![]() |
พระกรุวัดราชบูรณะ ในหมวดศิลปะจีน |
อย่างไรก็ตามในหนังสือ “ พระพุทธรูปและ พระพิมพ์วัดราชบูรณะ ” ได้แยกสมัยและประเภทของพระพิมพ์ที่ขุดได้จากในพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ไว้ดังนี้
ศิลปะแบบทวาราวดี มีประเภทซุ้มเรือนแก้ว
ศิลปะแบบลพบุรี มีประเภทซุ้มเรือนแก้ว ประเภทซุ้มปราสาทหรือซุ้มจรนำ และประเภทลอยตัว
![]() |
พระปรกโพธิ์ พิมพ์จิ๋ว กรุวัดราชบูรณะ |
![]() |
พระพิมพ์โมคคัลลาน์ สารีบุตรกรุวัดราชบูรณะ |
พระพิมพ์เหล่านี้แต่ละประเภท ปรากฏว่ายังมีพิมพ์แตกต่างกันออกไปอีกมากมาย ซึ่งไม่สามารถที่จะมาเสนอให้หมดทุกพิมพ์ได้
![]() |
พระปรกโพธิ์บัลลังก์ พิมพ์ใหญ่ กรุวัดราชบูรณะ |
พระพิมพ์พุทธคยา พระซุ้มปรางค์ (กรมศิลปากรจัดอยู่ในประเภทซุ้มปราสาท แต่ความจริงควรจะเป็นซุ้มปรางค์ เพราะเป็นรูปปรางค์หรือพระปรางค์ ส่วนที่ไม่มีลักษณะเป็นพระปรางค์จึงควรเรียกซุ้มปราสาท)
พระตรีกาย หรือ พระสาม พระนาคปรก พระกำแพงศอก พระกำแพงคืบ พระกำแพงน้ำ พระแผงต่างๆ เช่น พระใบขนุน ฯลฯ
พระหูยาน พระอู่ทอง พระขุนแผน พระซุ้มนครโกษา พระสุพรรณ พระปรกโพธิ์ พระงบน้ำอ้อย พระสังกัจจายน์ เป็นต้น
สำหรับพระพิมพ์กรุนี้ ที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุดก็ได้แก่ พระใบขนุน ซึ่งเป็นพระแผงขนาดใหญ่ที่สุดในกรุนี้ พระโพธิ์เงิน-โพธิ์ทอง ซึ่งเป็นพระพิมพ์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
![]() |
พระแผงพิมพ์นาคปรก กรุวัดราชบูรณะ |
พระใบขนุน มีขนาดกว้าง 12.5 ซม. สูง 25.8 ซม. ทำเป็น 2 หน้าคล้ายๆ กัน ตรงกลางมีพระพุทธรูปปางลีลา ยกพระหัตถ์ซ้ายอยู่ในเรือนแก้ว ล้อมรอบด้วยพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดเล็ก 50 องค์
ได้ความว่า พระใบขนุน นี้เพิ่งพบในกรุนี้เป็นครั้งแรก และพระองค์หนึ่งของพิมพ์นี้ ปรากฏว่ามีอักษรไทยคำว่า “ แม่จัน ” จารไว้ที่ริมเรือนแก้วด้านขวาขององค์พระ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงลักษณะตัวอักษรไทย สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
![]() |
พระลีลา ดอกไม้ไหว กรุวัดราชบูรณะ |
พระใบขนุน ดังกล่าว ได้มีส่วนช่วยในการสร้างพิพิธภัณฑสถานเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเงินหลายแสน
พระซุ้มเสมาทิศ เป็นพระที่มีจำนวนพิมพ์มีลักษณะต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คือถ้าไม่สังเกตก็ดูว่าเหมือนๆ กัน
ส่วนพิมพ์ที่แปลกๆ ของกรุนี้ก็มีอยู่หลายพิมพ์ แต่ที่น่าสนใจก็ได้แก่ พระพิมพ์ประเภทซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งทำเป็นพระพุทธรูปปางประทานธรรม ประทับนั่งอยู่ในเรือนแก้ว
พระพิมพ์นี้พระหัตถ์ขวาขององค์พระถือตาลปัตร แต่ตาลปัตรเล็กเหมือนพัด นักเลงพระจึงเรียกพระพิมพ์นี้ว่า “ หลวงพ่อพัด ” กับ พระพิมพ์ประเภทบรรณศาลา (เรือนหน้าจั่ว) ซึ่งทำเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยชนิดเขาใน ประทับนั่งบนอาสนะหรือฐานบัวคว่ำบัวหงาย อยู่ภายในบ้านไทยทรงหน้าจั่ว ซึ่งก็นับว่าค่อนข้างแปลกมาก และไม่เคยเห็นที่กรุไหนมาก่อน
ท่านมีพระพิมพ์กรุพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บ้างหรือยัง ถ้ายังไม่มีก็พยายามหาเอาไว้บูชาเสีย
ถ้ามีแล้วก็โปรดบูชาไว้ให้ดีๆ เพราะพระพิมพ์กรุนี้ เป็นยอดพระพิมพ์เนื้อชินกรุหนึ่งของ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
![]() |
พระหูยาน พิมพ์ใหญ่ กรุวัดราชบูรณะ |
![]() |
พระลีลาใบขนุน กรุวัดราชบูรณะ |
พระโพธิ์เงิน - โพธิ์ทอง หรือ พระโพธิ์เล็ก
ท่านรู้จัก พระโพธิ์เงิน - โพธิ์ทอง หรือพระโพธิ์เล็กไหม?ผู้เขียนเชื่อว่าส่วนมากคงไม่รู้จัก เพราะ พระโพธิ์เงิน-โพธิ์ทอง เป็นพระเครื่องที่ไม่แพร่หลายเหมือนพระอื่นๆ ทั้งนี้ก็เนื่องจากกรมศิลปากรเป็นผู้ขุด และขุดได้จากในพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพียงแห่งเดียวเท่านั้น
![]() |
พระพิมพ์หลวงพ่อโ ศิลปะจากช่างจีน กรุวัดราชบูรณะ |
พระโพธิ์เงิน-โพธิ์ทอง เป็นพระสมัยอยุธยา กรมศิลปากรจัดอยู่ในประเภทซุ้มเรือนแก้วโพธิพฤกษ์ พระพุทธรูปเป็นปางมารวิชัย ประทับนั่งอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ภายใต้ร่มโพธิพฤกษ์
พระประเภทนี้มีอยู่ด้วยกันในกรุ 4-5 พิมพ์ ซึ่งบางพิมพ์ก็มีลวดลายและองค์พระละเอียดชัดเจนพอสมควร บางพิมพ์ก็มีลักษณะอย่างหยาบๆ คือมีใบโพธิ์ที่ประกอบกันเป็นพุ่มพฤกษ์เป็นจุดๆ มีเรือนแก้วเป็นเส้นเดี่ยวๆ และองค์พระไม่มีรายละเอียด ไม่เห็นตาเห็นหู
![]() |
พระพิมพ์ซุ้มเสมาทิศ ยอดอุณาโลม ด้านหลังจารึกอักษรจีน กรุวัดราชบูรณะ |
เนื่องจาก พระโพธิ์เงิน-โพธิ์ทอง มีขนาดเล็กดังกล่าว จึงเป็นพระที่เหมาะสำหรับสุภาพสตรีอาราธนาขึ้นแขวนกับสร้อยคอมาก และด้วยเหตุนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือว่าผู้ที่มีไว้บูชาเกิดร่ำรวยขึ้น
พระดังกล่าวจึงได้ชื่อว่า พระโพธิ์เงิน-โพธิ์ทอง ตามสัญลักษณ์ที่มีพุ่มโพธิพฤกษ์ในองค์พระประกอบเป็นชื่อด้วย
ปัจจุบัน พระโพธิ์เงิน-โพธิ์ทอง หายากเสียแล้ว เช่นเดียวกับพระอื่นๆ ของกรุเดียวกัน เพราะ กรุวัดราชบูรณะ ได้แตกออกมาตั้งแต่ พ.ศ.2501 คือเมื่อประมาณ 60 ปีมาแล้ว และพระต่างๆ ที่ขุดได้ส่วนใหญ่ทางกรมศิลปากรได้จัดให้เช่าไปในระยะแรกๆ ที่ขุดได้จนหมดสิ้นแล้ว
ส่วนการที่ทางกรมศิลปากรขุดพบ กรุวัดราชบูรณะ ก็สืบเนื่องมาจากเหตุโดยบังเอิญ คือเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2500 ได้มีการค้นพบสมบัติโบราณซึ่งหาค่ามิได้ อาทิ เครื่องทองราชูปโภค ตลอดจนพระพุทธรูป พระสถูปทองคำ และพระพิมพ์จำนวนมาก ภายในคูหาองค์พระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งเป็นพระปรางค์ใหญ่ที่สุดในวัดนี้
และที่คูหาในองค์พระปรางค์ ยังพบว่ามีการเขียนสีโบราณแบบปูนเปียก งดงามอยู่เต็มทุกๆ ด้านของคูหา
![]() |
พระลีลา ดอกไม้ไหว กรุวัดราชบูรณะ |
![]() |
พิมพ์พระร่วงยืน ซุ้มร่มโพธิ์ กรุวัดราชบูรณะ |
การดำเนินงานสร้างอุโมงค์ดังกล่าว กรมศิลปากรได้จัดทำเอง ทั้งนี้ก็เพราะจากการสำรวจในตอนแรกมีลักษณะบางอย่างบ่งว่า จะต้องมีกรุเก็บของและพระอยู่รอบๆ คูหาภาพเขียนสีนี้อีก
ดังนั้น ถ้าหากเปิดประมูลให้ผู้รับเหมาจัดสร้าง ประเทศชาติจะต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติอันมีค่าอย่างแน่นอน ซึ่งการคาดหมายว่าจะต้องมีกรุนี้ ก็ได้เป็นความจริง
ปรากฏว่ากรมศิลปากรและทางจังหวัดซึ่งร่วมกันเป็นคณะกรรมการขุดกรุ ได้ทำการขุดกรุพบกรุอีกถึง 7 กรุ ได้พระพุทธรูปและพระพิมพ์เป็นจำนวนมาก คือ รวมสิ่งของเพียง 5 กรุ ได้พระพุทธรูปซึ่งมีปนอยู่จำนวนหนึ่ง รวม 618 องค์ และได้พระพิมพ์เป็นแสนๆ องค์
ส่วนอีก 2 กรุ โดยเฉพาะกรุที่ 7 ขุดพบพระใบขนุนล้วนๆ ทั้งกรุ ซึ่งพระใบขนุนนี้นี่แหละ ที่ทางกรมศิลปากรนำออกไปให้ประชาชนเช่า นำเงินมาสร้างพิพิธภัณฑสถานเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เงินหลายแสนบาท
สำหรับประวัติ วัดราชบูรณะ ตามพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐกล่าวว่า “ศักราช (พ.ศ.1967) มะโรงศก สมเด็จพระอินทราชาเจ้าทรงพระประชวรนฤพาน ครั้งนั้นเจ้าอ้ายพระญาแลเจ้าญี่พระญา พระราชกุมารท่านชนช้างด้วยกัน ณ สะพานป่าถ่านเถิงพิราไลย ทั้ง 2 พระองค์ที่นั้น จึงพระราชกุมารเจ้าสามพระยา ได้เสวยราชสมบัติพระนครศรีอยุธยา ทรงพระนาม สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า แลท่านจึงก่อพระเจดีย์สองพระองค์สวมที่เจ้าพระญาอ้ายแลเจ้าพระยาญี่ชนช้างด้วยกันเถิงอนิจภาพ ตำบลป่าถ่านนั้นในศักราชนั้นสถาปนาวัดราชบุณ”
![]() |
พระกำแพงพัน กรุวัดราชบูรณะ |
![]() |
พระพิมพ์ยอดขุนพล กรุวัดราชบูรณะ |
ทั้งสองพระองค์ทรงพระแสงของ้าว ต้องพระศอขาดพร้อมกันทั้งสองพระองค์
มุขมนตรีออกไปเฝ้าเจ้าสามพระยา ทูลการซึ่งพระเชษฐาธิราชขาดคอช้างทั้งสองพระองค์ แล้วเชิญเสด็จเข้ามาในพระนครเสวยราชสมบัติ ทรงพระนาม สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า
ท่านจึงให้ขุดเอาพระศพเจ้าอ้ายพระยา เจ้ายี่พระยา ไปถวายพระเพลิง ที่ถวายพระเพลิงนั้นให้สถาปนาพระมหาธาตุ และพระวิหารเป็นพระอาราม แล้วให้นามชื่อว่า วัดราชบูรณะ ที่เจ้าอ้ายพระยา เจ้ายี่พระยา ชนช้างกันถึงพิราลัย ให้ก่อพระเจดีย์สององค์ไว้ที่เชิงสะพานป่าถ่าน”
จากข้อความในพระราชพงศาวดารทั้งสองฉบับทำให้ทราบว่า วัดราชบูรณะ เป็นวัดที่ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เป็นผู้ทรงสร้างในที่ถวายพระเพลิงพระศพเจ้าอ้ายพระยา เจ้ายี่พระยา พระเชษฐา เมื่อ พ.ศ.1967
ดังนั้น ของและพระที่พบในกรุพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งพระบรมราชาธิราชที่ 2 โปรดฯให้สร้างขึ้น ถ้านับอายุถึง พ.ศ.2560 ก็จะเป็นเวลาถึง 593 ปี เป็นอย่างต่ำ
![]() |
พระปางไสยาสน์ (ปรินิพพาน) กรุวัดราชบูรณะ |
ดังนั้น พระพุทธรูปและพระพิมพ์บางองค์ จึงมีอายุเป็นร้อยๆ ปีขึ้นไป
วัดราชบูรณะ เป็นวัดร้างมาตั้งแต่เสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ.2310 ปัจจุบันก็ยังเป็นวัดร้างอยู่ เมื่อสมัยก่อนบริเวณวัดรกเรื้อปกคลุมไปด้วยวัชพืชและต้นไม้ใหญ่เล็ก แต่เดี๋ยวนี้นับตั้งแต่สมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำการบูรณะก่อน พ.ศ.2500 เป็นต้นมา
บัดนี้ก็ได้อยู่ในสภาพที่น่าเข้าไปเที่ยวชม ศึกษาหาความรู้ในทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีอย่างยิ่ง
(ขอขอบคุณภาพประกอบเรื่องจาก คุณมโนมัย อัศวธีระนันท์ หนังสือ “ ศรีอยุธยา ”)
( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1215 สารพัดพระพิมพ์ กรุวัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดือนตุลาคม พ.ศ. 2560 ราคาปก 70 บาท ภาพและเรื่องโดย เทพทอง )