อย ประกายตากล้าแข็งเด็ดเดี่ยว แสดงว่าเป็นคนเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด แต่เจ้าอารมณ์ การเดินก็คล่องแคล่วปราดเปรียว หลวงปู่ขวดได้พอใจและรับไว้เป็นศิษย์ ได้สอนหนังสือ ก.กา สระ ตัวสะกด การันต์ แล้วเรียน บวก, ลบ, คูณ, หาร จนคล่อง เด็กชาย กวย ยังได้อ่านหนังสือธรรมบท บทสวดต่างๆ ของพระ เด็กชาย กวย ก็ท่องได้ทั้งๆ ที่อายุเพียง 6-7 ขวบเท่านั้น หลวงปู่ขวดจึงได้ให้เด็กชาย กวย เรียนหนังสือขอม เรียนสูตร, สน, นาม อีกมากมาย เด็กชาย กวย ก็เรียนได้ จำได้ หลวงปู่ขวดได้ทุ่มสติปัญญาในการสอนเด็กชาย กวย จนเต็มกำลัง เพราะรู้ในชะตาของเด็กชาย กวย ว่า วันข้างหน้าอาจจะได้บวชในพระศาสนา จะได้เป็นใหญ่เป็นโต ทั้งๆ ที่หลวงปู่ขวดชราภาพมากแล้ว

ซุุ้มประตูหน้าวัดโฆสิตาราม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท
ต่อมาหลวงปู่ขวดก็มรณภาพ บิดา-มารดาจึงได้นำเด็กชาย กวย มาเรียนหนังสือขอมต่อกับ อาจารย์ดำ วัดหัวเด่น ซึ่งใกล้ๆ กับวัดบ้านแค เมื่อเรียนหนังสือขอมจนแตกฉานแล้ว บิดา-มารดาจึงได้พาเด็กชาย กวย มาเรียนที่ โรงเรียนวัดพร้าว ต.โพธิ์งาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท โดยพักที่วัดพร้าว โดยเรียนอยู่ชั้น ป.1 ที่วัดพร้าวนี้มีเด็กวัดมากมาย อาหารการกินก็ไม่สะดวก เพื่อนเด็กวัดรุ่นพี่ก็รังแก บิดา-มารดาจึงได้ย้ายโรงเรียนให้มาเรียนที่ โรงเรียนวัดโพธิ์งาม ต.ดอนกำ อ.สรรคบุรี โดยเดินทางไปเรียนเพราะไม่ไกลนัก ได้สอบไล่ชั้น ป.1 และเรียนต่อชั้น ป.2 แต่ไม่ได้สอบเพราะเป็นไข้เสียก่อน ในการเรียนทั้งชั้น ป.1 และ ป.2 เด็กชายกวยแทบจะไม่ได้ความรู้อะไรเพิ่มเติมเลย เพราะเด็กชายกวยได้เรียนมากับหลวงปู่ขวดและอาจารย์ดำมาแล้ว แถมยังมีความรู้มากกว่าเด็กรุ่นเดียวกันมากนัก ภาษาขอมก็เขียนได้ อ่านได้แตกฉาน เด็กชายกวยจึงเบื่อที่จะเรียนในโรงเรียนอีก จึงได้ช่วยบิดา-มารดาประกอบอาชีพทำไร่ไถนา ระหว่างที่นาย กวย ทำไร่ไถนานี้ นาย กวย คิดถึงแต่หลวงปู่ขวด คิดถึงแต่วัด การทำไร่ทำนาหาไปใช้ไปไม่มีแก่นสาร หาประโยชน์อะไรไม่ได้ ช่วงนี้ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ บอกว่านาย กวย ไม่ได้ประพฤติเป็นคนเกเรเหมือนกับคนเมือง สรรคบุรี สมัยนั้น
จากคำบอกเล่าของ หลวงพ่อกวย เอง เมื่อถามถึงชีวิตในวัยหนุ่ม ท่านเล่าว่าท่านเป็นคนซน คือซุกซน ชอบยิงกระสุน (รูปร่างคล้ายธนู แต่ใช้ลูกดินยิง) คือถ้าบ้านไหนตอนกลางคืนไม่ยอมปิดประตูหน้าต่างให้ดี ท่านจะแกล้งเอาคันกระสุนยิง เพื่อเตือนให้เจ้าของบ้านปิดประตูหน้าต่างให้ดี ในวัยหนุ่มนั้นท่านได้พูดกับบิดา-มารดาว่า ถ้าตัวเองได้บวชเมื่อไรจะบวชไม่สึก ซึ่งท่านเคยเล่าให้ คุณย่าฉวน เทียนจัน คนหัวเด่นเป็นพี่ คุณยายฉาย คนที่ดูแลท่านก่อนมรณภาพ อายุย่าฉวนมากกว่าหลวงพ่อ 3-4 ปี ท่านได้เล่าถึงมูลเหตุของการบวชไม่สึกว่า


รูปถ่ายหลวงพ่อกวย 2 หน้า หลังสิงห์
รุ่นแรก พ.ศ.2500 (ทำไว้ 9 รูป)
รูปถ่ายหลวงพ่อกวย พ.ศ.2521 หลังจีวร
คาถาอะปะจะคะ และนะชาลิติ
ตอนสมัยท่านหนุ่มๆ ท่านมีคนรักอยู่เหมือนกัน ท่านเคยขึ้นหาคนรักของท่านในตอนกลางคืน โดยปีนหน้าต่างเข้าไปหา ท่านไม่ได้พูดไว้ว่าขึ้นหาบ่อยหรือไม่ และไม่ได้บอกว่าคนรักของท่านชื่ออะไร คืนวันหนึ่งเดือนหงายพระจันทร์เต็มดวง ท่านนัดกับคนรักของท่านว่าจะไปหา แต่เมื่อท่านไปแล้ว ปรากฏว่าไม่กล้าเข้าไปหา เพราะแสงจันทร์สว่างมากกลัวว่าที่พ่อตาจะเห็น ท่านได้คอยจนกระทั่งเดือนตก คือดึกมากแล้ว ท่านได้ปีนขึ้นไปหาคนรักของท่าน ปรากฏว่าคนรักของท่านคอยท่านจนหลับไป ท่านได้เข้าไปดูคนรักของท่านนอนหลับอยู่ ผมเผ้ายุ่งเหยิงนอนอ้าปากน้ำลายไหล ผ้าผ่อนเปิดคล้ายคนตาย คล้ายซากศพ หาความงามไม่ได้เลย ท่านได้ถอยหลังออกมาแล้วปีนหน้าต่างกลับ และท่านไม่ได้ไปหาคนรักของท่านอีกเลย และไม่มีคนรักอีก ความตอนนี้คล้ายคลึงกับเรืื่องของพระยศะในพุทธกาล แสดงว่าหลวงพ่อไม่ยินดีในกามคุณตั้งแต่ก่อนบวช

เมื่อท่านอายุครบบวช บิดา-มารดาท่านจึงได้จัดการอุปสมบทให้ แต่นาย กวย ได้พูดกับบิดา-มารดาว่า ถ้าจะบวชให้ตนก็ขอให้บวชกันที่วัดไม่ให้จัดพิธีใหญ่โต ไม่ต้องมีการแห่แหนให้เปลืองเงินเปลืองทอง โดยท่านให้เหตุผลของครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ขวดและอาจารย์ดำว่า “ พระเทศน์ก็ต้องรู้จักเวลา ผู้ศรัทธาก็ต้องรู้จักกำลัง ” บิดา-มารดาจึงได้พานาย กวย ไปหาอุปัชฌาย์ คือ พระชัยนาทมุนี จัดการโกนหัวบวชให้ มี หลวงพ่อปา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์หริ่ง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ บวชเมื่อวันที่ 5 เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2467 เวลา 15 นาฬิกา 17 นาที อายุ 20 ปี ณ วัดโบสถ์ ต.โพธิ์งาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มีฉายาว่า ชุตินฺธโร แปลว่า “ โลกนี้มีแต่ความวุ่นวายของโลก หนักไปด้วยกิเลส ตัณหา คือ โลภ โกรธ หลง ทั้งสิ้น ถ้าท่านผู้ใดตัดกิเลส ตัณหาได้ก็จะถึงซึ่งฝั่งพระนิพพาน ”


หุ่นขี้ผึ้งหลวงพ่อกวย
ประดิษฐานในศาลาหลวงพ่อกวย
ศาลาหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร
เมื่อบรรพชาอุปสมบทแล้วก็กลับมาจำพรรษาอยู่วัดบ้านแค ตอนนั้น หลวงปู่มา เป็นเจ้าอาวาสอยู่ พระกวย ชุตินฺธโร จึงหัดเทศน์เวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร, ทานกัณฑ์ ในแถบนั้นสมัยนั้นไม่มีใครสู้ท่านได้เลย ท่านเทศน์แหล่หญิงหม้ายกล่าวถึงพระนางมัทรี และเทศน์แหล่ชายหม้าย กล่าวถึงพระเวสสันดรต้องไปอยู่ป่าหิมพานต์ ถ้าไม่มีพระนางมัทรีตามเสด็จไปด้วย ก็จะเป็นชายหม้าย ส่วนพระนางมัทรีก็จะเป็นหญิงหม้าย ท่านเทศน์แหล่ถึงการเป็นหญิงหม้าย-ชายหม้าย มีแต่คนนินทาว่าร้าย คงจะไม่ดีสามีถึงได้ทิ้ง ครั้นแต่งตัวคนเขาก็ว่าคงอยากจะมีผัวจนตัวสั่น ครั้นไม่แต่งตัว คนเขาก็ว่ารูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ สามีถึงได้ทิ้ง ส่วนชายหม้ายนั้นก็น่าสงสาร มีแต่คนเขาว่าคงจะไม่ดีเมียถึงได้ทิ้ง คงจะเป็นคนเกเร เป็นนักเลงสุรา หรือนักเลงการพนัน จะอยู่จะกินก็อดๆ อยากๆ ลูกเต้าหรือก็ขะมุกขะมอม บ้านก็ผุก็พัง เพราะขาดกำลังใจ ท่านแหล่ขนาดหญิงหม้าย ชายหม้าย ไม่อาจนั่งฟังบนศาลา ต้องหลบไปแอบฟังที่ใต้ต้นไม้ บางคนนั่งน้ำตาไหลเป็นทาง บางคนร้องไห้โฮ ชื่อเสียงของท่านในการเทศน์ทานกัณฑ์นั้นโด่งดังมาก แต่กัณฑ์อื่นๆ หลวงพ่อก็เทศน์ไม่ดีนัก เพราะการเทศน์เวสสันดรชาดกนั้นพระนักเทศน์ต้องตลกคะนอง แต่หลวงพ่อไม่ชอบตลกคคะนอง ปัจจุบันใบลานในการเทศน์ของท่านยังอยู่ที่วัด หลวงพ่อเขียนไว้ว่า พระกวยสร้างถวาย แล้วตอกตรารูปสิงห์ชูคอเอาไว้

อยู่ต่อมาหลวงพ่อได้หยุดเทศน์ โดยหลบหรือแอบไปเรียน วิชาแพทย์แผนโบราณ กับ หมอเขียน หมอเขียนคนนี้สามารถรักษาโรคระบาดหรือโรคห่าได้ ตอนนั้นคนเป็นโรคระบาดที่บ้านโคกช้าง ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก หมออื่นๆ ก็ตาย เหลือหมอเขียนคนเดียว สามารถรักษาโรคห่า โรคไข้ทรพิษได้
ในวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2472 พระกวย ได้มาเรียนพระปริยัติธรรมเพื่อให้เจริญในศาสนา ได้มาอยู่ วัดวังขรณ์ 2 พรรษา ต.โพธิ์ชนไก่ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี ตอนนั้น อาจารย์คำ เป็นเจ้าอาวาส ได้เรียนธรรมตรีสอบ ณ วัดโพธิ์ชนไก่ พรรษาต่อมาได้เรียนธรรมโท แต่พอจะสอบได้เป็นไข้ไม่สบายเลยไม่ได้สอบ จึงมาคิดได้ว่า ปริยัติธรรมก็เรียนมาพอสมควร จึงอยากจะเรียนวิปัสสนากรรมฐานและอาคม ตลอดจนวิธีทำเครื่องรางของขลัง


รูปหล่อหลวงพ่อกวย รุ่น 2 (รุ่นสุดท้าย)
พ.ศ.2522 เนื้อกะไหล่ทอง
จึงได้เดินทางไปเรียนวิชากับ หลวงพ่อศรี วิริยะโสภิต แห่งวัดพระปรางค์ จ.สิงห์บุรี หลวงพ่อศรีองค์นี้เชี่ยวชาญในวิปัสสนากรรมฐานมาก เก่งที่สุดในจังหวัดสิงห์บุรี ขณะนั้นหลวงพ่อได้เรียนวิชาทำ แหวนนิ้ว ซึ่งแหวนนิ้วของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ใต้ท้องวงจะตอกตัวขอม อ่านว่า อิติ ของหลวงพ่อก็เช่นกัน และได้เรียนวิชาอีกหลายอย่าง ได้จำพรรษาอยู่ วัดหนองตาแก้ว ต.โคกช้าง อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี ที่วัดหนองตาแก้วนี้ หลวงพ่อได้ปลูกต้นสมอไว้ 1 ต้น ปัจจุบันยังอยู่ หลวงตาสมาน เคยไปอยู่วัดหนองตาแก้ว ได้นำไก่แจ้เอาไปนอนบนต้นสมอ ปรากฏว่าไก่ไม่ยอมนอน ไม่ทราบว่าหลวงพ่อได้ลงวิชาอะไรไว้ ทั้งๆ ที่หลวงพ่อเพิ่งอายุ 28 ปี พรรษาได้ 8 พรรษา แสดงว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีอาคมตั้งแต่เป็นพระหนุ่ม ได้จำพรรษาที่วัดหนองตาแก้ว 1 พรรษา ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2477 ได้มาจำพรรษาที่ วัดหนองแขม ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท อีก 1 พรรษา ได้เรียนแพทย์แผนโบราณต่อกับ โยมป่วน บ้านหนองแขม และเรียนแพทย์แผนโบราณต่อกับ หมอใย บ้านบางน้ำพระ ในขณะที่พักจำพรรษาที่วัดหนองแขม ได้มีเพื่อนภิกษุชื่อ แจ่ม ได้เดินทางท่องเที่ยวไปพบ ตำราเป็นสมุดข่อย อยู่ในโพรงไม้ แต่เอามาไม่ได้ เพราะตำรานั้นมีอาถรรพณ์แรงมาก คล้ายมีเทพและเทวดารักษา จึงได้มาชักชวน พระกวย ให้ไปดู ปรากฏว่ามีตำราอยู่ในโพรงไม้จริง มีรอยคนเอาพวงมาลัยดอกไม้ ธูป เทียนมาบูชาใต้โคนไม้ พระภิกษุกวยจึงได้จุดธูปบอกกล่าวและอธิษฐานว่า

“ถ้าจะให้ข้าพเจ้าเอาตำรานี้ไปเก็บรักษาไว้ ขอธูปที่จุดนี้ให้ไหม้ให้หมดดอก”

แต่ปรากฏว่าธูปได้ไหม้ไม่หมด พระภิกษุกวยจึงได้เสี่ยงอธิษฐานขึ้นใหม่ว่า

“ถ้าหากว่าท่านจะให้ตำรานี้ให้ข้าพเจ้าเอาไปเก็บรักษาไว้ ข้าพเจ้าจะนำเอาตำรานี้ไปทำประโยชน์แก่วัดและช่วยเหลือประชาชนเท่านั้น”

แล้วก็จุดธูปขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ปรากฏว่า ธูปได้ไหม้หมดทั้ง 3 ดอก หลวงพ่อจึงได้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของตำรา แล้วอัญเชิญเอาตำรานั้นมาเก็บไว้

ต่อมามีคนร่ำลือกันว่า มีคนๆ หนึ่งได้นำตำราชุดนี้มาเก็บไว้ในบ้าน ได้เกิดเหตุวิบัติเจ็บไข้ล้มตาย จึงเอาตำราชุดนี้มาทิ้งไว้ดังกล่าว พระภิกษุกวย เมื่อได้ข่าวดังนั้นก็มาเปิดตำราดูก็ปรากฏว่ามีลายลักษณ์อักษรบอกไว้ในตำราว่า ตำรานี้ห้ามเอาไปไว้บ้านใครๆ ทั้งสิ้น มิฉะนั้นจะฉิบหาย พระภิกษุกวย จึงได้ศึกษาตำรายันต์และคาถาจากตำราเล่มนี้ ปัจจุบันตำราเล่มนี้ยังอยู่ที่วัด หน้าปกเขียนว่า ครูแรง ด้วยสีแดง ปกติไม่มีใครกล้าหยิบต้อง ผู้เขียนเคยขอร้องให้ท่าน อาจารย์สำรวย เจ้าอาวาสหยิบมาให้ดู 1 ครั้ง ผมได้จุดธูปบอกเล่าหลวงพ่อ และเจ้าของตำราขอสมาโทษ ได้ขอสมาต่อหลวงพ่อว่า

“ผมไอ้ครู ศิษย์คนเล็กของหลวงพ่อ ตอนหลวงพ่อมีชีวิตอยู่ ผมไม่กล้าที่จะล่วงเกินหลวงพ่อแม้แต่น้อย เคารพหลวงพ่อดุจบิดา แต่วันนี้อาจเอื้อมเปิดตำราของหลวงพ่อ เปรียบเสมือนครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อ ขอหลวงพ่อจงอย่าได้ถือโกรธ หากพระมนต์บทใดหลวงพ่อจะให้ขอให้ผมจำได้ เพียงท่องแค่ 3 ครั้ง”

ผมได้เปิดตำราดู ในตำรามีพระมนต์และยันต์ต่างๆ มากมายหลายร้อยยันต์ เป็นยันต์กันอาวุธ, กันกระทำ, กันคุณ, กันของ คาถาก็มีมากมายหลายบท เป็นภาษาของคนโบราณ แต่มีบทหนึ่งเขียนไว้ว่า พระมนต์พระพุทธเจ้าชนะมาร ใช้เรียกนางแม่ธรณี ใช้ทำน้ำมนต์ ฆราวาสห้ามเรียน ในพระมนต์นี้ได้เขียนถึงการใช้มนต์ในทางที่ดี และใช้ไปในทางที่ร้าย คือ มนต์ดำ ผมเลยตัดสินใจอธิษฐานขอเรียนท่องเพียง 2 ครั้ง ก็จำได้ แล้วปิดตำรามอบคืนให้ท่านอาจารย์สำรวย


ศาลาแรกหลังจากผ่านซุ้มประตูวัด
เข้ามา จะพบรูปหล่อเท่าองค์จริง
หลวงพ่อกวยอยู่กลางศาลา
รูปหล่อเท่าองค์จริงที่วัดสร้าง
พ.ศ.2522 (ทันหลวงพ่อ)
เรื่องตำรายันต์ที่หลวงพ่อคัดลอกและเรียนมานี้ ปัจจุบันอยู่ที่ อาจารย์เหวียน มณีนัย คนท่าทอง ต.ปากน้ำ อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี 1 เล่ม เก็บรักษาอยู่ที่วัดท่าทอง แขวนไว้ในกุฏิไม่มีใครกล้ายุ่ง อยู่ที่ อาจารย์ตั้ว 1 เล่ม อยู่ที่ อาจารย์แสวง วัดหนองอีดุก อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท 1 เล่ม ส่วนที่วัดมีหลายเล่ม มีอยู่เล่มหนึ่งเป็นตำราภาษาไทย มองดูก็ธรรมดา หลวงพ่อห่อปกไว้อย่างดีใส่พานไว้บูชา หน้าปกเขียนว่า ทางมรรคผล ลายแทงนิพพาน เขียนโดย หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ รับหนังสือไว้ พ.ศ.2502 ปีนั้นหลวงพ่อสดมรณภาพแล้ว ตำรานี้ปัจจุบันยังอยู่ในพานหน้าโต๊ะหมู่ท่าน กรุณาอย่าไปแตะต้อง บางคนกลับไปบ้านไม่สบายเพ้อคลั่งปวดหัวก็มี เข้าใจว่าหลวงพ่อได้ศึกษาตำราเล่มนี้ในบั้นปลายของชีวิต

เมื่อหลวงพ่อออกจากวัดหนองแขมแล้ว ได้ไปจำพรรษาที่ วัดบางตาหงาย อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ได้มาเรียนวิชากับ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ได้เรียนวิชาทำ แหวนแขน, ตะกรุด, มีดหมอ และอื่นๆ และได้เรียนวิชา รักษาโรคกระดูกหัก จาก หลวงพ่อเคน วัดดงเศรษฐี จ.อุทัยธานี เข้าใจว่าหลวงพ่อคงจะเรียนวิชากับหลวงพ่อองค์อื่นๆ อีก เพราะในตำรารักษาไข้ ยังได้กล่าวถึงครูของท่านองค์หนึ่งคือ หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน กับ หลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว ก็เข้าใจว่าชอบพอกัน เพราะหลวงพ่อเคยทำพระพิมพ์ยอดขุนพล แล้วนำเหรียญหลวงพ่อกันกดลงไปด้านหลัง ศิษย์ร่วมรุ่นของหลวงพ่อที่เป็นที่รู้กันคือ หลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู อ.บรรพตพิสัย คือครั้งหนึ่ง พระโชน วัดหัวเด่น ได้ไปกราบหลวงปู่

หลวงปู่ได้พูดว่า “สรรคบุรี ไม่รู้จักท่านกวยหรือ” 
พระโชนได้พูดว่า “เป็นศิษย์ครับ”
หลวงปู่หัวเราะชอบใจใหญ่เลย ได้พูดว่า “ท่านกวยเขาใจจริง เรียนวิชามาด้วยกัน เขาใจจริง เขาไม่กลัวอะไร”

จากคำบอกเล่าของพระภิกษุแบนและพระหลวงตา ตลอดจนศิษย์รุ่นเก่าได้พูดตรงกันว่า หลวงพ่อกวยตอนที่อยู่ที่วัดก็เป็นพระที่มีอาคมเหมือนพระทั่วๆ ไป แต่เมื่อท่านกลับมาจากเรียนวิชาจากเมืองเหนือ (หมายถึง จ.นครสวรรค์) เมื่อท่านกลับมาท่านเก็บตัว พูดน้อย มีจิตมหัศจรรย์ วาจาสิทธิ์ เหนือกว่าพระทั่วไป เรื่องที่หลวงพ่อไปเรียนวิชามากับหลวงพ่อเดิมนี้ มีหลักฐานคือ มีรูปถ่ายของหลวงพ่อเดิม มีจารด้วยลายมือ พบในกุฏิของหลวงพ่อ หลักฐานอีกอย่างหนึ่งคือ ลุงลอน คนสักยันต์แทนหลวงพ่อก็มี มี 2 รูป สมัยนั้นเดินไป หลังสงครามหลวงพ่อจะไปเรียนวิชาทำทอง เล่นแร่แปรธาตุ แต่หลวงพ่อเดิมไม่สอนให้


กุฏิเก่าหลวงพ่อกวย
ในช่วงนี้ไม่ปรากฏหลักฐานว่าหลวงพ่อกลับวัดบ้านแคเมื่อไร แต่ก่อน พ.ศ.2484 เมื่อหลวงพ่อกลับมาอยู่วัดบ้านแค หลวงพ่อได้ทำการสักให้ศิษย์มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ขนาดสักกันทั้งกลางวันกลางคืน ทางเดินสมัยก่อนต้องเดินเท้าเอา ลำบากมาก อย่างดีก็ขี่จักรยาน รถสองแถว มีเข้าวัด 1 คัน ออก 1 คัน เท่านั้น มีศิษย์สักมาก ได้จดบัญชีไว้ 8 หมื่น 4 พันคน แล้วหลวงพ่อก็ไม่ได้จดชื่อศิษย์อีกเลย ไม่ถามแม้ชื่อ ศิษย์สักของหลวงพ่อหลายคนยิงไม่ออก เป็นเรื่องแปลกมากที่คนธรรมดาจะยิงไม่ออก ต่อมาหลวงพ่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาหลวงพ่อได้หยุดสัก หลวงพ่อได้พูดกับศิษย์ว่า “ ถ้าท่านไม่เลิก หลังคากุฏิท่านสามารถเอาแบงก์ร้อยมามุงหลังคาแทนได้ ” (สมัยนั้นแบงก์ 500 ยังไม่มี) แล้วหลวงพ่อก็ทำแต่เครื่องรางของขลัง เช่น ตะกรุด, มีดหมอ, แหวนแขน, พระพิมพ์ ฯ ในสมัยนั้น เมื่อเสือเดินผ่านวัดหลวงพ่อต้องยิงปืนถวายทุกครั้ง ทั้งกลางวัน กลางคืน

ในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2491 หลวงพ่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส เข้าใจว่าหลวงพ่อคงจะกลับวัดบ้านแคมาก่อนหน้านี้หลายปี เพราะจากคำบอกเล่าของคนเก่าเล่าไว้ว่า ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ.2484 หลวงพ่อได้มาอยู่ที่วัดบ้านแค แล้วได้นำตะกรุดของครูบาอาจารย์มาแจก เป็นของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ก็มี เป็นของหลวงพ่อเดิม เป็นงาก็มี ที่หลวงพ่อทำเองก็มีเพราะมีคนมาขอกันมาก ตลอดจนสมัยนั้นมีเสือเข้ามาปล้นบ้านกันมากมาย บ้านเมืองข้าวยากหมากแพง ผู้คนเดือดร้อน บ้างก็เจ็บป่วยไม่มีหมอ ไม่มียา พระกวย ก็ช่วยจนสุดกำลัง คนก็เรียกกันว่า อาจารย์กวย บ้าง หลวงพ่อกวย บ้าง หลวงพ่อคร่ำเคร่งสักให้ศิษย์บ้าง แจกเครื่องรางบ้าง พระบ้าง ตะกรุดบ้าง รักษาโรคบ้าง บ้านเมืองก็เกิดข้าวยากหมากแพง หลวงพ่อจึงตัดสินใจถือธุดงควัตรขอฉันอาหารเพียงมื้อเดียวมาตลอด ตั้งแต่ พ.ศ.2484 เรื่อยมา

วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2497 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ (คู่สวด)


( ที่มา : ลานโพธิ์  ฉบับที่  1225 “ เทพเจ้าแห่งสรรคบุรี ” หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆสิตาราม ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ” เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 ราคาปก 70 บาท )



วันนี้อ่านหนังสือ ลานโพธิ์ บน i-Pad หรือ Tablet computer ได้ทั่วโลกแล้ว ตามลิงค์นี้ 

สามารถหาอ่านหนังสือ ลานโพธิ์ ในรูปแบบ E-book ได้แล้วจร้า.. 
Available Now!  You can read whenever, wherever with any device.

 BangkokSarn App on Google Play store    Lanpo App on Google play Store    Ookbee Book Shop   Meb Market Book Shop    AIS Book Store   
 Lanpo App on Google Play Lanpo App on iTunes

#ลานโพธิ์ #หลวงพ่อกวย  #วัดโฆสิตาราม #อ.สรรคบุรี #จ.ชัยนาท